ตอนที่ 137 ระดับพลังปราณ

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดฉีหลงยังคงพ่ายแพ้ให้กับ L13 หรือก็คือหัวหน้าทีมจินหลิน แต่ฉีหลงไม่ได้ผิดหวัง เขารู้ตั้งแต่เริ่มต่อสู้นานแล้วว่า ต่อให้เขามีพรสวรรค์อีกแค่ไหน ร่ำเรียนพื้นฐานการต่อสู้ดีอีกสักเท่าไหร่ แต่ว่าในด้านประสบการณ์ต่อสู้ เขายังไม่สามารถเทียบเคียงกับทหารเก่าแก่ที่ผ่านศึกมานับร้อยเหล่านี้ได้

นิสัยของทั้งสองคนต่างก็เป็นคนองอาจเปิดเผย หลังจากที่ประลองเสร็จ หัวหน้าทีมจินหลิน L13 ก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อฉีหลงมาก และเชื้อเชิญฉีหลงว่า ขอเพียงเขามีเวลาว่างก็ไปหาเขาต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้ได้ทุกเมื่อในตลอดระยะเวลาที่ร่วมเดินทางด้วยกัน

จำเป็นต้องพูดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ให้ความสำคัญกับวาสนามาก ฉีหลงกับ L13 มีวาสนาต่อกันอย่างยิ่งยวด นี่ทำให้หลิงหลานตื่นเต้นยินดีมาก

หลิงหลานรู้ดีว่าทักษะการต่อสู้ของฉีหลงถึงจุดคอขวดแรกแล้ว ถ้าอยากทะลวงมันก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือรอคอยจังหวะ มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุฉับพลัน เช่นนี้ก็จะจัดการปัญหาเรื่องจุดคอขวดได้เอง และอีกวิธีหนึ่งคืออาศัยประสบการณ์ต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแลกเปลี่ยนความรู้กับยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่มีประสบการณ์มามากมาย ตามหาแรงบันดาลใจทะลวงจุดคอขวดในการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า

แน่นอนว่าวิธีการสองแบบนี้ต่างต้องการวาสนาในระดับหนึ่ง แต่พอเปรียบเทียบกับวิธีการแรกที่คลุมเครือไม่แน่นอนแล้ว อัตราความสำเร็จของวิธีการหลังสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลิงหลานย่อมหวังว่าฉีหลงจะเดินไปบนเส้นทางที่สองเพื่อทะลวงจุดคอขวด

น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะมีความสามารถสูงสุดในหมู่กลุ่มคนข้างกายของหลิงหลาน แต่เนื่องจากสิ่งที่เธอเรียนรู้มาต่างก็เป็นท่าไม้ตายสังหาร ไม่เหมาะกับการประลองแลกเปลี่ยนความรู้ที่ใช้พลังกายตามหาการบรรลุเข้าใจแบบนี้ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีความสามารถด้อยกว่าฉีหลง ไม่อาจทำให้ฉีหลงตกอยู่ในสภาพกดดันอย่างมหาศาลจนระเบิดความเป็นไปได้ในการทะลวงจุดคอขวดออกมาได้อย่างราบรื่น

หลิงหลานจึงจนปัญญากับเรื่องนี้มาก เมื่อข้างกายไม่มีผู้ท้าชิงดีๆ ก็มีแต่จะทำให้ฉีหลงติดอยู่ตรงจุดคอขวดอย่างไม่มีกำหนด รอคอยความเป็นไปได้ในการบรรลุ ส่วนพวกอาจารย์ด้านการต่อสู้ในสถาบันก็ไม่มีเวลาชี้แนะฉีหลงเนื่องจากนักเรียนที่ต้องสั่งสอนมีเยอะมากเกินไป

แน่นอนว่ายังมีตัวเลือกที่ดีอีกอย่าง นั่นก็คืออาจารย์แรกเริ่มของฉีหลง ยิ่งฉีหลงเรียนรู้มากขึ้น เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งทรงพลังของอาจารย์แรกเริ่ม แต่น่าเสียดายที่หลังจากอาจารย์แรกเริ่มของเขาสั่งสอนเขาไปได้หนึ่งปีกว่าก็กลายเป็นเทพมังกรไม่เห็นหาง อยากจะตามหาเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนเลย ทำได้เพียงอดทนรอคอยให้พวกเขามาหาเอง

