ตอนที่ 199 ไม่เชื่อว่าบางสิ่งไม่มีอยู่จริง ตอนที่ 200 อาหารสัตว์ก็เหมือนอาหารคน

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 199 ไม่เชื่อว่าบางสิ่งไม่มีอยู่จริง

ลงโทษห้าปี พรากลูกสิบปี โดยรวมๆ สภาพแวดล้อมก็จะเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เช่นนี้ไม่ค่อยดีน่ะสิ!

พลังบวกแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องฟังเรื่องราวอย่างความจริง ความดีและความงามเทือกนั้นเข้าไว้ ถึงขั้นควรอ่านคำกล่าวของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าให้มากๆ หน่อย จะช่วยให้ใจกว้างและจิตใจเบิกบานได้ ซึ่งในขณะเดียวกันก็จะทำให้จิตใจของคนที่ยังไม่เคยทำร้ายผู้อื่นได้มองโลกในแง่ดีหน่อย ไม่เช่นนั้นเอาแต่คิดว่าชีวิตดำเนินไปอย่างทุกข์ยากลำบาก จะกลายเป็นปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมทั้งที่มีข้อผิดพลาด และทั้งนี้ก็ไม่เป็นการทำให้สูญเสียเจตนาเดิมที่มีอยู่อีกด้วย

แน่นอนละว่า แนวคิดของซ่งอิงที่สำคัญสุดคือหมู่บ้านนี้อยู่ไกลโพ้น ชาวบ้านคิดว่าออกไปไหนมาไหนไม่สะดวกสบาย ดังนั้นน้อยคนนักจะออกจากหมู่บ้าน จึงยิ่งไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนภายนอก เวลานานวันเข้า ต่อให้ในหมู่บ้านเกิดเรื่องราวขึ้น คนที่คนเหล่านี้นึกถึงก็มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น ไม่มีที่ทำการขุนนางอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงต้องการคนบางส่วนมาคลุกคลีกับคนในหมู่บ้านให้มากๆ หน่อย

เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ย่อมเปลี่ยนแปลงนิสัยคนได้บ้างแน่นอน

ทว่าซ่งอิงรู้เช่นกันว่าตนเองปากมากไปแล้ว หลังเอ่ยพูดจบก็หัวเราะเจื่อน “ต้าเหริน ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเจ้าค่ะ”

“เจ้าพูดถูก ข้าจะให้ที่ว่าการอำเภอทางด้านนั้นส่งคนมาดำเนินการสั่งสอนชี้แนะพวกนาง” ฮั่วเจ้ายวนกลับกล่าวอย่างเห็นดีด้วย

ซ่งอิงเม้มปาก “นอกจากอ่านตำราให้ฟัง…ข้าคิดว่าจัดตั้งสมาคมสตรีขนาดย่อมๆ สักกลุ่มก็ได้นะเจ้าคะ…”

“สมาคมสตรี?” ฮั่วเจ้ายวนมองนางอย่างประหลาดใจ

ซ่งอิงอยากเขกศีรษะตัวเองเสียเหลือเกิน ใครใช้ให้เจ้าปากมาก!

“ก็คือ…กลุ่มหญิงที่ออกเรือนแล้วกลุ่มหนึ่ง รับผิดชอบปกป้องหญิงภรรยาและเด็ก กำหนดช่วงเวลาไปเยี่ยมบ้านได้ ช่วยชี้แนะทำให้สุขภาพจิตของหญิงที่ออกเรือนแล้วเหล่านั้นแข็งแรงดี นอกจากนี้ยังปรับความขัดแย้งระหว่างสามีและภรรยาได้ด้วยเช่นกัน…” ซ่งอิงกลั้นใจบอกกล่าว

ยุคสมัยนี้ไม่มีแนวคิดอย่างบุรุษและสตรีเท่าเทียมกัน ดังนั้น ข้อเสนอของนางเกรงว่าจะไม่ช่วยอะไร

ฮั่วเจ้ายวนทำความเข้าใจความหมายในคำพูดของนาง จากนั้นชั่วขณะหนึ่งก็พยักหน้า “ก็ดี ไว้จะหาคนไปจัดการแล้วกัน”

“…” ตกลงง่ายดายขนาดนี้เชียว!?

