ตอนที่ 7-1 พี่สาว

หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ในเมืองผิงเฉิงเป็นเวลาครึ่งเดือน

พวกเขาจึงมอบสาวใช้สองคน เพื่อช่วยดูแล และร่วมเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับเว่ยหยาง

รถม้าของบ้านตระกูลหลี่มีความงดงามเป็นอย่างมาก

ผ้าม่านนั้นประดับด้วยอัญมณีหลากสีถักเข้าด้วยกัน และผ้าไหมเป็นสีแดงเข้มอันแสนสง่างาม เสริมด้วยการปักดอกโบตั๋นอย่างวิจิตรตระการตา

การตกแต่งภายในรถม้านั้นมีความหรูหรา และซับซ้อนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับภายนอกที่ดูเรียบง่ายและอบอุ่บ

หลี่เว่ยหยางให้ความสนใจกับมันแค่เพียงชั่วครู่ และมิได้มองมันอีกต่อไป

นางรู้ดีว่า รถม้าเป็นเพียงเครื่องมือของฮูหยินใหญ่ ที่จะใช้ในการหลอกล่อนาง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ภายในรถม้า ไป๋จื่อวางถ้วยชาร้อนลงบนโต๊ะขนาดเล็ก ที่ทำจากไม้ไผ่ด้วยความระมัดระวัง

นางได้เหลือบมองมาที่หลี่เว่ยหยางซึ่งกำลังพักผ่อนโดยการพักสายตาลงชั่วครู่

จึงมีความรู้สึกกังวล และกำลังลังเลใจว่า ควรจะชวนหญิงสาวสนทนาด้วยดีหรือไม่

รู้สึกราวกับว่า คุณหนูหลี่มิได้มีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่อยู่มาก และนางยังวางตัวมิเหมือนกับเด็กสาวโดยทั่วไป

นางมองเหลือบไปที่จื่อหยานซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อสังเกตเห็นการแสดงออกที่แปลกไปของสาวน้อยผู้นี้ จึงทำให้มีความรู้สึกกังวลใจมากขึ้น

พวกนางทั้งสองเป็นคนรับใช้ทีุ่

ตระกูลหลี่ส่งมาจากเมืองผิงเฉิงเพื่อดูแลคณหนูหลี่ผู้นี้

อย่างไรก็ตาม พวกเขามิมีความเข้าใจในท่าที เเละการแสดงออกของคุณหนูหลี่ผู้นี้เท่าใดนัก

ดังนั้นพวกนางจึงมิกล้าปริปากเพื่อกล่าวอันใดออกมาสักคำ

หลี่เว่ยหยางหลับตาลงอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ความทรงจำของนางย้อนกลับไปในปีนั้น

ในตอนที่กลับไปยังบ้านของท่าน

อำมาตย์หลี่ ผู้ซึ่งเป็นบิดาของตนเอง

เว่ยหยางก้าวเข้าไปในบ้านตระกูลหลี่ด้วยความระมัดระวัง ขณะที่ฮูหยินใหญ่มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า

รอยยิ้มอันสดใส ซึ่งแสดงถึงความมีเมตตานั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของสตรีผู้นี้ ขณะที่กล่าวว่า

“โอ้! เด็กสาวผู้นี้จะนำความโชคดีมาสู่บ้านตระกูลหยาง! ช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง เร็วเข้า!”

ในตอนนั้นเว่ยหยางเป็นเด็กสาวที่ขี้อาย และมีความขี้กลัวมาก นางมักจะกระสับกระส่าย และมีความรู้สึกประหม่าตลอดเวลา

แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ไพเราะ และนุ่มนวลเหล่านั้น นางจึงรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมาก

บุตรสาวของสาวใช้ที่ต้อยต่ำอย่างนาง และเป็นผู้ซึ่งเกิดในเดือนกุมภาพันธ์

หากมิใช่เพราะความเมตตากรุณาของฮูหยินใหญ่ นางคงมิได้กลับมาเหยียบบ้านตระกูลหลี่แห่งนี้อีกครั้ง

เเต่ด้วยเหตุใด บิดาจึงจำได้ว่า ยังมีบุตรสาวอยู่อีกผู้หนึ่งบนโลกใบนี้?

น่าเสียดายที่ในตอนนั้น เว่ยหยางได้หลงลืมการดูถูกเหยียดหยามและความใจดำที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในแววตาของฮูหยินใหญ่ไปเสียสิ้น

เมื่อนางกลับมาถึงบ้านตระกูลหลี่แล้ว ในตอนนั้นเว่ยหยางมิรู้หนังสือ นางอ่านมันมิออกเลยแม้แต่คำเดียว

นางเป็นภาพลักษณ์ของผู้คนในชนบทอย่างแท้จริง

หากมีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่า นางเป็นเด็กสาวที่เกิดจากตระกูลหลี่ แต่มิสามารถอ่านออกเขียนได้ ผู้คนคงจะหัวเราะเยาะกันทั้งเมือง

นางหวนระลึกถึงอดีต เมื่อครั้งที่

ทัวเป่าเจิ้นยังเป็นองค์ชาย ในตอนนั้นเขายังมิมีชื่อเสียง อีกทั้งยังขาดพลังและความสามารถในการเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เหตุใดบิดา และ

ฮูหยินใหญ่จึงยังต้องการให้เขาแต่งงาน กับพี่สาวที่งดงามปานนางฟ้าผู้นั้น

หลี่จางเล่อ กับ ทัวเป่าเจิ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งมิเข้าใจ?

