ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 81 อาจารย์อาน้อยกับองค์ชายสาม

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 81 อาจารย์อาน้อยกับองค์ชายสาม

เส้นทางภูเขาคราม ท่ามกลางฝนตกหนักเมื่อคืนวาน พื้นดินถูกทำลายอย่างหนัก หินภูเขาแตกกระจาย ต้นไม้โค่นล้ม ภูเขาครามที่จวนขานฟ้าภูมิใจ ตอนนี้กลายเป็นเขารกร้างสูงใหญ่

เพราะการพ่ายแพ้ศึกของราชาเพลงปราชญ์ใต้จวนภูเขาคราม ทำให้ทั้งภูเขาโบราณพันปี ตอนนี้เหมือนถูกกระชากวิญญาณออกไป รกร้าง ระเนระนาดไปหมด

ส่วนเด็กหนุ่มที่เปล่งเสียง ตอนนี้ยืนอยู่ใต้ประตูภูเขาพังทลายของภูเขาคราม สองข้างเขาเป็นเสาหินขาวหยกกลมและใหญ่สองต้น เส้นทางสู่ยอดภูเขาคราม เส้นทางภูเขาที่จวนขานฟ้าสร้าง ตอนนี้มีเพียงเสาหินสองต้นที่ไม่ได้รับผลจากมหาศึกนั้นเมื่อคืนวาน

ซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ย ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงก็มองหนิงอี้ด้วยความตกใจระคนดีใจ แต่พบว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมดำไม่ได้มีสภาพอย่างที่พวกนางคิด ที่จะเดินเคียงข้างกับยอดนักกระบี่อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ถ้ำกวางขาวและคืนชีพกลับมาทั้งหมดคนนั้น

ในตัวหนิงอี้มีร่องรอยของพายุฝนเมื่อคืนวาน และยังมีคราบเลือดด่างๆ กระทั่งเขาไม่ได้แบกรูปปั้นหินนั้นลงเขามา…นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสเคียงกระบี่ได้หายไปในโลกนี้หลังจากศึกนั้นเช่นกัน

ซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ยมีสีหน้าซับซ้อนขึ้นมา

โดยเฉพาะสุ่ยเยวี่ย ในแววตานางมีอารมณ์ที่บอกไม่ถูก เหมือนเงียบเหงาแต่เหมือนเสียดายมากกว่า ที่ไม่ได้พบหน้ากับบรรพจารย์ถ่ายทอดการบำเพ็ญวิถีกระบี่ให้ตน นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ

“ศึกนั้นของภูเขาคราม ตัดสินแพ้ชนะแล้ว” เสียงของหนิงอี้ดังแว่วมาอีกครั้ง เขาเหยียดหลังตรง เป็นคนที่ได้ประจักษ์ศึกนั้นทั้งหมดบนยอดภูเขาคราม เขามีสีหน้าสงบนิ่ง มองกองกำลังของสามสำนักศึกษาพลางเอ่ยทีละคำ “สามสำนักศึกษาพวกเจ้า…ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”

มองข้ามองค์ชายสามท่านนั้นไปเลย

หลี่ไป๋หลินมีสีหน้าไม่ดีนัก เขากดความโกรธนี้ลงไปด้วยบุคลิกที่ดีอย่างยิ่ง แสร้งยิ้มแป้น มองเด็กหนุ่มบนเส้นทางภูเขาคราม

ตั้งแต่ที่หนิงอี้เอ่ยคำแรก

ตั้งแต่หนิงอี้เดินออกจากเงามืดภูเขาครามมาถึงหน้าประตูภูเขาจวน…

หลี่ไป๋หลินรู้สึกจากใจจริงว่าตนไม่เลือกสังหารหนิงอี้ที่ตรอกฝนพรำตอนนั้นทันทีเป็นความผิดพลาดอย่างมาก

ผู้บำเพ็ญของสามสำนักศึกษาเงียบ พลังปราณเดิมเสียหายอย่างหนัก

จูโฮ่วจ้องเด็กหนุ่มคนนั้นบนจวนภูเขาครามอย่างเคียดแค้น

“หนิงอี้”

หลี่ไป๋หลินพลันเอ่ยขึ้น เขายังคงยิ้มเหมือนเดิม “ไม่รู้ว่าศึกนั้นบนภูเขาครามจบแล้ว ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ที่มีขอบเขตวิถีกระบี่เป็นหนึ่งแห่งยุคท่านนั้น…ไปที่ใดแล้ว”

ซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ยกลั้นหายใจ

คนของสามสำนักศึกษามองหนิงอี้พร้อมกัน

นี่เป็นคำถามแรกที่หลี่ไป๋หลินโยนออกไป

หนิงอี้เจ้าวางมาดได้ชัยชนะกลับมา แต่คนที่ต่อสู้เป็นตายอย่างแท้จริงคือผู้อาวุโสเคียงกระบี่ท่านนั้น…ตอนนี้ดูแล้ว ศึกนั้นของเคียงกระบี่กับราชาเพลงปราชญ์คงสู้กันลำบากน่าดู ต่างเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น หากได้รับการยืนยันในจุดนี้ เช่นนั้นนี่จะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเลย

หนิงอี้ตอบอย่างไม่ลังเลเลย “ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ย่อมมีชีวิตอยู่!”

หลี่ไป๋หลินหรี่ตาลง

ซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย

คนของสามสำนักศึกษารู้สึกเหลือเชื่อ

หนิงอี้มีสีหน้าสงบนิ่ง เหมือนพูดเรื่องที่เป็นธรรมชาติมาก “ผู้อาวุโสเคียงกระบี่เอาชนะศัตรูได้ในที่สุด ตระหนักขอบเขตพลังที่เหนือกว่า ก่อนเขาไปได้บอกกับข้าว่า ปราณกระบี่ยังคงอยู่!”

เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้ยิ้มเยาะ มองไปรอบๆ ชำเลืองตามอง “หากสงสัยอะไรข้าก็จะแสดงให้ดู…ยินดีให้ทุกท่านมาลองกันได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้เป็นการขู่หรือไม่”

หลี่ไป๋หลินแค่นยิ้ม คิดว่าหนิงอี้กำลังพูดไร้สาระ เขาชินกับนิสัยกับปาหี่ของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้จนไม่รู้จะชินอย่างไรแล้ว ตั้งแต่เล่นแต่งเป็นหมูกินเสือที่อารามรู้กรรมจนมาถึงจิ้งจอกเสแสร้งแสดงอำนาจพยัคฆ์ในช่วงหลัง จริงๆ ปลอมๆ เชื่อไม่ได้ทั้งหมด และก็จะไม่เชื่อทั้งหมดไม่ได้เช่นกัน

แต่กับจุดจบของเคียงกระบี่…หลี่ไป๋หลินไม่กล้าชี้ขาดเลย ราชาเพลงปราชญ์เป็นยอดผู้บำเพ็ญที่เป็นชั้นนำในประวัติศาสตร์พันปีของต้าสุย ประสบความสำเร็จในขอบเขตนิพพานสูงยิ่ง ถูกเคียงกระบี่ระเบิดกระจายบนภูเขาคราม ไม่เหลือซากศพ หนิงอี้ก็อาจจะพูดความจริง เคียงกระบี่ตระหนักขอบเขตพลังที่สูงกว่าแล้ว

ขอแค่ฝากปราณกระบี่ไว้ในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็จะทำให้ชนรุ่นหลังอยู่เย็นเป็นสุข

นี่เป็นไพ่ตายที่แกร่งยิ่งกว่าราชาเพลงปราชญ์ของจวนขานฟ้า!

ราชันดาราอี๋อู๋จ้องหนิงอี้พลางพูดมีลับลมคมใน “ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ยังบอกอะไรอีก หนิงอี้ เชิญท่านนั้นออกมาให้พวกเราได้เห็นกับตาได้หรือไม่”

หนิงอี้ชำเลืองตามองราชันดาราอี๋อู๋ ก่อนยิ้มเยาะอย่างไม่ไว้หน้า “เชิญท่านเคียงกระบี่…อย่างเจ้า ราชันดาราอี๋อู๋คู่ควรรึ”

ราชันดาราอี๋อู๋หน้าดำอมแดง มุมปากกระตุก เขาอยากจะดึงปิ่นปักผมมาแทงเจ้าเด็กปากเสียบนภูเขาครามให้ตายเสีย แต่เรื่องที่หลังเขาสู่ซานได้ให้บทเรียนเขาอย่างหนัก และที่สำคัญกว่านั้นคือตอนนี้ตรงข้ามตนยังเป็นคนที่โหดยิ่งกว่าเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยราชันดาราพันกรอีก

นั่นคือซูมู่เจอที่ก้าวสู่ขอบเขตนิพพาน!