ยิ่งไปกว่านั้นจุดคอขวดของฉีหลงเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาเร็วๆ นี้ ดังนั้นอาจารย์แรกเริ่มของเขาจึงไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของเขาเผชิญหน้ากับจุดคอขวดอันแรกของเขาแล้ว

หลิงหลานอารมณ์ดีมาก ไม่นึกเลยว่าการประลองแลกเปลี่ยนความรู้บนยานอวกาศโดยไม่คาดคิดนั้นจะช่วยฉีหลงแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ ระดับการต่อสู้ของ L13 สูงกว่าฉีหลงอย่างชัดเจน สิ่งที่เพอร์เฟคมากที่สุดคือรูปแบบการต่อสู้ของเขา ใกล้เคียงกับฉีหลงอย่างยิ่ง เมื่อประลองกับคู่ต่อสู้ที่มีรูปแบบการต่อสู้ใกล้เคียงกันย่อมมีอัตราความสำเร็จในการทะลวงจุดคอขวดค่อนข้างสูงอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

ในตอนนี้เอง หลิงหลานที่อารมณ์ดีมากก็ลดความโกรธเคืองต่อ L15 ลงไปเล็กน้อย ในใจเธอตัดสินใจแล้วว่าถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยั่วโมโหเธอละก็ เธอจะไม่จัดการเขาก่อนแน่นอน

หลังจากที่ทุกคนต่างคิดว่าการต่อสู้นี้สิ้นสุดลงแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลิงหลานเอ่ยปากพูดกับครูฝึกยานอวกาศว่า “ครูฝึกครับ เรามาต่อสู้กันสักรอบดีไหม?”

ครูฝึกได้ยินคำพูดนี้ก็มองไปที่หลิงหลานด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่งแล้วค่อยเอ่ยว่า “ตรงใจฉันพอดี!” การที่หลิงหลานหยุดยั้งความสามารถของ L15 ได้อย่างหมดจดนั้นทำให้ครูฝึกรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนต่อความโหดเหี้ยมของหลิงหลานที่หักข้อมือ L15 ถึงขนาดที่มีความหวาดกลัวผุดขึ้นในหัวใจในตอนที่หลิงหลานปลดปล่อยกลิ่นอายกระหายเลือดออกมาเล็กน้อย

ครูฝึกรู้ดีว่า ความสามารถของหลิงหลานแข็งแกร่งมาก บางทีอาจจะไม่ด้อยไปกว่าเขาตรงไหนเลย ดังนั้นเขาจึงอยากทดลองสู้กับหลิงหลานเองสักยกเหมือนกัน ให้เขาได้ดูความสามารถของเด็กคนนี้ชัดเจนจริงๆ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเลื่องชื่อว่าเป็นค่ายกักกันของเหล่าปีศาจอัจฉริยะ เด็กคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของพวกเขาจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่นะ

คำพูดของหลิงหลานทำให้ลูกเสือทุกคนตื่นเต้นสุดขีด ไม่คาดคิดว่าหลิงหลานจะท้าประลองกับครูฝึกของยานอวกาศ ทุกคนต่างรู้ดีว่า ครูฝึกของยานอวกาศย่อมเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในยานอวกาศลำนี้

ผู้คนที่ชมการต่อสู้เงียบเสียงลงตามจิตสำนึกของตัวเอง จับจ้องไปยังคนทั้งสองที่อยู่บนเวทีประลอง

หลิงหลานกับครูฝึกเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ ต่างฝ่ายต่างก็ยืนกันคนละฝั่ง ราวกับว่าการประลองยังไม่ได้เริ่มก็ไม่ปาน แต่คนที่ชมดูต่างรู้ว่าไม่ใช่ เนื่องจากท่าทางของทั้งสองคนดูเคร่งเครียดมาก ถึงขนาดที่สัมผัสได้รางๆ ว่าระหว่างพวกเขามีพลังกดดันไร้รูปร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ แม้กระทั่งผู้ชมต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันโจมตีเข้าที่หัวใจ ทำให้คนอดถอยหลังไปไม่ได้