“ยังมีอะไรไม่เหมาะสมอีกหรือ?” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยถาม

“ไม่มีเจ้าค่ะ” ซ่งอิงส่ายหน้าพัลวัน แต่ก็นึกถึงเรื่องของปีศาจตนนี้ขึ้นมาได้ แต่ยังไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงเอ่ยถาม “ต้าเหริน…แม้ว่าหมู่บ้านนี้มีปัญหาอยู่บ้าง แต่…ยังหามือสังหารที่ปลิดชีพทั้งสิบเอ็ดคนไม่เจอ ท่านมีความคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ”

“คุณหนูซ่งคิดว่าอย่างไรล่ะ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว

เมื่อก่อนตอนที่เขาได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูซ่งผู้นี้ คนอื่นๆ ได้แต่รำพันคำเดียวว่าน่าสงสาร

ได้ยินว่าคุณหนูซ่งนั้นตอนเด็กร่างกายไม่แข็งแรง ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่พบเจอผู้คนบ่อยครั้งนัก แล้วยังถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวผู้เป็นญาติ ต่อมาภายหลังกำหนดให้หมั้นหมายกับอ๋องชราภาพ ผู้คนต่างรู้ว่าเรื่องที่เหยียนผิงโหวผู้นั้นกระทำช่างน่าตลกเหลือเกิน แต่กลับไม่มีผู้ใดขัดขวาง

ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูซ่งผู้นี้ไร้ความสามารถและชื่อเสียง แล้วยังไม่ได้รับความเอ็นดูอีกด้วย

ถึงขั้นว่ามีคนเคยกล่าวว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งท่านนี้ แม้รูปลักษณ์งดงาม แต่นิสัยใจคอกลับพื้นๆ ธรรมดา แม้ไม่ถึงขั้นโง่เขลา แต่ก็ไม่ได้ฉลาดกว่าคนระดับธรรมดาทั่วไป

แต่ช่วงเวลาที่เขากลับเมืองยงมานี้ ได้เจอแม่นางผู้นี้แล้วหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนดั่งคำเล่าลือป่านนั้น

“ข้าคิดว่า…เลือกที่จะเชื่อว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นหรือบางสิ่งมีอยู่จริง แทนที่จะเชื่อว่าไม่มีอยู่จริง” ซ่งอิงกล่าวอย่างจริงจังมาก

หากใต้เท้าท่านนี้ยังเสียพลังกายพลังใจไปตรวจสอบอีก เกรงว่าก็คงตรวจสอบไม่ได้ความอะไรเช่นกัน

“คุณหนูซ่งเชื่อเรื่องพวกภูตผีปีศาจ?” ฮั่วเจ้ายวนมุ่นคิ้วเล็กน้อย นี่ไม่ดีเอาเสียเลย

“ข้าเพียงแต่คิดว่า หากเป็นวิญญาณอาฆาตมาพรากชีวิตไป ก็จะทำให้คนจิตใจชั่วช้าเหล่านั้นนึกหวาดกลัวสักหน่อยและไม่กระทำเรื่องเลวทรามเพราะเกรงกลัวว่าผีจะมาเคาะประตู หากบนโลกมีผีจริง เช่นนั้นเมื่อกระทำเรื่องเลวทราม คาดว่าคงไม่กล้าเปิดประตูกันอีก” ซ่งอิงคิดแนวการพูดที่ดูสมเหตุสมผล แล้วกล่าวออกไป

ฮั่วเจ้ายวนไม่ได้เอ่ยวาจาใด

ตามเจตนาของเขา ย่อมต้องการตรวจสอบต่อไปแน่นอน

ชีวิตคนเหล่านั้น มีผู้โชคร้ายที่มาเพื่อทำงาน ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจ้งสักหน่อยให้

ทว่ามือชันสูตรของที่ว่าการอำเภอตรวจสอบร่างศพไปแล้วหลายครั้ง ไม่พบร่องรอยบาดเจ็บภายนอกใดๆ ล้วนเป็นการจมน้ำเสียชีวิตทั้งหมด สถานการณ์ประเภทนี้ทำให้รู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ และอดคิดมากไม่ได้