“มีอะไร” หนิงอี้ชำเลืองตามองราชันดาราอี๋อู๋ทีหนึ่ง เขากางสองแขน เกิดเสียงกระดูกดังกรอบแกรบทั้งตัว แสงดาราไหลหลาก ก่อนพูดอย่างใจกว้าง “หากไม่ยอมรับ ข้าจะสู้กับเจ้าในขอบเขตพลังเดียวกัน ทุบตีกระดูกแก่ของเจ้าให้เละ ไม่สนความเป็นตาย เจ้ากล้าหรือไม่”

ราชันดาราอี๋อู๋จุกในอก ยื่นนิ้วมือสั่นไหวออกมา ชี้หน้าหนิงอี้ พูดไม่ออกสักคำ โมโหจนเกือบกระอักเลือด

เขาเป็นถึงราชันดาราผู้ยิ่งใหญ่!

จะไปลดตัวมาสู้กับผู้บำเพ็ญน้อยที่ยังไม่ทะลวงสิบขอบเขตได้อย่างไร

หนิงอี้หัวเราะเยาะ ไม่มองราชันดาราอี๋อู๋อีก แต่เก็บรอยยิ้มไปช้าๆ มองเจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่วพลางพูดเสียงเบา “เจ้าอยากให้องค์ชายสามปกป้องเจ้า จะได้ไม่ต้องรับโทษรึ”

ศึกของสำนักศึกษา…เหนือเกินกว่าตน

คำพูดนี้ไม่จำเป็นเลย ความจริงไม่ว่าจะเกิดศึกคืนนี้หรือไม่ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีวันนี้

แต่ตอนอยู่จวนภูเขาคราม หากไม่ได้ซูมู่เจอปกป้องตน เช่นนั้นตอนนี้หนิงอี้คงเป็นศพไปแล้ว

มีคนอยากฆ่าตนเยอะมาก จูโฮ่วกับเจ้าสำนักศึกษาอีกสองคน แค่บีบมือหนิงอี้ก็ไม่อาจต่อต้านแล้ว บางครั้งกฎต้าสุยก็แข็งแกร่งมาก บางครั้งก็เปราะบางมาก สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเมื่อคืนวานเกือบเอาชีวิตไม่รอด ความจริงชะตาชีวิตหนิงอี้ก็ไม่ต่างกัน เดินพลาดก้าวใดก็จะต้องตายไปพร้อมกัน

แต่ตอนนี้ตนรอดชีวิตเดินลงมาจากยอดภูเขาคราม จะไปให้องค์ชายสามช่วยศัตรูที่จะฆ่าตนพวกนี้ ลากออกจากบึงโคลนไปสบายๆ ได้อย่างไร

ตอนที่หนิงอี้แบกรูปปั้นหินเคียงกระบี่ลงเขา ก็เคยพูดสองคำนั้น

‘คนที่ดีกับข้า ข้าจะดีกับเขาคืนหลายสิบเท่า บุญคุณของหยดน้ำต้องทดแทนด้วยตาน้ำ มีคนยินดีสวมชุดคลุมหนาให้ข้าในวันหนาวจัด ข้าก็ยินดีจะสร้างบ้านให้เขาในวันข้างหน้า’

‘ส่วนพวกสุนัขแมลงวันที่วางแผนการร้ายลับหลังคนอื่น ไม่มีเจตนาดี คิดจะเอากันถึงตาย สักวันหนึ่งข้าจะคืนสนองให้สองเท่า จะไม่ให้อภัยเด็ดขาด’

นี่เป็นหลักการของสวีจั้ง เป็นหลักการของเขาสู่ซาน และเป็นหลักการของหนิงอี้

ตอนที่เอ่ยสองประโยคนี้ หนิงอี้ได้ตรึกตรองถึงสถานการณ์ที่จะเจอหลังลงเขามาแล้ว

เขามองไปรอบๆ ก่อนพูดราบเรียบ “องค์ชายสาม กฎต้าสุยอยู่สูงสุด ใช่หรือไม่”

หลี่ไป๋หลินหรี่ตาลง พ่นมาสี่คำ “แน่นอนว่าใช่”