ไม่นานผู้ชมในห้องประลองก็ออกห่างจากเวทีประลองไปสิบกว่าเมตร คนของยานอวกาศที่มีความสามารถค่อนข้างสูงยืนนิ่งอยู่กับที่ ส่วนนักเรียนของสถาบันลูกเสือที่สามารถยืนอยู่ในบริเวณนี้ได้ก็มีแค่ฉีหลงกับอู่จย่งเท่านั้น หลี่อิงเจี๋ยกับลั่วล่างอยู่หลังพวกเขาไปหนึ่งก้าว ในขณะที่เยี่ยซวี่กับหลินจงชิงอยู่หลังพวกลั่วล่างไปอีกครึ่งก้าว นี่ก็คือการสะท้อนให้เห็นความสามารถของพวกเขาเหมือนกัน

บริเวณรอบนอกสุดถูกเหล่าลูกเสือยึดครองเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็ทำให้ลูกเสือลอบกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะพยายามฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่อาจทำให้ห้องสเปเชียลเอของพวกเขาขายหน้าได้เป็นอันขาด ทุกคนต่างมองไปยังพวกฉีหลงที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วยใบหน้าคาดหวัง จะต้องมีสักวันที่พวกเขายืนอยู่ข้างกายพวกนั้นได้เหมือนกัน….

ส่วนหลิงหลานที่อยู่บนเวทีประลอง…เอ่อ นั่นไม่ใช่คนแล้ว พวกเขาเทียบกับปีศาจอัจฉริยะไม่ได้หรอก

พลังบนตัวหลิงหลานกับครูฝึกปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างก็อยากจะกดฝ่ายตรงข้ามไว้ ครูฝึกใช้พลังทั้งหมดในครั้งแรก แต่กลับพบว่าหลิงหลานยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเสาค้ำสมุทร ไม่อาจสั่นคลอนได้เลย

ครูฝึกสูดลมหายใจลึกๆ รู้ว่าพลังสะสมของเขาถึงจุดสูงสุดแล้ว ถึงเวลาลงมือแล้ว….

ในตอนที่ผู้ชมกำลังอดทนรอคอยอยู่นั้น จู่ๆ คนที่อยู่บนเวทีทั้งสองต่างพุ่งออกไปแทบจะพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างปล่อยหมัดออกไป

หมัดนี้ดูเหมือนไม่ได้หนักหน่วงขนาดนั้น มันเหมือนกับปล่อยไปเฉยๆ อยู่บ้าง ไม่มีพวกกระบวนท่าต่อสู้ที่แพรวพราวเลย เป็นเพียงหมัดธรรมดาเท่านั้น พูดได้ว่าเร็ว และก็ไม่ได้เร็วเช่นกัน ผู้คนที่ชมดูทั้งหมดต่างเห็นหมัดทั้งสองพุ่งไปเป็นเส้นเดียวกัน มันเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะปะทะกันในที่สุด

เสียง ‘ปัง’ ดังลั่น! หมัดที่ดูเรื่อยๆ ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัดนั้นปะทะเข้าหากันจนระเบิดเสียงดังกึกก้อง ไม่เพียงเท่านั้น การปะทะกันของกำปั้นได้ส่งพลังไร้รูปร่างออกมาบีบให้ผู้คนที่ชมดูถอยร่นไปอีกครั้ง พวกฉีหลงกับอู่จย่งถูกพลังสายนี้บีบให้ถอยหลังไปอีกสามสี่ก้าว หน้าอกรู้สึกอึดอัดราวกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงก็ไม่ปาน

อู่จย่งกับเยี่ยซวี่จ้องมองกันเองด้วยความตกตะลึงแวบหนึ่ง สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ฉีหลงกับลั่วล่างสองคนต่างทำหน้าสงบนิ่ง ในขณะที่แววตาของหลินจงชิงก็ส่องประกายขึ้นมาฉับพลัน

