ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 80 ข้าไม่เห็นชอบ

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 80 ข้าไม่เห็นชอบ

ฝุ่นดินในจวนภูเขาครามฟุ้งกระจาย

ซูมู่เจอที่ปักดาบยืนอยู่มองแสงทองที่ระเบิดกระจายบนฟ้า กลิ่นอายพลังมหาศาลของราชาเพลงปราชญ์ถูกโจมตีจนแตกเป็นรอยร้าว ถูกฉีกขาดไปพร้อมกับค่ำคืนนิรันดร์ ถูกถาโถมจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ กลางคลื่นพายุฝน

ผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาไม่อาจสัมผัสบทสรุปสุดท้ายของศึกนี้ได้ มองด้วยความงุนงง ทึ่มทื่อ

แต่คนระดับราชันดาราหลายคนกลับมองเห็นผลแพ้ชนะสุดท้ายระหว่างเคียงกระบี่กับราชาเพลงปราชญ์

ทั้งตัดสินแพ้ชนะ และตัดสินความเป็นตาย

“ทุกอย่างจบลงแล้ว…” ซูมู่เจอละสายตากลับ นางมองสามสำนักศึกษา มองใบหน้าสับสนและขาวซีดพวกนั้น

“ไม่…ไม่มีทาง…ท่านราชาเพลงปราชญ์เป็นความภูมิใจพันปีของจวนขานฟ้า…” จูโฮ่วจ้องภูเขาคราม เขาพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงวิงวอนเล็กน้อย พิงบนหิน ข้างหลังเป็นหินแตกเว้าลงไป เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อบทสรุปสุดท้าย

ราชันดาราอี๋อู๋หน้าไม่มีสีเลือดเลย เขาอยากจะหนี แต่พบว่าที่นี่ถูกซูมู่เจอหญิงคนนี้ปิดไว้ เจ้าสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก้าวสู่ขอบเขตนิพพานเช่นกัน แม้จะเพิ่งนิพพาน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ขอบเขตราชันดาราของตนจะเทียบได้ หากลงมือกันจริงๆ ซูมู่เจอคนเดียวก็เอาชนะราชันดาราสี่คนอย่างพวกเขาได้

พวกเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน หวังว่าบรรพจารย์ของตนจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้ ใช้ดวงจิตสุดท้ายสร้างร่างขึ้นมาใหม่ สู้กับเคียงกระบี่ต่อ สู้กันเป็นตายจนชนะอีกฝ่าย

แต่น่าเสียดาย…ภูเขาครามไม่มีการเคลื่อนไหวอีก

ไม่ใช่แค่นั้น ยันต์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเมืองหลวงต้าสุยและถอดสีไปแล้ว ตอนนี้เคลือบด้วยสีแดงฉานบางๆ พื้นดินไกลลับเกิดเสียงระฆังทุ้มต่ำดังขึ้น เจตนารมณ์ในวังต้าสุยส่งมา เสียงระฆังดังมาถึงภูเขาคราม กฎเหล็กครอบลงมาอีกครั้ง

แรงกดดันไร้รูปปกคลุมบนฟ้าในระยะสิบลี้รอบเมืองหลวง

กฎเหล็กผนึกลงมา คำสั่งคงอยู่นิรันดร์!

นั่นหมายความว่าศึกนี้ตัดสินแพ้ชนะแล้ว ฝุ่นดินตกลงมานิ่งสงบแล้ว

เจ้าจวนขานฟ้าซวนเซลุกขึ้น เขาใช้กระบี่ยาวบางยันตัวขึ้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จ้องซูมู่เจอ ไม่พูดและไม่กล่าว

“ยังจำที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่…”

ซูมู่เจอเอ่ยราบเรียบ “จูโฮ่ว ก่อนหน้านี้ เจ้าดีใจเร็วไปหน่อยหรือไม่”

จูโฮ่วกัดฟันกรอด

ศึกของสำนักศึกษา จวนขานฟ้าแพ้แล้ว สามสำนักศึกษาแพ้แล้ว…เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ ในที่สุดจูโฮ่วก็เข้าใจคำว่า ‘ผู้ชม’ ที่ซูมู่เจอพูดก่อนกวัดแกว่งดาบทะลวงพลังว่าหมายถึงอะไร ผู้มีอำนาจพวกนั้นของเมืองหลวงไม่เคลื่อนไหวเลย เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ กำลังเสริมพวกนั้นกลับไม่เข้าร่วมอีก แต่หายเข้ากลีบเมฆ