“คนมีความผิดก็ควรได้รับโทษอย่างสมควร” หนิงอี้มองเจ้าจวนขานฟ้าจูโฮ่วก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “พวกเจ้าไม่ใช่แค่ผิดต่อคำสั่งสอนพันปีและกฎร้อยปีของบรรพจารย์สำนักศึกษา แต่ยังผิดต่อกฎของต้าสุย จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา ไม่มีใครหนีพ้นทั้งนั้น”

วันนั้นที่ตรอกฝนพรำ

ก่อนเจ้าลัทธิเฉินอี้จะไป ตอนที่องครักษ์เกราะทองพาตัวเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยปู้หรูไปนั้น ได้เคยยืนข้างหนิงอี้ ซูมู่ก็ยืนข้างพวกเขา

‘ทุกอย่างนี้เป็นเพียงตัวชี้นำ…’ เฉินอี้เคยพูดไว้เช่นนี้ ก่อนเขาไปได้ตบบ่าหนิงอี้

ทันทีที่ตบบ่า มีคำพูดหนึ่งดังในหูหนิงอี้อย่างไร้เสียง

‘คุณชายหนิงอี้ ท่านเหมือนจะไม่ชอบจวนขานฟ้าเลย…หากวันใดผลักจวนขานฟ้าล้มลงและเหลือเพียงดาบสุดท้าย…ขอให้เชื่อเฉินอี้ หากท่านก้าวออกมา เช่นนั้นก็จะไม่มีใครช่วยอีกฝ่ายได้อีก และวันนั้นคงอีกไม่นานแล้ว’

หนิงอี้จำคำพูดนี้ไว้

ดังนั้นเขาถึงก้าวออกมาตอนนี้ ดูโดดเดี่ยวและน่าขำ ตรงข้ามเขาเป็นองค์ชายสามของเมืองหลวงต้าสุย สองคนห่างกันช่วงระยะหนึ่ง หลี่ไป๋หลินยืนบนเสาหินพังทลายจองจวนภูเขาคราม หนิงอี้ยืนใต้ประตูภูเขาคราม ไม่มีใครสูงกว่าใคร สายตาปะทะกันด้วยความบังเอิญยิ่ง

ตอนนี้เองถึงมีคนรู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานเหมือนจะมีเรื่องราวในอดีตกับองค์ชายสาม

อีกทั้งยังดูไม่ใช่การรู้จักกันอย่างเป็นมิตรด้วย

หลี่ไป๋หลินที่เก็บซ่อนตัวมาหลายปี ครั้งนี้มาเมืองหลวงก็ได้เผยเจตนาออกมา ไม่ปิดบังปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตนอีก เขาไปมาทั่วในเมืองหลวงแห่งนี้ พูดโน้มน้าวผู้นำจำนวนมากให้ร่วมกองกำลังของตน เพื่อ ‘คืนล่าเหยื่อ’ ในอีกไม่นานนี้ และเพื่อให้เสด็จพ่อคนนั้นให้ความสำคัญ จึงลงแรงลงใจไปอย่างมาก

แดนประจิมไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไรมากแล้ว แต่น่าเสียดาย เขาสู่ซานกับภูเขาม่วงสองเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านแน่นิ่ง ไม่ถูกหลี่ไป๋หลินชักนำ และไม่แสดงท่าทีเป็นมิตรมากพอ ความจริงตั้งแต่หลังสิ่งที่หนิงอี้ได้รับในเมืองหลวงก็เห็นได้จุดหนึ่งแล้ว หากหลี่ไป๋หลินเป็นมิตรกับเขาสู่ซานจริงๆ เช่นนั้นตอนที่หนิงอี้ลำบากที่สุดตอนเข้าเมืองหลวง ก็คงจะไม่มีเพียงสหายอย่างเจ้าลัทธิสำนักเต๋าคนเดียว

หนิงอี้ที่ยืนใต้ภูเขาครามมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ทุกข์และไม่สุข

ต่อให้ไม่มีคำพูดนั้นของเจ้าลัทธิสำนักเต๋าเฉินอี้ เขาก็ยังก้าวออกมา ต่อให้การแสดงออกของตน ตอนนี้ดูไม่ถือว่าสำคัญเท่าไร กระทั่งน่าขำก็ตาม

“ดังนั้น…”

เสียงของหลี่ไป๋หลินไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

เขาพูดทีละคำด้วยใบหน้าเฉยชา “หนิงอี้ เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้า ใช่หรือไม่”

……………………………