คนผู้นี้ไม่เคยจริงจัง ยามพูดคุยเรื่องเคร่งเครียดก็อาจถูกพาออกนอกเรื่องไปไกลได้ น่าเบื่อหน่ายจริง…..

นับเป็นความทุกข์ของลูกน้องที่มีนายท่านเช่นนี้จริง ๆ

ไป๋จือเยี่ยนก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจครู่หนึ่ง ฉับพลันนึกข่าวหนึ่งที่ได้ยินมาเมื่อหลายวันก่อนหน้าขึ้นมา “ได้ยินมาว่ามีคนเห็นคนจากอารามศักดิ์สิทธิ์อยู่แถวแคว้นมาร พวกนั้นไม่ได้ทำอะไร แต่ดูท่าจะตามหาบางอย่างอยู่”

“ตามหาหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “คนกลุ่มนั้นอ้างมาตลอดว่าตนใกล้ชิดกับพระเจ้า ทำทีว่าพวกจนเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านมาไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับแคว้นมารที่ชั่วร้ายอย่างเรา พวกเขาเข้ามายังเขตแดนแคว้นมารเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกไอชั่วร้ายแปดเปื้อนแล้วถูกพระเจ้าลงโทษหรือไร?”

ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วก็รู้สึกขบขัน “เจ้าไม่ต้องเน้นย้ำถึงความต่างระหว่างพวกเรากับพวกเขาก็ได้กระมัง จะมีใครในแดนเมฆาสวรรค์บ้างที่ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามจันทร์กระจ่าง ที่งดงามดั่งเทพเซียน ชื่นชอบท่านจอมมารมานานหลายปีแล้ว? เหอะ ๆ น่าเสียดายที่กลีบบุปผางามกลับร่วงหล่นบนสายน้ำอันนิ่งสงบนัก…..”

อีกฝ่ายจงใจเยาะเย้ยเขาชัด ๆ โหลวจวินเหยาเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเรื่อย “ชื่นชอบ? นางคงอยากดูดแก่นพลังข้าไปเพิ่มพลังบำเพ็ญสิไม่ว่า สตรีนางนั้นเป็นอสรพิษในคราบหญิงงาม เจ้ายังจะไม่รู้อีก”

“เอาน่า ไม่เห็นต้องเอ่ยวาจาร้ายกาจเช่นนั้นเลย เจ้าก็ได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ? นางเป็นนักบำเพ็ญเพียรสองทาง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้หยินหยางสมดุล แต่ยังช่วยให้พลังบำเพ็ญเจ้ามั่นคงและเพิ่มสูงขึ้นได้ มีแต่ได้กับได้ อีกทั้งนางยังงดงามนัก จิตใจนางก็ภักดีกับเจ้า เจ้าไม่ลอง….. ทำให้คนสมหวังดูบ้างหรือ!?” ไป๋จือเยี่ยนหัวเราะออกมา ใบหน้ายามเกลี้ยกล่อมแกมหยอกล้ออีกฝ่ายดูชั่วร้ายนัก

โหลวจวินเหยาพ่นลมหายใจปนแววดูถูกออกมา “ในเมื่อเจ้าชื่นชอบนางนัก ข้าจะส่งคนไปอารามศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสนอเรื่องแต่งงานให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ มีแต่ความคิดเพ้อฝันอีก”

“…..? !” เขาน่ะหรือมีแต่ความคิดเพ้อฝัน? ถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ??

เขาก็แค่หยอกอีกฝ่ายเล่นไม่ใช่หรือ? อีกฝ่ายกลับตอกกลับด้วยความคิดจะส่งเขาไปเป็นเครื่องสังเวยงานแต่งเช่นนี้ ร้ายกาจนัก!

เป็นไปอย่างที่คิด แม้ชายหนุ่มจะไข้ขึ้นสูงจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งคืน ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก หากแต่เป็นเรื่องปะทะฝีปากแล้ว ไป๋จือเยี่ยนก็ยังไม่อาจเอาชนะเขาได้ดังเดิม

……………….