เสียงเท้าม้าดังตึกๆๆ มาแต่ไกล

รถม้าแบบง่ายคันหนึ่งแล่นมาจากทางตะวันตกของจวนภูเขาคราม หยุดหน้าซากปรักหักพัง คนที่ลงรถมาเป็นบุรุษผอมแห้งหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมใหญ่สีขาวหิมะ เขาเอาสองมือสอดในแขนเสื้อกัน มองเจ้าจวนขานฟ้าที่อยู่ในสภาพมอมแมม สบตากับอีกฝ่ายก็เดาความคิดในหัวอีกฝ่ายตอนนี้ได้

“ท่านจูโฮ่ว ไม่ได้พบกันนานเลย สบายดีหรือไม่”

หลี่ไป๋หลินหัวเราะเบาๆ “ท่านวางใจได้เลย คนพวกนั้นที่อยากจะหัวเราะในเมืองหลวงหนีไม่รอดสักคน…คนกรมผู้คุมกฎเข้ากรมผู้คุมกฎแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่การเชิญคนอื่นดื่มชา แต่ถูกเชิญไปดื่มชา ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลเลยจริงๆ ว่านับจากนี้ไปจะมีใครรอหัวเราะสำนักศึกษาอยู่”

ไม่ใช่แค่จูโฮ่ว

แม้แต่ซูมู่เจอยังขมวดคิ้ว

องค์ชายสามมาที่นี่…หากไม่มีอะไรผิดพลาด ฝ่าบาทไท่จงที่ปลดกฎเหล็กออกได้เริ่มลงโทษผู้มีอำนาจสำนักศึกษาพวกนั้นที่รอหัวเราะเยาะคนอื่นอยู่ ทำการสะสางสามสำนักศึกษาอย่างจวนขานฟ้าที่ผิดต่อกฎพันปีของสำนักศึกษารวมถึงกฎของราชวงศ์ต้าสุย ยากจะพ้นความผิดไปได้

เช่นนั้นองค์ชายสามมาที่นี่เพื่ออะไรกัน

“ตอนนี้ดูแล้ว พี่ชายทั้งสองของข้าเหมือนจะไม่ยินดีลุยน้ำขุ่นครั้งนี้” หลี่ไป๋หลินยิ้ม มองไปรอบๆ เขาประสานมือคารวะ พูดกับซูมู่เจออย่างจริงใจ “ยินดีด้วยที่ท่านทะลวงพลัง ต้าสุยเรามียอดฝีมือเพิ่มมาอีกคนแล้ว”

ซูมู่เจอมีสีหน้าไม่แน่นอน ครู่ต่อมาก็พ่นลมหายใจยาว นางไม่ตบคนหน้ายิ้มให้อยู่แล้ว มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังมีฐานะสูงมากจริงๆ ต่อให้เป็นนางก็ได้แต่วางดาบหมึกลง แสดงความเคารพกลับอย่างจริงใจเช่นกัน

หลี่ไป๋หลินคารวะเสร็จก็ไม่มองสองคนของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวอีก แต่มองจูโฮ่ว

เขาเอ่ยเรียบๆ “คุณชายจูโฮ่ว ตรึกตรองแดนประจิมดูได้”

พูดมาตรงๆ

เมื่อเอ่ยจบ จูโฮ่วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

คำนั้นบนป้ายสำนักศึกษา คำสั่งสอนนั้นที่บรรพจารย์เขียนไว้บนนั้น!

ห้ามเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ต้าสุย

แต่ความจริง…เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ไม่เคยมีใครหยิบยกมันออกมาบนโต๊ะ จวนขานฟ้าพลิกไปพลิกมาอยู่ในเมืองหลวง กระทั่งใช้มือบดบังฟ้า สมาชิกของสามกรมเสนอผลประโยชน์สูงยิ่งให้เขา แม้จะไม่เคยมีข้อพิพาทกับองค์ชายสามโดยตรง แต่ก็ได้ฝังรากลึกลงในระบบกฎของเมืองหลวงต้าสุยมานานแล้ว

“ไม่ใช่แค่จวนขานฟ้า…สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา ก็เช่นกัน” หลี่ไป๋หลินพูดด้วยรอยยิ้ม “สามสำนักศึกษาพวกเจ้า กิจการตลอดหลายปีมานี้ถูกถอนรากถอนโคนหมดแล้ว ไม่ถึงหนึ่งวัน สมาชิกของสามกรมจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น เดิมทีนี่เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนกฎต้าสุย เสด็จพ่อจะชำระสะสาง ดึงเศษรากในเงามืดออกมา โทษคนอื่นไม่ได้ ได้แต่โทษตัวเองที่เก็บกวาดไม่สะอาด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ องค์ชายสามมองซูมู่เจอก่อนพูดปลงเสียงเบา “หากเจ้าไม่แก่งแย่งชิงเหมือนกับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เป็นเต่าดำหดหัวอยู่เงียบๆ จะไปเกิดเรื่องยุ่งยากผิดศีลธรรมในวันนี้ได้อย่างไร”

