ตอนที่ 59

My Disciples Are All Villains

“ดาบของข้าน่ะจัดการกับศัตรูมาแล้วนับไม่ถ้วน และเพราะแบบนั้นแหละดาบของข้าจะต้องมีห้องของตัวเอง ลำพังตัวมันคงจะอยากได้ห้องของตัวเอง แต่สำหรับดาบของฉันน่ะ ในตอนนี้แค่สองห้องก็เพียงพอแล้ว”

ลู่โจวที่ได้ฟังดูสงบเยือกเย็น เขาไม่แน่ใจเลยว่าจะเศร้ากับเรื่องที่ฟังหรือจะหัวเราะให้ดี ตัวเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนเป็นโรคประสาทภายในโลกแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะประหลาดใจแค่ไหนแต่หยวนเอ๋อกลับแตะคางของตัวเองเอาไว้ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากที่หยวนเอ๋อได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเธอก็พูดออกมา “ข้าเห็นด้วยนะที่ว่าเจ้าจะต้องใช้ห้องถึงสองห้องน่ะ”

“ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยท่านแขกผู้มีเกียรติ! ” เมื่อชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมไม่เห็นชาวยุทธผู้ที่มีวรยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์โกรธ เขาจึงมีท่าทีที่กลายเป็นมิตรอีกครั้งก่อนที่จะพูดอย่างสุภาพ

“ช้าก่อน! ” อยู่ดีๆ ลู่โจวก็พูดออกมาอย่างกะทันหัน

เสียงของลู่โจวที่ดังขึ้นทำให้ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหยุดพูดอย่างกะทันหัน ในตอนนั้นเองทั้งสองคนก็ได้หันไปมองเขา ลู่โจวเป็นเหมือนกับชายชราธรรมดาๆ ที่จะล้มลงกับพื้นเมื่อไหร่ก็ได้

“นายท่านมีอะไรอย่างงั้นหรอ? ” ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมถาม

“ข้าอยากได้ห้องพักที่ดีที่สุดน่ะ”

“แต่ว่า…”

ลู่โจวโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “หยวนเอ๋อ”

ทันทีที่เสียงของลู่โจวดังออกไป ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็เข้าใจท่าทีของผู้เป็นอาจารย์ในทันที คลื่นพลังอันมหาศาลได้ระเบิดออกมาจากตัวของเธอในชั่วพริบตา ในตอนนั้นเองพลังได้กระจายออกไปทั่วทิศทางราวกับระลอกคลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ทุกๆ อย่างในโรงเตี๊ยมไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือแม้แต่ของที่อยู่บนพื้นต่างก็สั่นสะเทือนไปพร้อมๆ กัน ถ้าหากคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้อีกนิดเดียว ของบนโต๊ะโรงเตี๊ยมอาจจะหล่นลงสู่พื้นได้

“ผู้ฝึกยุทธระดับ…ศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรอ? ” ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูดขึ้น ตัวของเขาสั่นไปทั้งตัว

ดูเหมือนว่าจะมียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่มาเยี่ยมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้มากจนเกินไป ในชั่วครู่นั้นเองชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี การเจอยอดฝีมือพร้อมกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะเจอกันได้บ่อยนัก

ดวงตาของชายผู้มาเยือนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “สหายพี่ชายของข้าเคารพเหล่าผู้ฝึกยุทธมาก เขาปรารถนาที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด” เขาคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบต่อ “ข้าน่ะเคารพในสิ่งที่เขาเคารพมาก ดังนั้นพวกเรามาแบ่งห้องกันเถอะ ข้าจะอยู่กับสหายข้าเองส่วนเจ้าก็พักกับนายท่านท่านนั้นไป”

ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมดีใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น “เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ! ” หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อรีบจัดเตรียมห้องไว้ให้พร้อม

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นได้ส่ายหัว “มันยังไม่พอหรอกนะ”

“อะไรนะ? “

“ข้าอยากที่จะได้สองห้อง”

“ไม่…ไม่…ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด…” ชายผู้ดูแลรีบพูดออกมาพร้อมน้ำตา

