ตอนที่ 201 แต่งงานแล้วหรือ ตอนที่ 202 มีความนึกคิดไม่ซื่อ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 201 แต่งงานแล้วหรือ

ใต้เท้าผู้นี้ออกมาข้างนอกทั้งทีพกพาสิ่งของมาด้วยจำนวนไม่น้อย ทหารอารักขาหนึ่งในนั้นหยิบเอาวัตถุดิบมากมายออกมาจากถุงสัมภาระ แม้แต่หัวหอม ขิง กระเทียมเหล่านี้ล้วนเตรียมไว้เสร็จสรรพ

ด้านสีสันอาหาร นอกจากไก่ป่าที่จับเอามาระหว่างทาง ก็ยังมีเนื้อหมูแห้งส่วนหนึ่งรวมไปถึงต้าปิ่ง

ซ่งอิงรับเอามาทั้งหมด

จรดมีดหั่นผักทำการหั่นไก่ป่าเป็นชิ้นๆ อย่างคล่องแคล่วเตรียมเอาไว้ จากนั้นนำวัตถุดิบผัดกับน้ำมันจนหอมฉุย แล้วนำไก่ลงไปทอดให้เหลืองนวล ตามด้วยใส่เครื่องปรุงเล็กน้อย ไม่ทันไรกลิ่นหอมก็โชยมา ไก่ป่าตัวนี้ให้กลิ่นสดใหม่ กระทั่งตุ๋นไปพอประมาณแล้วก็นำหัวไชเท้าขนาดใหญ่ที่ตนเอามามาหั่นเป็นแว่นๆ ใส่ตามลงไป ทันใดนั้นรสชาติก็ยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

ตอนที่ตุ๋นไก่ ซ่งอิงกวาดตามองโดยรอบ หมู่บ้านสือโถวแม้ไม่มีนาขาว แต่ไม่ถือว่าแห้งแล้งเสียทั้งหมด ดังนั้นริมทางก็มีผักป่าไม่น้อยเช่นกัน นางจึงเด็ดเอามาจำนวนหนึ่งให้คนล้างจนสะอาด แล้วนำมาผัดกับเนื้อตากแห้งจนเกิดกลิ่นหอมตลบ

ซ่งอิงเพียงแค่ชื่นชอบการกิน และเพราะตัวคนเดียว เธอจึงทำได้เพียงทำอาหารด้วยตนเอง รสชาติแน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับพ่อครัวระดับสูงเหล่านั้น แต่ก็ไม่แย่แน่นอน

นำต้าปิ่งวางเอาไว้ริมหม้อ อาศัยน้ำแกงไก่ตุ๋นที่กำลังร้อนจี๋ช่วยให้อ่อนนุ่มขึ้นหน่อย ไม่นานนักก็พร้อมรับประทานอาหารได้แล้ว

เพียงแต่เดิมทีซ่งอิงเข้าใจว่าไก่ป่าสองตัวนี้เป็นอาหารสำหรับทุกคนกินด้วยกัน ครั้นลงมือจับตะเกียบจึงรู้ว่า ที่บรรดาทหารอารักขากินคืออาหารแห้งธรรมดาๆ ไก่สองตัวนี้ใต้เท้าผู้นี้กินคนเดียว แม้แต่ผู้ติดตามเขาที่ดูเก่งกาจที่สุดยังแทะปิ่งจื่ออยู่ข้างๆ อย่างหน้าตาเฉย

นี่ก็เลยส่งผลให้นางและใต้เท้าฮั่วท่านนี้ต้องนั่งรับประทานอาหารบนก้อนหินโดยหันหน้าเข้าหากัน…

ช่างเป็นความโหดร้ายของสังคมชนชั้นจริงๆ

ทว่าซ่งอิงก็ไม่ได้กวาดสายตาสาดส่องไปทั่วอีกต่อไป นั่งกินข้าวไปอย่างว่าง่าย

ตามจริงฮั่วเจ้ายวนไม่ค่อยหิวสักเท่าไร แต่เมื่อกลิ่นหอมของไก่ตุ๋นโชยมา ก็รู้สึกท้องหิวเสียแล้ว