สุ่ยเยวี่ยหรี่ตาลง สีหน้าไม่เป็นมิตร คำพูดนี้ฟังแล้วไม่รื่นหูเลย มีการเย้ยเยาะอย่างชัดเจน

ซูมู่เจอมีท่าทีสงบนิ่ง ทำเป็นไม่ได้ยิน

จูโฮ่วจ้ององค์ชายสาม พูดเสียงสั่น “ฝ่าบาทไท่จงคิดเห็นอย่างไร”

หลี่ไป๋หลินก้มหน้าลง พูดเสียงเบา “หากข้อกล่าวหาของสามสำนักศึกษามาถึง สิบปีต่อไปนี้สามสำนักศึกษาจะไม่มีการสืบทอดต่อใดๆ แทบจะตัดขาดมรดก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ได้ ต้องดูท่าทีของตัวการสำคัญ”

“ตัวการสำคัญ…” จูโฮ่วเข้าใจความหมายของหลี่ไป๋หลินเล็กน้อย เขาจ้ององค์ชายสามพลางพูดเสียงแหบแห้ง “หมายความว่าอย่างไร”

หลี่ไป๋หลินพลันยิ้ม “สมาชิกที่จะรับหน้าที่ในสามกรมใหม่ครั้งนี้ ข้ากับพี่รองมีกำลังคนละครึ่ง”

เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

ใต้ฟ้าต้าสุยจะขยับพื้นที่ให้สององค์ชายแย่งชิงอำนาจกัน

“พี่รองเหมือนจะไม่รักษาคนอัจฉริยะไว้ ข้าคิดว่าสำนักศึกษาไม่ได้ผิดอะไรมาก ไม่ต้องรับโทษ หากทุกท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอแค่มาบอกข้าที่จวนแดนประจิม เช่นนั้นข้าก็จะคืนความบริสุทธิ์ให้” หลี่ไป๋หลินยิ้ม

“เหตุของการเกิดศึกสำนักศึกษาครั้งนี้เหมือนจะเป็นเพราะคนนอกคนเดียว เรื่องราวในนั้นซับซ้อน ยังต้องตรึกตรองอย่างละเอียด บางทีคนผิดอาจจะไม่ใช่ทุกท่าน แต่เป็นคนนอกคนนั้น”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ ซูมู่เจอมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

องค์ชายสามยืนอยู่บนซากปรักหักพังของจวนภูเขาคราม ตอนนี้เขามีสีหน้าเฉยชา นึกถึงสิ่งที่คุณชายชิงเค่อเคยบอกกับตนว่าบทสรุปของศึกสำนักศึกษาครั้งนี้ จะต้องเป็นถ้ำกวางขาวได้ชัยชนะไปครั้งใหญ่แน่ ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่ตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นจริง…ท่าทีของตำหนักวังออกมา เขาไม่ทันดีใจ กระทั่งไม่ทันทักทายคุณชายชิงเค่อก็มาที่นี่ก่อน อยากจะใช้ทั้งบุญคุณและอำนาจดึงคนเข้ามาก่อนพี่รองคนนั้นของตน

ตนทำรายนามสมาชิกสามกรมที่จะมาแทนที่ไว้นานแล้ว จึงส่งคนสนิทเป็นพรวนเข้าราชสำนักต้าสุยได้อย่างราบรื่น…หากไม่ใช่เพราะเสด็จพ่ออยากให้ตนสู้กับพี่รองต่อไป ใครจะเชื่อ

การเสียสละของสำนักศึกษากลายเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างหนึ่ง

เรื่องในตอนนี้เข้าสู่ขั้นตอนการจัดการ แม้เรื่องยังไม่กระจ่าง แต่ก็เข้าใจท่าทีของเสด็จพ่อแล้ว เขายอมรับให้ตนส่งคนสนิทเข้าราชสำนัก เช่นนั้นก็ยอมรับว่าให้ตนกับพี่รองแย่งชิงมรดกของสำนักศึกษากัน

ด้วยฐานะของตนจะปกป้องคนใหญ่คนโตของสำนักศึกษาได้แน่นอน โดยเฉพาะคนพวกนั้นที่อยู่ขอบเขตราชันดารา ขอบเขตราชันดาราเป็นกำลังรบที่แกร่งที่สุดที่อนุญาตให้ปรากฏได้ในอาณาเขตต้าสุย ดึงมาได้หนึ่งคนจะเป็นกำลังให้อย่างมาก

“จูโฮ่ว”