อย่างไรก็ตาม ทัวเป่าเจิ้นยังคงมี หวูเซียนเฟย ซึ่งเป็นแม่บุญธรรมที่น่านับถือ และมีเกียรติของเขา

ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดจึงยากที่จะปฏิเสธข้อเสนอนั้น

อย่างไรก็ตาม มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาได้ว่า ต่อมาทัวเป่าเจิ้นจะได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ

นอกจากนี้เมื่อหลายปีก่อน หญิงชาวบ้านธรรมดา ที่มิสามารถแม้แต่จะเขียนชื่อของตนเองได้ ก็กำลังจะได้กลายเป็นจักรพรรดินี

คิดย้อนกลับไป หลังจากที่นางได้พบกับฮูหยินใหญ่แล้ว นางและสาวใช้อีกผู้หนึ่งได้เดินเล่นอยู่ภายในบริเวณบ้าน

เมื่อพวกเราเดินผ่านห้องทำงาน และได้ยินเสียงเหมือนผู้ที่กำลังท่องบทกวี เสียงนั้นดัง และมีความชัดเจนมาก:

“ต้นท้อยังเล็ก แต่มีความสง่างามและมีดอกที่สดใส หญิงสาวผู้นี้กำลังจะออกนอกบ้าน จึงจัดห้องและบ้านของนางให้ดี”

ตอนนั้นหลี่เว่ยหยางมิรู้หนังสือ แต่รู้สึกว่า คำกล่าว และน้ำเสียงของบุคคลผู้นั้น ทำให้มีความรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

นางกำลังเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจแต่ต้องตกใจกับเสียงกรีดร้อง

“อา! เจ้ามาทำอันใดตรงนี้?”

หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ และเห็นเด็กสาวที่มีความงดงามมากมองมาที่นางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

เป็นเซียนเฉิงที่กำลังท่องบทกวี นางหันมามองเช่นกัน หลี่เว่ยหยางได้ยินเซียนเฉิงเอ่ยถามว่า

“นางเป็นสาวใช้ในบ้านตระกูลหลี่หรือ?”

แค่เพียงคำถามที่เรียบง่ายเช่นนั้นได้ทำให้เด็กบ้านนอกอย่างเว่ยหยางหน้าแดงจนกล่าวอันใดมิออก

สาวงามจ้องมองมาเป็นเวลาครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่า นางพอจะเดาตัวตนที่แท้จริงของเว่ยหยางได้แล้ว

แต่ยังคงใช้มือปิดปาก และทำท่าหัวเราะคิกคัก

“พวกเจ้า! เหตุใดจึงมีคนรับใช้ที่สกปรกเช่นนี้อยู่ในบ้านของเรา?”

คำกล่าวของนางเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย และดูถูกเหยียดหยาม

หลี่เว่ยหยางก้มศีรษะลง และจ้องมองดูตนเองอย่างเศร้าใจ

เมื่อเทียบกับหญิงสาวชนชั้นสูงจากบ้านขุนนางแล้ว นางเป็นสิ่งที่มาจากฝั่งตรงข้ามของโลกก็ว่าได้

เว่ยหยางกำมือของตนเองเอาไว้แน่น และมีความรู้สึกมิพอใจเป็นอันมาก

สาวงามผู้นั้นก็มิได้คิดที่จะลดลาวาศอก

“เจ้ายังจะยืนอยู่ตรงนี้เพื่ออันใดกัน? มิเห็นหรือว่า เจ้ากำลังรบกวนการท่องบทกวีของข้าอยู่!ออกไป!”

“คุณหนูเราสมควรไปได้แล้ว” คนรับใช้ด้านข้างกระซิบนาง

ในตอนนั้น หลี่เว่ยหยางหวังว่า จะมีหลุมบนพื้นให้นางสามารถมุดเข้าไปได้ เพื่อหลบซ่อนตัวจากผู้คนทั้งโลก

ต่อมาได้มีน้ำเสียงที่อ่อนโยนเอ่ยขึ้นว่า

“เว่ยหยาง หญิงผู้นั้นคือพี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า! อย่ากลัวนางไปเลย!”

เสียงนั้นทำให้เว่ยหยางมีความรู้สึกโล่งใจราวกับเสียงจากสวรรค์