เนื้อหมูแห้งคู่กับผักป่า รสชาติ…ได้รสเนื้อสัตว์แต่ไม่รู้สึกเลี่ยน สีสันน่ารับประทานและไม่มีรสขมเลยแม้แต่น้อย ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ สามารถทำได้เช่นนี้ เห็นได้ว่าฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ

ส่วนไก่ตุ๋นนี้…

ฮั่วเจ้ายวนคีบขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น

หัวไชเท้านั่นสดใหม่และหอมเข้าเนื้อทั้งยังมีรสสัมผัสนุ่ม บนน้ำแกงโรยใบอ่อนผักป่าเอาไว้สี่ห้าใบ น้ำแกงจึงยิ่งมีความเขียวมรกต สีสันน่ารับประทาน

ฮั่วเจ้ายวนนึกถึงภัตตาคารเย่ว์เฟิงขึ้นมา

กิจการที่นั่นไม่เลวเช่นกัน อาหารขึ้นชื่อล้วนมีรสชาติที่ทำให้เขาพึงพอใจ แต่อาหารที่คุณหนูซ่งทำสองอย่างนี้ อย่างหนึ่งมีรสชาติอย่างธรรมชาติตามป่าเขา เหมาะแก่การกินกับข้าวสวยอย่างยิ่ง ส่วนอีกอย่างเป็นรสชาติที่อร่อยเลิศมาก ภัตตาคารเย่ว์เฟิงก็ยังเทียบไม่ได้

คุณหนูซ่งผู้นี้ หากไม่ไปเป็นกุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ แต่เป็นแม่ครัวคนหนึ่งก็น่าจะเหมาะสมไม่เลวเช่นกัน

เพียงแต่คำพูดนี้แน่นอนว่าฮั่วเจ้ายวนไม่ได้พูดแต่อย่างใด เขารู้ว่าคุณหนูตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนต้องการความเคารพในศักดิ์ศรีและต้องการชื่อเสียงกันทั้งนั้น หากเขากล่าวชมเชยนางว่าฝีมือดีกว่าแม่ครัว เกรงว่าจะไม่ได้รับคำขอบคุณจากคุณหนูซ่งผู้นี้ หากแต่เป็นการมองค้อนใส่เสียมากกว่า

เวลานี้ซ่งอิงไม่รู้เลยว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้คิดอะไรต่อมิอะไรในสมองมากมาย

นางคิดเพียงแค่ไก่ป่าอร่อยจริงๆ

“เจ้าตัวคนเดียวไม่ค่อยสะดวกเท่าใดนัก ให้เจ้าหน้าที่มือปราบสองคนไปส่งเจ้ากลับแล้วกัน” เมื่อกินเสร็จ ฮั่วเจ้ายวนกล่าวด้วยความเกรงใจอีกครั้ง

ซ่งอิงส่ายหน้า “ขอบคุณต้าเหรินมากเจ้าค่ะ ทว่าข้าเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว ข้างกายก็ไม่มีผู้ใดเคียงข้าง ให้ท่านขุนนางสองท่านไปอารักขาส่งจะไม่ค่อยเหมาะสมนักเจ้าค่ะ”

คนที่ไม่รู้เห็นเข้าจะคิดไปว่านางกระทำความผิดมาแล้วเสียอีก

ซ่งอิงใส่หมวกเอาไว้ตลอดเวลา ต่อให้ยามที่กินข้าวก็เลิกเปิดขึ้นเพียงด้านเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ฮั่วเจ้ายวนเลยไม่ได้มองนางอย่างละเอียด

ครั้นนางเอ่ยพูดออกมาเช่นนี้ ฮั่วเจ้ายวนจึงมองสำรวจ แต่แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมากะทันหัน “คุณหนูซ่ง…แต่งงานแล้วหรือ”

ใต้หมวกที่ใส่อยู่นี้ ผมที่รวบมัดไว้ดูเหมือนมวยผมหญิงที่ออกเรือนแล้ว?