ยามเมื่อหมอกหนาจาง ก็ปรากฏใบหน้างามของสตรีในชุดแดงจัดผู้หนึ่ง ที่มุมปากนางระบายไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบาง ๆ

ร่างบางน่าดึงดูดของนางกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า กำลังโยกมันไปมา กลีบดอกไม้สีชมพูนับไม่ถ้วนโปรยลงมาจากด้านบน ตกลงบนเรือนผมและบนร่าง….. ขนตายาวดูหวานหยดย้อยหลุบลงครึ่งหนึ่ง ผีเสื้อหลากสีตัวหนึ่งดูท่าทางจะถูกความงามของนางดึงดูดมา บินมาเกาะยังขนตายาวของนางอย่างไม่เกรงกลัว คล้ายกับไม่อยากจากไปไหน

ความรู้สึกจั๊กจี้ที่ปลายขนตาส่งผลให้หญิงสาวหัวเราะเสียงเบาออกมา เสียงนางใสดั่งกระดิ่งเงิน ไพเราะน่าฟัง เป็นเสียงไร้กังวลที่ฟังแล้วรื่นหู

นางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นช้า ๆ แขนเสื้อเลื่อนลงมาเล็กน้อย เผยให้ข้อมือที่มีผิวงามนุ่มลื่น เห็นเส้นเลือดที่ประดับอยู่บนผิวขาวดั่งหยกใสสะท้อนแสงตะวัน

ผีเสื้อที่เกาะอยู่บนปลายขนตานางกระพือปีกบิน ก่อนจะลงมาเกาะที่นิ้วนางอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ไม่ขยับกายอีก

เป็นภาพที่งดงามจนแทบลืมหายใจ งดงามจนกระทั่งต้องรำพันออกมาว่าจะมีโฉมงามใดงดงามได้เท่านางแล้วกระนั้นหรือ หากชายใดได้เห็นภาพนางเพียงสักครั้งก็คงเป็นภาพงามที่ติดตาเขาไปชั่วชีวิต

ชิงช้าที่ไกวอยู่เบา ๆ พลันหยุดลง จากนั้นแขนยาวข้างหนึ่งก็เอื้อมเข้ามากอดร่างบางของหญิงสาวไว้ เงาร่างแข็งแรงของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขารั้งนางไว้ในอ้อมกอดแน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน

“โหย ดูเจ้าทำสิ ทำผีเสื้อข้าตกใจจนบินหนีไปเลย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงโกรธน้อย ๆ หากแต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูอ่อนโยนน่าหลงใหล

มืองามดั่งหยกเคลื่อนเข้าไปผสานกับมือที่กอดร่างนางไว้ ทำให้ผีเสื้อที่หลงในกลิ่นอายของนางตื่นตกใจจนบินหนีไป

“ใครใช้ให้เฟยเอ๋อร์ของข้างดงามเกินบรรยายเช่นนี้เล่า? เจ้าทำให้เมื่อไรที่พบหน้าเจ้าก็ต้องอยากเข้าใกล้ชิดเช่นนี้” ขณะที่ชายหนุ่มกระซิบคำหวานที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นของเขาก็พ่นล้อที่ลำคอระหงของหญิงสาว เกิดเป็นความรู้สึกจั๊กจี้บาง ๆ

ชายหนุ่มหยอกเอินนางจนนางทนไม่ไหวต้องบิดตัวออกจากอ้อมกอด นางหันหน้าไป กำลังคิดจะตักเตือนชายหนุ่ม อยากจะผลักร่างอีกฝ่ายให้ออกห่างไปอีกสักหน่อย หากแต่กลับถูกเขาจูบอย่างฉับพลัน ริมฝีปากอุ่นร้อนและลิ้นของชายหนุ่มรุกล้ำเข้ามาในพลัน ควบคุมเหนือนางและไม่ยินยอมผละออกไปโดยง่าย