เหตุผลที่ลู่โจวต้องการที่จะใช้ห้องสองห้องนั้นแสนจะง่ายมาก แม้ว่าหยวนเอ๋อจะเป็นเด็กสาวตัวน้อยไร้เดียงสา แต่ถึงแบบนั้นเธอก็อายุ 16 ขวบแล้ว สำหรับลู่โจวเธอคนนี้ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ดังนั้นลู่โจวจึงรู้สึกไม่สะดวกใจเท่าไหร่ที่จะพักห้องเดียวกับเธอ

ลู่โจวเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้เดินตามไปด้วยท่าทีที่ร่าเริง ในตอนที่เดินผ่านชายผู้มาเยือนไป ในตอนนั้นเองลู่โจวก็เหลือบเห็นดาบในมือ

“ดาบคู่อย่างงั้นหรอ”

ชายคนนั้นรู้สึกประหลาดใจมาก “นายท่าน นายท่านมีสายตาที่หลักแหลมเหมือนกันนะ! “

“หนึ่งในดาบคู่มีลายสลักมังกร ส่วนอีกเล่มมีลายสลักเป็นรูปของนกฟีนิกซ์ ดาบคู่ทั้งสองชิ้นล้วนแต่เป็นอาวุธระดับโลกมนุษย์ที่มีพลังสูงที่สุด แต่ถึงแบบนั้นมันก็เทียบเท่าไม่ได้กับอาวุธระดับสรวงสวรรค์…” ลู่โจวพูดไปพร้อมกับลูบเคราไปด้วย

“เมื่อพวกเจ้ารู้ว่ามันคืออะไรพวกเจ้าก็ควรจะระวังคำพูดกับข้าไว้สักหน่อยนะ ถ้าหากเป็นเวลาอื่นข้าก็คงจะใช้พวกมันสั่งสอนคนที่กล้าดูถูกข้าแล้ว” ในขณะที่ชายคนนั้นจับตาดูหยวนเอ๋ออยู่ เขาก็ส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “ดาบเล่มนี้ได้สังหารศัตรูไปแล้วนับไม่ถ้วน แน่นอนมันได้สะสมพลังอันชั่วร้ายมาแล้วกว่าสิบปี และเพราะพลังนั้นเองทำให้อาวุธชิ้นนี้กลายเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ไปแล้ว มันไม่ใช่อาวุธระดับโลกแบบที่เจ้าพูดหรอกนะ”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง เขาได้ตอบโต้ลบล้างความคิดอะไรของชายคนนั้น ชายผู้มาเยือนได้พูดต่อไป “ในความคิดของข้าไม่มีอาวุธชิ้นไหนจะคมไปกว่าดาบคู่ทั้งสองเล่มนี้แล้ว”

ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้พูดออกมาอย่างสงสัย “เจ้าน่ะใช้ดาบคู่นี้ด้วยมือของตัวเองอย่างงั้นหรอ? “

ชายคนนั้นส่ายหัวพร้อมตอบออกมา “ข้าน่ะใช้ดาบยาวส่วนพี่ชายของข้าน่ะใช้ดาบสั้น”

‘โอ้ ดาบอีกเล่มหนึ่งเป็นของพี่ชายเจ้านี่อย่างงั้นหรอ…อืม พี่ชายคนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นสินะ? ‘ ลู่โจวคิดอยู่ในใจก่อนที่จะลูบเคราของตัวเอง แน่นอนว่าในตอนนี้สีหน้าของเขาอย่างสงบไร้อารมณ์และความรู้สึกอยู่

“ดาบนั่นคมสักแค่ไหนกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอย่างสงสัย

ชายผู้มาเยือนไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาได้ชักดาบสั้นออกมาแทน ที่ปลายดาบสะท้อนให้เห็นถึงประกายอันหนาวเหน็บตั้งแต่แรกเห็น เขาใช้มือขวาถือดาบเล่มนี้เอาไว้หลังจากนั้นก็ใช้มือซ้ายดึงเส้นผมของตัวเองออกมา เขาปล่อยเส้นผมจากมือแล้วเป่าเบาๆ ก่อนที่จะใช้ดาบสั้นตัดไปที่เส้นผมเส้นนั้น เส้นผมที่สัมผัสกับคมดาบได้ขาดออกอย่างง่ายดาย เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าดาบเล่มนี้มันคมมากสักแค่ไหน

