“ไม่เป็นไร” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ “ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในเครื่องแบบ ถ้านั่งลงก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกคุณ”

“ฉลาดดีนี่…” ชายคนนั้นเผยยิ้มและรู้สึกประหลาดใจกับความรอบคอบของเสี่ยวเฉิงไม่น้อย และทันใดนั้น เขาก็เผยใบหน้าสุดน่ากลัวและมืดมนออกมา “นายกำลังเหยียดพวกเราอยู่หรือเปล่า?”

สิ่งที่ชายคนนั้นต้องการจะสื่อก็คือเสี่ยวเฉิงกำลังเหยียดสังคมของพวกคนดำอยู่หรือไม่

“ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ

ชายคนนั้นพลันหัวเราะขึ้นมา “อ่า นายดูจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หุนหันพลันแล่นมากเลยนะ”

ชายคนนั้นพลันจิบชาและพูดต่อ “มันก็ถือเป็นเรื่องดีนะที่เด็กวัยหนุ่มสามยังคงมีเรี่ยวแรงแล้วก็ความพยายามในการทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ไม่ควรจะทำตัวมั่นใจหรือหัวดื้อหัวรั้นจนเกินไป มันก็เหมือนกับพวกหนุ่มสาวที่อายุน้อยกว่าฉันนั้นแหละ ฉันเองก็อยากจะให้พวกเขาได้มีอนาคตที่ดี แต่บางครั้ง พวกเขาก็ไม่ควรจะมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินตัว ไม่งั้นพวกคนนั้นก็คงจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ลำบากแน่”

เขามองไปยังเสี่ยวเฉิง “นายเข้าใจที่ฉันกำลังจะพูดไหม?”

เสี่ยวเฉิงไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่จ้องมองเท่านั้น

ชายคนนั้นพลันดื่มชาที่เหลือจนหมดและรินให้ตัวเองอีกครั้ง ทันทีที่เห็นว่าไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา เขาก็พลันคิดว่าเสี่ยวเฉิงคงจะไม่เข้าใจ หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เขาก็พูดต่อ “ฉันหวังว่านายคงจะไปทำอะไรที่ควรทำ คงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเอง มีคนขอให้ฉันเปิดอกคุยกับนายดู อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้ด้วย แม้ว่านายจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่นายก็ดันไปจับกุมคนที่ไม่ควรจะยุ่งด้วย สำหรับพวกคนรุ่นหลัง… มีปัญหาอะไรที่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดบ้างไหมล่ะ? แบบที่ไม่ต้องใช้อารมณ์…”

ทันทีที่ฟังชายคนนั้นพูดมาสักพัก เสี่ยวเฉิงก็เผยยิ้มและเดินตรงไปหยิบถ้วยชาและยกดื่ม ทันใดนั้น เขาก็พลันถามขึ้น “งั้นเรามาทำข้อตกลงกันหน่อยดีไหม?”

ชายคนนั้นพลันขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เสี่ยวเฉิง

“ผมจะตบหน้าคุณตรงนี้และตอนนี้ แล้วหลังจากนั้นก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลกับเงินทำขวัญให้อีกสามแสนหยวน คุณจะรับไหม?” เสี่ยวเฉิงแสร้งเผยยิ้มที่ดูจริงใจออกมา

ทันใดนั้น ท่าทีของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไป

“แต่นายก็คงจะไม่มีความสุขหรอกใช่ไหม? ฉันเองก็เหมือนกัน และในสายตาของฉัน ตอนนี้เรากำลังพูดคุยกันอย่างเท่าเทียม แต่ถ้านายไม่รู้จักเคารพอะไรเลย ก็ต้องขอโทษด้วย ฉันก็คงทำได้แค่ปฏิบัติต่อนายเยี่ยงสัตว์ป่า แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการแสดงให้พวกสัตว์ป่าเห็นว่าใครอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารคืออะไรรู้ไหม? ก็คือการฆ่ามันยังไงล่ะ! หรือไม่ก็ทำทุกอย่างจนให้มันกลัวจนหัวหด!”

เสี่ยวเฉิงพลันหันหน้าไปยังมหาสมุทรพร้อมกล่าวคำพูด “ย้อนกลับไปที่ค่ายทหาร อาจารย์ของผมเคยบอกว่าเราควรอดทนกับผู้คนและสอนพวกเขาให้รู้และเข้าใจถึงกฎหมาย แต่กับคนที่หัวดื้อหัวรั้น เราก็จะต้องหยุดพวกเขาด้วยการใช้กำลัง…“

ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็เอามือกระแทกโต๊ะจนเกิดเสียงดังขึ้น เขาพลันเผยสายตาสุดอันตรายออกมา “นายไม่รู้เลยใช่ไหมว่าตอนนี้กำลังเหยียบถิ่นใครอยู่?!”

“อย่าลืมไปอย่างหนึ่งสิ” เสี่ยวเฉิงกล่าวคำพูดออกมาอย่างใจเย็น “ระหว่างที่ฉันตามลูกน้องของนายมาที่นี่ อย่างน้อยต้องมีผู้คนกว่ายี่สิบคนที่เห็นฉันเข้ามาพบกับนายในเครื่องแบบ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน… ก็บอกลาธุรกิจของตัวเองไปได้เลย”

เสี่ยวเฉิงเอามือทั้งสองข้างวางไว้บนโต๊ะกาแฟพร้อมโน้มตัวเข้าไปใกล้กับชายตรงหน้า ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น “นี่แหละคืออำนาจของประเทศนี้!”

ทันทีที่เสี่ยวเฉิงพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเตรียมตัวที่จะเดินออกจากร้านกาแฟไป ในตอนนั้นเอง ลูกน้องทั้งสี่คนที่สวมชุดสูทก็พยายามที่จะเข้าไปหยุดเขาเอาไว้ แต่ชายที่กำลังนั่งจิบชาอยู่นั้นก็เผยสีหน้าสุดจริงจังพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณว่าห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม

ทันทีที่เสี่ยวเฉิงเดินจากไป ลูกน้องทั้งสี่จากแก๊งหงส์แดงก็หันหน้ากลับและกล่าวคำพูดออกมาพร้อมกัน “จะปล่อยมันไปแบบนี้เลยเหรอครับท่าน?”

“ดูเหมือนหมอนั่นจะเป็นตำรวจที่ฉลาดน่าดูเลยนะ” ชายคนนั้นกล่าว