ใบหน้างามของหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้นางจะเขินอายแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกฝ่ายแต่ย่างใด แขนทั้งสองโอบรอบคอชายหนุ่ม นางเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย ยอมให้ชายหนุ่มครอบงำนางอย่างดุดัน กลิ่นอายของเขาโอบล้อมนางไม่คล้ายไปอยู่ชั่วขณะ

ครู่หนึ่งทั้งคู่จึงแยกออกจากกัน ชายหนุ่มโอบเอวนางไว้ มองหญิงสาวที่กำลังหอบน้อย ๆ อยู่ในอ้อมกอดตนพร้อมรอยยิ้ม ดูนางหมดแรงจนเขาอดหยอกขึ้นมาไม่ได้ “เวลาผ่านไปก็นานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังไร้กำลังเช่นนี้? หากข้าลงมือขั้นต่อไป เจ้าไม่เหนื่อยไปทั้งร่างเลยหรือ? หืม?”

คำพูดที่แฝงความหมายไว้มากมายทำให้หญิงสาวยิ่งเขินอายหนักกว่าเก่า กัดเข้าที่ลำคอเขา ทิ้งเป็นรอยจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ ไว้ ก่อนจะพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น “คนอัธพาล”

ชายหนุ่มได้ยินเช่นกันก็หัวเราะเสียงเบา เอนหน้าผากพิงนางก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าพูดอีกทีสิ ข้าจะทำให้คำกล่าวหาเป็นความจริง ให้เจ้ารู้ว่าอัธพาลจริง ๆ ทำสิ่งใดได้บ้าง …..”

“เจ้า…..” หญิงสาวเบิกตากว้าง คล้ายกับไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

นางยังพูดไม่ทันจบประโยค ชายหนุ่มก็โน้มตัวเข้ามาจูบนางอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหู “อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเฟยเอ๋อร์ เจ้ารู้ดี ข้าไม่อาจต้านทานข้าได้หรอก ข้าจะ….. ทนไม่ไหวเอา”

นางซบใบหน้าแดงก่ำลงบนไหล่ชายหนุ่ม ฟันขาวคล้ายมุกกัดริมฝีปากด้วยความขวยเขินแต่ก็รู้สึกหวานล้ำไปพร้อมกัน หากแต่พริบตาต่อมาใบหน้าน้อยกลับทำสีหน้าราวกับจะระเบิดตนเองเสียให้ได้ ที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำกว่าเดิม

เป็นเพราะมือใหญ่ของชายหนุ่มคว้ามือเล็กของนางค่อย ๆ เคลื่อนไปยังจุดที่ไม่อาจอธิบายได้ ทำให้นางตกใจจนอยากกรีดร้องแล้วหนีไปให้ไกลจากเขาเสีย

หากแต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสซื่อทั้งยังเศร้าสร้อยนัก “เป็นความผิดเจ้าที่ทำให้ข้าต้องรู้สึกทรมานอยู่ทุกครั้ง ต้องเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ทุกครา”

“ปล่อย….. ปล่อยข้า” หน้านางแดงก่ำจนคล้ายกับจะมีหยาดเลือดซึมออกมา อีกทั้งเสียงที่ออกมายังเบาเหมือนยุง

“ไม่ปล่อย ปล่อยไว้เช่นนี้สักพักเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหน้าไม่อาย

“ทำไมเจ้าจึง…..”

“หืม? ข้า? จึงอะไร?”

“น่าชังนัก!”

“โอ๋? น่าชังหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มพลันเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “เช่นนี้น่ะหรือ?”

“กรี๊ด! ออกไปเลย…..”