“ใช่สิเจ้าคะ” ซ่งอิงพยักหน้า

พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันเสียหน่อย นางแต่งงานแล้วเป็นเรื่องที่ชวนตกตะลึงขนาดนั้นเชียวหรือ

“เพราะถูกผู้อื่นบังคับ?” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

จากที่เขารับรู้ ข่าวคราวการเสียชีวิตของคุณหนูซ่งท่านนี้แพร่สะพัดออกมาน่าจะประมาณช่วงฉลองปีใหม่ ดังนั้นน่าจะมาถึงเมืองยงตามๆ เขา อย่างเร็วสุด ก็น่าจะมาลงหลักปักฐานที่นี่หลังเดือนสามเป็นต้นไป

บัดนี้ ทว่าบัดนี้ ยังไม่ถึงเดือนเจ็ดเลย…

ช่วงเวลาอันสั้นแค่นี้ก็แต่งงานแล้วหรือ

ตอนที่ 202 มีความนึกคิดไม่ซื่อ

ฮั่วเจ้ายวนแอบไม่ค่อยสุขใจเท่าไรนัก แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะคิดว่าคุณหนูซ่งผู้นี้เกินไปแล้ว แต่เป็นเพราะคิดว่าจวนเหยียนผิงโหวเลือดเย็นจริงๆ ปล่อยข่าวลือว่าทายาทที่ให้กำเนิดเสียชีวิตก็แย่พอแล้ว ยังไม่ให้เงินทองทรัพย์สมบัติติดตัวเอาไว้อีก!

หากแม่นางผู้นี้มีเงินก็จะไปอยู่ในตัวอำเภอได้สบายๆ ซื้อเรือนหลังใหญ่สักหลังแล้วจ้างข้ารับใช้ เหตุใดเพื่อดำรงชีวิตจึงต้องบุกบากฝ่าฟันทำมาหากิน และถึงขั้นแต่งงาน?

ซ่งอิงคิดว่าใต้เท้าฮั่วท่านนี้ท่าทางประหลาดมาก

“เป็นหญิงจะอย่างไรก็ต้องออกเรือนนี่เจ้าคะ? ราชสำนักกำหนดไว้ว่า บุตรสาวหากมิใช่เพราะต้องไว้ทุกข์แก่บิดามารดา อายุสิบเก้าไม่ออกเรือนต้องพูดคุยถึงบทลงโทษบิดามารดา บัดนี้ข้าอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ย่อมต้องหาหนุ่มที่สมดังใจปรารถนาสักคนเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ” ซ่งอิงชักสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณต้าเหรินที่ห่วงใยเจ้าค่ะ”

ซ่งอิงพูดจบ จู่ๆ ก็เลิกม่านมุ้งของหมวกตัวเองขึ้นอย่างเปิดเผยและแสดงออกอย่างจริงใจ

นางว่า ใต้เท้าฮั่วผู้นี้เกรงใจนางเกินไปแล้ว!

ต้องเป็นเพราะวันนั้นอยู่ในป่า ท้องนภามืดมิด ใต้เท้าผู้นี้คิดว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้านางเป็นเพียงแค่คราบสกปรกเท่านั้นเป็นแน่!

ทั้งยังเห็นนางผิวพรรณดี เรือนร่างอรชร จึงเกิดความนึกคิดไม่ซื่อ!

มิเช่นนั้นคนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง…แม้ไม่รู้เช่นกันว่ายศฐาอะไร เอาเป็นว่าดูท่าค่อนข้างใหญ่โตไม่น้อย จะใจดีกับนางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

ทั้งยังให้เงินและเชื่อฟังคำพูดนาง ตอนนี้ยังเชิญนางกินอาหารด้วย…

ดูสิดูให้เต็มตา น่าเกลียดจะตาย

ซ่งอิงคลี่ยิ้มอย่างหลงใหลในตัวเอง รอยบาดแผลนั่นยิ่งดูสะดุดตาและน่าตกอกตกใจเข้าไปใหญ่

ฮั่วเจ้ายวนสบตานาง แววตาจ้องไปที่รอยแผลเป็นก็ตระหนกตกใจในทันใด

วันนั้นมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็รับรู้ว่าแม่นางผู้นี้หน้าเสียโฉมแล้ว และหลายต่อหลายครั้งที่หมวกถูกสายลมพัดผ่าน ก็แอบเผยรูปลักษณ์แท้จริงออกมาลางๆ แต่กลับไม่เคยเปิดเผยให้เห็นตรงหน้าอย่างโต้งๆ เช่นคราวนี้

รอยแผลเป็นสามขีด ทุกรอยทั้งกว้างทั้งยาว พอจะจินตนาการได้ว่าวันที่ได้รับบาดเจ็บนั้นภาพเหตุการณ์น่าเวทนาเช่นไร