“วัชพืชในแม่น้ำรกและยาว ครั้นตกลงไปในน้ำจะต้องพันเกี่ยวเท้าและยากแก่การสลัดตัวให้หลุดพ้นเป็นแน่ คนชั่วตายไปก็ไม่เท่าไร แต่คนที่ไร้เดียงสาอื่นๆ ข้าจะจัดหาคนมาดูแลปลอบขวัญ”

ตอนที่ 200 อาหารสัตว์ก็เหมือนอาหารคน

ให้เขายอมรับว่าเป็นฝีมือชั่วร้ายของภูตผีปีศาจ เป็นเรื่องยากสุดแสนลำบากจริงๆ

แต่คุณหนูซ่งพูดถูก ทิ้งความลี้ลับเอาไว้สักหน่อย ก็จะเป็นประโยชน์ในการสร้างความหวาดกลัวให้คนจิตใจชั่วร้ายในหมู่บ้านนี้ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ตรวจสอบปัญหาแล้วไม่ได้ความ ก็คงทำได้เพียงเท่านี้

ซ่งอิงได้ยินคำพูดของเขาก็เข้าใจความหมายได้

ฝ่ายขุนนางระบุคดีความตกน้ำอันเนื่องจากวัชพืชน้ำ แต่ในหมู่ชาวบ้านบอกกล่าวต่อๆ กันอย่างไร นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้

วัชพืชน้ำสามารถพันข้อเท้าได้ แต่ไม่สามารถดึงคนจำนวนมากขนาดนี้ตกน้ำลงไปได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหลังจากนี้ก็ยังจะมีคนคิดว่าเรื่องนี้ซ่อนความลี้ลับเอาไว้ หลังจากนั้นชาวบ้านบางส่วนที่ขี้ขลาดตาขาวหน่อย ก็จะยิ่งไม่กล้ากระทำเรื่องชั่วช้าอย่างการทำร้ายคนอีกแล้ว

หลังสะสางเรื่องราวไปได้พอประมาณ สีสันท้องนภาก็ย่ำเย็นแล้ว

ซ่งอิงหิวจนท้องไส้แห้งกิ่วเล็กน้อย วันนี้นางออกจากบ้านมาเดิมทีจะมุ่งหน้าไปตัวอำเภอ ยิ่งไปกว่านั้นคิดไว้ว่าจะกินข้าวที่ตัวอำเภอ ดังนั้นจึงไม่ได้พกอาหารแห้งติดตัวมาด้วย ในช่องว่างระหว่างมิติแม้จะมีลวี่โต้วกั่วอยู่บ้างรวมไปถึงหัวไชเท้าที่เตรียมไว้ให้ต้าไป๋ แต่ของเหล่านี้ไม่อิ่มท้อง

จากหมู่บ้านสือโถวถึงหมู่บ้านซิ่งฮวา อย่างน้อยๆ ก็ต้องหนึ่งถึงสองชั่วยาม…

ขณะครุ่นคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

ครั้นหันไปมอง เห็นเพียงทหารอารักขาเหล่านั้นไม่รู้เช่นกันว่าหยิบเอาหม้อใบใหญ่และไก่ป่าสองตัวมาตั้งแต่เมื่อใด คิดไม่ถึงว่าจะเตรียมต้มกันตรงนี้เลย

ก็จริง ทุกคนต่างถ่อกันมาจากที่ห่างไกล มีหรือจะไม่หิว โดยเฉพาะเป็นบุรุษเมื่อเทียบกับสตรีการเผาผลาญจะมากกว่า คนเหล่านี้เมื่อครู่มีหน้าที่งมซากศพทั้งยังลงมือตรวจสอบ เกรงว่าแทบจะทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว

เพียงแต่ กินไก่ป่าจะไม่เกินไปหน่อยหรือ

คนในหมู่บ้านนี้คาดว่าปีหนึ่งๆ ไม่เคยได้สูดดมกลิ่นเนื้อกันเลยกระมัง…

อีกทั้ง พวกเขาคนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ไก่ป่าเพียงสองตัวจะพอยาไส้หรือ….