ส่วนลูกเรือของยานอวกาศบางคนที่มีความสามารถธรรมดาถึงขนาดถูกพลังสายนี้อัดจนล้มคว่ำ หมัดนี้ทำให้ลูกเรือทุกคนทำหน้าตกตะลึง ความรู้สึกดูถูกต่อเหล่าลูกเสือที่เดิมทียังคงหลงเหลืออยู่เล็กน้อยนั้นได้หายไปโดยสิ้นเชิง

…………

ภายในห้องกัปตัน เหล่าเหลียนเห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า “นี่มันเป็นไปได้ยังไง ไม่นึกเลยว่าเขาจะไปถึงระดับพลังปราณแล้ว…”

ระดับของทักษะต่อสู้มือเปล่าแบ่งเป็นหกระดับใหญ่ๆ ประกอบด้วยระดับพื้นฐาน สำแดงตน ขัดเกลา พลังปราณ เขตแดน และเขตเทวะ นอกจากระดับพื้นฐานและระดับสำแดงตนที่มีสิบระดับแล้ว สี่ระดับอื่นๆ ต่างอยู่กันคนละระดับขอบเขต และการสะท้อนความแข็งแกร่งความอ่อนแอของแต่ละระดับขอบเขตนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับการรู้แจ้งต่อระดับขอบเขตของคนผู้นั้น

นอกจากนี้ระดับพื้นฐานและระดับสำแดงตนที่มีอยู่สิบระดับนั้นมีความแตกต่างตรงที่พลังหมัด ความเร็ว และการตอบสนองของประสาทสัมผัส หลังจากที่ไปถึงตัวเลขในระดับหนึ่งก็จะปรากฏจุดคอขวดขึ้นมาเอง ถ้าทะลวงจุดคอขวดได้แล้วก็จะเข้าสู่ระดับขัดเกลาของทักษะต่อสู้มือเปล่า และก็เป็นการพิสูจน์ว่าได้เข้าสู่ขั้นยอดฝีมือด้านทักษะต่อสู้มือเปล่าแล้ว

ดังนั้น โลกนี้จึงมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ‘สำหรับในด้านทักษะต่อสู้มือเปล่าแล้ว คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับขัดเกลาต่างก็เป็นพวกพื้นๆ ธรรมดา’

ปกติแล้วนักเรียนที่อายุน้อยกว่าสิบสามปีในสถาบันลูกเสือต่างอยู่ในขอบเขตระดับพื้นฐานของทักษะต่อสู้มือเปล่า ส่วนนักเรียนที่อายุมากกว่าสิบสามปีขึ้นไปก็จะอยู่ในระดับสำแดงตน

แน่นอนว่ามีเด็กน้อยคนที่มีพรสวรรค์มากสามารถเข้าสู่ระดับสำแดงตนได้ในตอนที่ยังอายุไม่ถึงสิบสาม และฉีหลงก็มีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ เขาแตะถึงระดับขัดเกลาแล้ว เพียงแต่รอคอยการทะลวงจุดคอขวดเพื่อเข้าไปอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ดังนั้น การที่หลิงหลานเข้าสู่ระดับพลังปราณได้ในตอนที่อายุเท่านี้ ต่อให้เป็นเหล่าเหลียนที่สุขุมมีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนก็อดเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างรุนแรงไม่ได้ เขาทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อออกมา….

ความจริงแล้วเฉิงหย่วนหังก็ตกตะลึงในความสามารถของหลิงหลานเหมือนกัน เขารู้ว่าหลิงหลานแข็งแกร่งมาก แต่ว่าเขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะแข็งแกร่งถึงระดับนี้