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ คงทำต้าเหรินตกใจเสียแล้ว” ซ่งอิงจัดระเบียบหมวกให้เข้าที่อย่างพึงพอใจ

“รูปลักษณ์หน้าตาสักวันก็ต้องชราภาพ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือจิตใจ แม่นางเป็นคนหนึ่งที่จิตใจดีงาม ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปกับรูปลักษณ์จนเกินไป” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ

ซ่งอิงตกตะลึง

จังหวะนี้ไม่ค่อยถูกต้องกระมัง

ในยามนี้ ใต้เท้าฮั่วท่านนี้น่าจะตกใจกระโดดโหยงแล้วรีบลุกพรวดขึ้น จากนั้นส่งเสียงตะโกนลั่น นางอัปลักษณ์รีบไสหัวไป!

แต่ทำไมจึงไม่เป็นเช่นนั้น

หรือว่ายังไม่อัปลักษณ์พอ?

“เจ้าเดินทางกลับคนเดียวข้ายังไม่ค่อยวางใจอยู่ดี เอาเช่นนี้แล้วกัน ให้เจ้าหน้าที่มือปราบติดตามเจ้าห่างออกไปสิบเมตร เมื่อเจ้าเข้าไปในหมู่บ้านแล้วก็จะแยกตัวกลับ แค่นี้ก็ไม่ดึงดูดสายตาผู้คนแล้ว ได้หรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ซ่งอิงนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า

ฮั่วเจ้ายวนไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ จัดการให้คนส่งนางออกเดินทางจริงอย่างว่า

แต่ซ่งอิงมักรู้สึกว่าบทที่ตัวเองได้รับผิดจากที่คิดไว้

อีกทั้งผิดคาดไปหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วย

“ท่านขุนนาง ใต้เท้าท่านนี้…สรุปแล้วตัวตนเขาเป็นเช่นไรหรือ” ซ่งอิงจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน รู้เพียงแค่นายอำเภอพวกข้าเห็นใต้เท้าท่านนี้ก็ต้องก้มศีรษะโน้มลำตัวให้ ได้ยินว่า ใต้เท้าท่านนี้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากเมืองยง รู้เพียงแซ่ฮั่ว ทว่าฮั่วต้าเหรินท่านนี้มองดูแม้ดุดันโหดเหี้ยม แต่ในความเป็นจริงจิตใจดีงามมาก ทุกครั้งที่มา ส่วนใหญ่ล้วนเพื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปวงประชา มีเขาอยู่ย่อมจับผู้ร้ายได้แน่นอน ระยะนี้นายอำเภอพวกเราจึงขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งเชียวละ!” เจ้าหน้าที่มือปราบยิ้มแล้วกล่าว

“จะไม่กล้าขยันขันแข็งได้อย่างไรเล่า ฮั่วต้าเหรินท่านนี้หลายเดือนก่อนตัดหัวหัวหน้าทหารขุนนางของอำเภอข้างๆ หัวยังแขวนตากลมอยู่บนหอปราสาทบนกำแพงเมืองตั้งหลายวัน ได้ยินว่าทหารขุนนางผู้นั้นอาศัยตำแหน่งขุนนางลักพาตัวหญิงตระกูลดีซึ่งออกเรือนแล้ว มิหนำซ้ำยังก่อเรื่องจนถึงแก่ชีวิตอีกด้วย…” เจ้าหน้าที่มือปราบอีกคนกล่าวขึ้นบ้างเช่นกัน

ซ่งอิงเลียริมฝีปาก สรุปแล้วคนผู้นี้เป็นคนดุร้ายหรือใจดีกันแน่

ทว่าตราบจนถึงบัดนี้ ตัดความพิศวาสนางออกไป ใต้เท้าท่านนี้ดูเป็นคนดีมีเหตุมีผลมากคนหนึ่ง

เรื่องเหล่านี้ ซ่งอิงไม่เก็บเอามาใส่ใจมากเกินไปเช่นกัน อย่างไรเสียการเจอะเจอใต้เท้าท่านนี้ก็เป็นความบังเอิญ ทั้งยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน ไม่แน่ว่าหลังจากนี้จะไม่พบเจอกันแล้วก็เป็นได้