ชายคนนั้นดูภาคภูมิใจในความคมของดาบเป็นอย่างมาก “ข้าบอกแล้วว่าไม่มีอาวุธชิ้นไหนในโลกที่จะคมไปกว่าดาบคู่นี้ได้ ตอนนี้นายท่านมีคำถามอื่นอีกไหม? “

ลู่โจวนึกถึงอาวุธที่เขามี อาวุธที่มีชื่อว่านิรนาม ถ้าหากใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์โจมตีเข้าใส่อาวุธนิรนามที่ตัวเขามี และถ้าหากมันแตกออกไม่เหลือชิ้นดี ลู่โจวก็จะไม่รู้สึกเสียดายอาวุธนิรนามที่ตัวเขามีเลยแม้แต่น้อย

ในพริบตาลู่โจวก็ได้แย่งดาบสั้นมาถือเอาไว้ในมือ ตัวเขาไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ในตอนนั้นเองชายผู้มาเยือนก็รีบพูดห้ามปรามขึ้น “อย่าได้ลองใช้มันนะ! “

“ทำไมกัน? “

“ข้าแค่บอกว่าข้ามีดาบที่ดี ข้าคงรู้สึกเสียดายแย่ถ้าหากมันถูกทำลายไป” ชายคนนั้นให้เหตุผล

“ถ้าหากมันคมจริงแล้วมันจะแตกได้ยังไงกัน” ลู่โจวได้ตอบกลับก่อนที่จะง้างดาบเล่มนั้นเพื่อตีเข้ากับอาวุธนิรนาม

เสียงโลหะทั้งสองชิ้นที่เข้าปะทะกันได้ดังไปทั่วทุกทิศทาง ในตอนนั้นเองประกายแสงก็ได้เจิดจ้าไปทั่วโรงเตี๊ยม ลู่โจวมองไปที่อาวุธนิรนามของเขา อาวุธนิรนามไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากนั้นลู่โจวก็เหลือบมองไปที่ดาบสั้นเล่มนั้น ดาบสั้นก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเช่นกัน

เหตุการณ์นี้เองทำให้ลู่โจวรู้สึกสับสนมาก จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เท่ากับว่าอาวุธที่เขามีนั้นแข็งแกร่งพอๆ กับดาบคู่เล่มนี้ แต่แล้วตัวเขาก็ยังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ แล้วทำไมอาวุธนิรนามถึงไม่สามารถทำลายเศษเหล็กที่อยู่ในห้องลับได้ เป็นไปได้ไหมว่าอาวุธชิ้นนี้เหมาะที่จะมาทำเป็นโล่ป้องกันมากกว่าที่จะเอามาทำเป็นอาวุธโจมตี

ในตอนนั้นเอง ชายผู้มาเยือนก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เขามองดูอาวุธนิรนามอย่างไม่ละสายตา “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีอาวุธในโลกใบนี้ที่สามารถต้านทานความคมของดาบคู่สองเล่มนี้ได้! “

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ “เจ้าน่ะอาจจะยังไม่รู้ เจ้าเชื่อรึเปล่าล่ะว่าท่านปู่ของข้าสามารถทำลายอาวุธชิ้นนั้นด้วยมือข้างเดียวได้? “

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย เขาจึงหันไปพูดกับหยวนเอ๋อในทันที “เงียบซะ! “

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ ชายผู้มาเยือนก็ได้เดินไปยังอีกห้องห้องหนึ่งพร้อมกับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ของตัวเขา หลังจากที่เดินไปถึงห้องของตัวเองชายคนนั้นก็ได้หันกลับมาพูดเบาๆ “ข้ามีนามว่าซูผิง…หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งนะ”