เสียงต่อว่าเย็นยะเยือกดังขึ้น

เสียงของซูมู่เจอดังก้องในจวนภูเขาคราม

“หากเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง จุดไฟแห่งนิพพาน แล้วเจ้ากับข้ามาสู้ด้วยพลังบำเพ็ญเดียวกัน…ไม่ว่าเจ้าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะร้องขอฝ่าบาทด้วยตนเอง ให้มรดกของสี่สำนักศึกษายังคงสืบต่อไปด้วยกันอีก”

นางใช้นิ้วกดบนดาบหมึก ชำเลืองตามององค์ชายสามหลี่ไป๋หลินก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง มองจูโฮ่วพร้อมกับพูดอย่างจริงจัง “ศึกของสำนักศึกษาเกิดขึ้นเพราะเจ้ากับข้า ไม่เกี่ยวกับคนนอกสำนัก และยิ่งไม่เกี่ยวกับหนิงอี้ อย่าดึงผู้บริสุทธิ์มาเอี่ยวด้วย”

จูโฮ่วเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน

“บรรพจารย์สำนักศึกษาสั่งสอนไว้แบบใด เจ้าจูโฮ่วลืมไปแล้วรึ” ซูมู่เจอต่อว่าเสียงดัง “หลายปีมานี้กดขี่คนรุ่นเดียวกัน พึ่งพิงผู้มีอำนาจ ความผิดพวกนี้ยังไม่พออีกหรือ!”

“ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด”

นางยกดาบหมึกขึ้น ปลายดาบชี้ไปที่เจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่ว บุรุษที่ร้อยปีก่อนเคยมีจิตใจเร่าร้อน อยากจะพาสำนักศึกษาไปอยู่จุดสูงสุดใต้ฟ้าต้าสุยคนนั้น

ตอนนี้ขวัญหนีดีฝ่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

ในความคิดจูโฮ่วมืดทึม เสียงของซูมู่เจอเหมือนกับสายฟ้าผ่า

น่าเสียดาย สายฟ้าพลันขาด วูบเดียวก็ผ่านไป

ท่าทางของบุรุษแข็งทื่อทีละนิด หันกลับมามององค์ชายสามหลี่ไป๋หลิน

น้ำตานองหน้า

พูดทีละคำ

“องค์ชาย ท่านพูดจริงรึ”

หลี่ไป๋หลินยิ้มแป้น เขาพยักหน้าก่อนพูดเสียงเบา “จริง จูโฮ่ว…ขอแค่เจ้าพยักหน้า ตอบตกลงก็พอ”

หลังเงียบอยู่ชั่วขณะ

จูโฮ่วพูดเสียงแหบแห้ง “ข้าตกลง”

คุณชายครามมองอาจารย์ของตนด้วยความมึนงง เซถอยไปสองก้าว

ราชันดาราอี๋อู๋มีสีหน้าซับซ้อน กำหมัด แต่ก็ยังเงียบ

ในแววตาซูมู่เจอมีความเหลือเชื่อเสี้ยวหนึ่ง นางมองสหายสำนักศึกษาที่เคยหยิ่งทระนงตกลงจากเมฆเช่นนี้ ไม่ฟื้นคืนกลับมาอีก ไม่เข้าตาดุจดั่งกองโคลน

คนชราสองคนของสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขา ต่อให้ไร้คุณธรรมไร้น้ำใจเพียงใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตอบตกลงเร็วเท่าเจ้าจวนขานฟ้า แต่อยู่ในความลังเล

หลี่ไป๋หลินยิ้ม “เจ้าสำนักทั้งสองท่าน สำนักศึกษาลำบาก…เรื่องราวหนักหนา ในระหว่างความเป็นตายนี้ ขอให้คิดเผื่อคนข้างหลังให้มากๆ ด้วย”

ชายชราสองคนจึงถอนหายใจ

เสียงแหบแห้งแก่ชราดังตามหลังเจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่วพร้อมกัน

“ข้าเห็นชอบ”

“ข้าไม่เห็นชอบ!”

เสียงที่ดังอย่างกะทันหันกระทบบนฟ้าจวนภูเขาคราม

หลี่ไป๋หลินที่ยืนบนยอดเสาหินที่ตั้งขึ้นได้ยินเสียงที่เยาว์วัยและสงบนิ่งนี้แล้ว ดวงตาที่มีรอยยิ้มในตอนแรกพลันมืดทะมึนลง จ้องไปข้างหน้า

เด็กหนุ่มที่เดินลงมาจากเส้นทางภูเขาคราม ใช้เสียงที่ทุกคนได้ยินพูดซ้ำอีกครั้งทีละคำ

“ข้า ไม่ เห็น ชอบ”

……………………………