ซ่งอิงเลียริมฝีปาก คิดว่าตัวเองไม่ค่อยเอาไหน ถอนหายใจออกมา แล้วปีนขึ้นไปบนรถลาของนาง “ต้าไป๋ เรากลับบ้านกันเถอะ”

หลังกลับบ้านนางจะซื้อไก่แก่สักตัวจากเพื่อนบ้านมาลิ้มรสเช่นกัน

“คุณหนูซ่ง” รถลาของซ่งอิงเพิ่งเคลื่อนไปบนเส้นทาง ใต้เท้าท่านนั้นที่อยู่ด้านหลังก็เรียกรั้งนางไว้ “รับประทานอาหารแล้วค่อยไปเถอะ”

“นี่ไม่ดีกระมัง” ซ่งอิงปรายตามองไก่ป่าแวบหนึ่ง

ดูลักษณะค่อนข้างน่ากินทีเดียวเชียว

นี่เป็นกลิ่นป่าที่ล้ำค่าเชียวนะ ภพก่อนอยากกินยังหากินไม่ได้ ชีวิตนี้…ไก่ป่าก็ไม่ใช่ว่าจะจับกันได้ง่ายดายขนาดนั้น พวกมันบินได้ แต่นางไม่มีปีก

ทว่ามองดูไก่สองตัวนี้ น่าจะตายเพราะถูกลูกธนูยิง น่าเวทนาจริงๆ นางกินได้สองชามใหญ่ๆ

“คุณหนูซ่งเมื่อครู่เพิ่งเสนอความคิดเห็นที่ไม่เลว มื้อนี้ถือเป็นค่าแรงแล้วกัน” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว

บุตรสาวจากตระกูลใหญ่โต เดิมควรนั่งรถม้าหรือเกี้ยว แต่บัดนี้ทำได้เพียงปีนขึ้นรถลาอย่าง ‘ตะลีตะลาน’ บนรถลาคันนั้นยังเต็มไปด้วยขวดโถ แออัดยัดเยียดจริงๆ แน่นขนาดที่ว่าแม่นางคนหนึ่งอย่างนางต้องขดตัวกลม

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้ แววตาคุณหนูซ่งดูจดจ่อเหลือเกิน แม่นางผู้นี้จะว่าไปก็เพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น บางทีอาจมีนิสัยเด็กอยู่บ้าง นี่ถึงได้ดูอยากกินเนื้อสัตว์อย่างยิ่ง จึงให้นางได้ลิ้มชิมรสด้วยกัน

หากเป็นชาวบ้านทั่วไป ย่อมมีความรู้สึกเกรงกลัวเขา เขาย่อมไม่เชื้อเชิญเป็นแน่

แต่ฐานะตัวตนของคุณหนูซ่งผู้นี้ อย่างไรเสียก็แตกต่างออกไปในทุกๆ ด้าน เมื่อครู่พูดจาและกระทำอันใดก็ไม่เหมือนคนขี้ขลาดตาขาว…

ซ่งอิงครุ่นคิด ท้ายที่สุดพยักหน้าอย่างเกรงใจ แสร้งทำท่าทางค้นหาบางอย่างในกองฟางที่อยู่บนรถ ท้ายที่สุดก็หยิบเอาหัวไชเท้าขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติ

“ขอบคุณมากต้าเหริน ทว่าข้าก็ไม่สะดวกที่จะกินอาหารของต้าเหรินโดยเปล่าๆ ก็ใช้หัวไชเท้านี้แลกเปลี่ยนแล้วกัน ข้ามีฝีมือในการทำครัวอยู่บ้าง เรื่องทำอาหารนี้มอบให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ!” ซ่งอิงลงจากรถทันที ในขณะเดียวกันก็โยนหัวไชเท้าขนาดใหญ่ให้ต้าไป๋หนึ่งหัว

ฮั่วเจ้ายวนมองดูลาตัวสีขาวนั่นแทะเล็มหัวไชเท้า แล้วมองที่อยู่ในมือซ่งอิง…

ตามจริงก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

แต่ไม่ทันไร ก็เข้าใจถึงความยากจนและความลำบากของสตรีผู้นี้ ส่งผลให้อาหารสัตว์ก็เหมือนอาหารคน