เสียงที่ได้ยินทำเอาลู่โจวแปลกใจมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังห้องของตน

ซูผิงได้เดินเข้าห้องของตนไปพร้อมกับดาบคู่ที่อยู่ในอ้อมแขน ซูผิงที่เข้าไปถึงห้องพักได้วางดาบทั้งสองเล่มลง ในตอนนั้นเองเสียงแตกก็ได้ดังขึ้น ซูผิงที่ได้ยินเสียงแตกรีบดึงดาบสั้นออกมาด้วยความมึนงง

ในตอนนั้นเองความจริงอันสยดสยองก็ได้ปรากฏขึ้น ที่กลางใบดาบได้หักออกเป็นสองท่อน!

“นี่มัน…เป็นไปได้ยังไงกัน? ” ซูผิงรู้สึกตกใจมาก หัวใจของเขากำลังแหลกเป็นเถ้าถ่าน ดาบเล่มนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา แต่ในตอนนี้มันกลับถูกทำลายไปแล้ว! นี่เป็นผลงานของตาแก่นั่นอย่างงั้นหรอ?

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักดาบก็คือดาบของพวกเขานั่นเอง แน่นอนว่าอาวุธอย่างดาบนั้นถือว่าสำคัญสำหรับนักดาบเหนือสิ่งอื่นใน และในตอนนี้ดาบคู่ใจของชายที่ชื่อว่าซูผิงก็ได้ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อย เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะล้างแค้นให้กับมัน!

ซูผิงได้แต่ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธแค้น เขารีบหยิบดาบยาวเล่มนั้นไปก่อนที่จะดึงออกมาจากฝักในทันที ซูผิงได้เปิดประตูด้วยความโกรธก่อนที่จะเดินออกจากห้องของตนไป

หลังจากที่ออกจากห้องมาได้ที่มุมทางเดินมีชายคนหนึ่งที่กำลังสวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินกำลังขวางทางเขาอยู่ ชายคนนั้นกำลังยืนอยู่กับที่พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ แต่ถึงแม้ว่าจะเพิ่งพบเจอกันซูผิงก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวของชายแปลกหน้าที่ไม่ธรรมดาได้

“ขอทางให้ข้าด้วย! ” ซูผิงพูดออกมาอย่างเร่งรีบ

ชายที่สวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินได้ยิ้มให้ก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ข้าขอโทษทีนะ”

“หลีกทางไปซะ! “

ไม่นานหลังจากซูผิงพูดออกมาเป็นครั้งที่สอง ชายแปลกหน้าก็ได้ชักดาบออกมาจากทางด้านหลังของตน การเหวี่ยงดาบของชายคนนั้นรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เขาได้ใช้ดาบฟาดฟันในชั่วพริบตาก่อนที่จะเก็บดาบลงไปในฝักเหมือนเดิมอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาเมื่อครู่มันช่างราบรื่น, ดูเป็นธรรมชาติ และทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นแค่ในพริบตาเดียว การฟันโดยใช้ความสามารถแบบนี้จะต้องมาจากผู้ที่ฝึกฝนการฟันดาบมาแล้วนับหมื่นนับแสนครั้ง

หลังจากนั้นชายคนแปลกหน้าก็ได้เดินกลับไปยังห้องของตนโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมา

ซูผิงได้แต่ยืนเฉย ตัวเขาที่ถือดาบยาวอยู่สีหน้าในตอนนี้นั้นมีแต่ความตื่นตกใจ เขายืนอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ได้ขยับไปไหน

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ดาบยาวอีกเล่มก็ได้หักลงก่อนที่จะตกลงสู่พื้น

เพล๊ง!

ซู่ผิงล้มลงกับพื้นก่อนที่จะมีเลือดไหลออกมาจากคอ

ในตอนนั้นเองที่ห้องพักแห่งหนึ่ง ชายผู้ใช้ดาบสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินก็ได้แต่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะอย่างไร้ความรู้สึก ในตอนนั้นเขาได้แต่พูดกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ท่านไปอยู่ที่ไหนกันนะ? “