แน่นอนว่านี่ต้องโทษหลิงหลานไม่เคยแสดงความสามารถของตัวเองมาตลอดเลย ตอนที่เจอลั่วล่างหรือว่าฉีหลง เธอก็แค่ยอมแพ้จบการแข่งขันเอง ส่วนการประลองก่อนหน้านี้ก็ผ่านไปด้วยกระบวนท่าเดียว ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสเห็นความสามารถของเธอชัดๆ แต่ในที่สุดการประลองในวันนี้ก็ทำให้เขารู้สาเหตุแล้วว่าทำไมหลิงหลานไม่ยอมลงมือในตอนที่ฝึกฝนการต่อสู้ในเวลาปกติ นอกจากปีศาจอัจฉริยะในชั้นปีสูงๆ ไม่กี่คนในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่อาจจะต่อสู้กับเขาได้แล้ว นักเรียนคนอื่นๆ ต่อสู้กับเขาก็เป็นการโดนทรมานเพียงฝ่ายเดียวแน่นอน

เขาถูกคำพูดของเหล่าเหลียนเรียกสติ แต่ก็แสดงท่าทีเหมือนเข้าใจออกมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างปากแข็งว่า “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของพวกเรามีอัจฉริยะอยู่ทั่วทุกที่นะ”

เหล่าเหลียนถลึงตามองเขาด้วยโทสะ “ในเมื่อมีอัจฉริยะเยอะแยะขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ส่งมาให้พวกเราสักหน่อยล่ะ?” ทหารใหม่ที่จัดส่งมาที่นี่ทุกครั้งต่างก็เป็นพวกธรรมดาทั่วไปมากๆ

เฉิงหย่วนหังยักไหล่ เอ่ยด้วยสีหน้าจนใจว่า “นายเองก็รู้ว่าพวกเราดูแลเรื่องอบรมสั่งสอนเท่านั้น ส่วนปัญหาเรื่องจัดแบ่งคนเป็นเรื่องของระดับสูงในกองทัพของพวกนาย…ยิ่งไปกว่านั้น อัจฉริยะที่ร้ายกาจพวกนี้จะถูกโรงเรียนทหารรับไปก่อน…พอออกมาก็เป็นทหารระดับนายร้อย ยานอวกาศของนายจะคว้าไปได้เหรอ?” สุดท้ายก็ยังเป็นเพราะยานของเหล่าเหลียนมีระดับต่ำมากเกินไป….

เหล่าเหลียนได้ยินคำพูดก็อดถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ กองทัพลับที่อยู่ในพื้นที่สีเทาอย่างพวกเขาไม่อาจครอบครองพวกอัจฉริยะที่มีอนาคตสดใสได้จริงๆ

………….

หลิงหลานที่อยู่บนเวทีประลองสัมผัสได้ว่าพลังของอีกฝ่ายเริ่มลดลงจากหมัดที่ปะทะกัน รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามถึงจุดลูกธนูสุดแรงบิน[1] ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นในใจเธอ จากนั้นเธอก็ลดพลังตามพลังของอีกฝ่ายที่ลดลง สุดท้ายทั้งสองคนก็ถอยกลับไปหลายก้าวเนื่องจากการสะท้อนของพละกำลังทั้งสองฝ่าย

ทั้งสองคนแยกจากกันอีกครั้ง เว้นระยะห่างไปอีกหลายเมตร ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันราวกับรอคอยการเริ่มต้นของกระบวนท่าถัดไป

ครูฝึกตัดสินใจหลับตาลงอย่างเหนือความคาดหมาย ราวกับว่าเขากำลังตระหนักถึงความรู้สึกจากกระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้ แต่ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นมา แล้วกล่าวพลางสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ “เธอชื่ออะไร?”

“หลิงหลาน!” ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะทำหน้านิ่ง รักษาภาพพจน์หน้าตายของเธอต่อไป แต่ก็มองออกว่าคิ้วของเธอยกขึ้นเล็กน้อย ดูอารมณ์ดีมากๆ

“ขอบใจ ฉันจะจดจำน้ำใจนี้ไว้ แล้วก็การประลองรอบนี้ฉันแพ้แล้ว” ครูฝึกกล่าวเสียงดังกังวาน และผงกศีรษะให้หลิงหลาน แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเขาตระหนักเข้าใจอะไรจากในนั้นได้

…………………………………………

[1] หมายถึงกำลังอันเข้มแข็งเสื่อมทรุดจนต้องถอยไปอยู่ปลายแถว

Related