หญิงสาวแผดเสียงร้อง เขินจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นกในป่าพากันตกใจ

ชิงอวี่ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึง….. ฝันถึงฉากแสนหวานที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้

คนทั้งสองในฝันของนางกำลังดูมีความสุขจนน่าอิจฉา

เฟยเอ๋อร์คือชื่อแต่กำเนิดของท่านแม่

หญิงสาวผู้นั้น คงจะเป็นท่านแม่ของนางสมัยยังสาว ส่วนชายหนุ่ม….. เป็นท่านพ่อของนางหรือเปล่านะ?

นางคิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น เยี่ยนซู่เคยบอกว่าท่านแม่ของนางเป็นสตรีอ่อนโยน หากแต่วางตัวเหินห่างกับคนอื่น คนที่สามารถทำให้นางเผยรอยยิ้มมีความสุขที่มาจากใจได้เช่นนั้น คงจะเป็นเพราะนางรักชายหนุ่มผู้นั้นมากเป็นแน่ เป็นชายหนุ่มคนเดียวที่นางมอบหัวใจให้

มองดูแล้วนับเป็นความฝันที่ดีนัก!

นางหวังว่าวันหนึ่งนางจะไม่เพียงเห็นภาพเช่นนี้ผ่านในฝัน แต่ได้พบทั้งสองด้วยดวงตาของตนเองสักครั้ง

ที่ด้านนอก แสงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วทั้งฟ้า แสดงให้เห็นว่านางหลับฝันมายาวนานเพียงไหน

นางลุกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกประตู เสียงเบาของชิงเป่ยพลันเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งสองหยุดมือเท่านี้จะดีกว่า พี่สาวข้าเมื่อคืนคงจะนอนดึก ตอนนี้ยังไม่ตื่น รอกระทั่งนางได้เห็นพวกเจ้าทะเลาะกันอีกครั้ง นางคงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่”

“โร่วโร่วไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน! เป็นเจ้าตัวอัปลักษณ์นี่ต่างหากที่ทั้งแกล้งทั้งไล่โร่วโร่ว” อสูรน้อยเปล่งเสียงไม่พอใจเคล้าเศร้าใจออกมา

“อ๊บ!!!” เจ้านั่นล่ะน่าเกลียด! อัปลักษณ์ทั้งตระกูล!!

เสี่ยวเสวี่ยโกรธจัดจนอยากซัดเจ้าตัวเล็กตรงหน้าสักป้าบ

คิดแกล้งคางคกอย่างข้าเพราะข้าพูดไม่ได้หรือ? กล้าด่ารูปร่างข้าหรือ? กระทั่งนายหญิงยังชมเลยว่าข้างดงามนัก!

“เจ้าตัวอัปลักษณ์! เจ้าว่าร้ายท่านแม่ได้อย่างไร! ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

โร่วโร่วโกรธเกรี้ยวขึ้นในพลัน มันมีท่านแม่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว ดังนั้น “ทั้งตระกูล” ของมันจึงมีเพียงตัวมันและท่านแม่เท่านั้น เจ้าด่าอสูรน้อยได้ แต่อสูรน้อยจะไม่ทนหากเจ้าด่าท่านแม่!!

“อ๊บ อ๊บ!” ข้าด่าเจ้าต่างหาก ไม่ได้ด่านายหญิง!

“โร่วโร่วเป็นลูกท่านแม่ เจ้าด่าโร่วโร่วว่าอัปลักษณ์ทั้งตระกูลก็หมายความว่าเจ้าด่าท่านแม่!” ดวงตาสีน้ำเงินของอสูรน้อยเริ่มกลายเป็นสีแดง เงามืดประหลาดเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของนัยน์ตา

มันกำลังคิดจะซัดพลังออกไป หากแต่น้ำเสียงเกียจคร้านกลับดังขึ้นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น เสี่ยวเสวี่ยก็รีบกระโดดเข้ามาในพลัน ทำการฟ้องเรื่องราวทั้งหมดให้นายหญิงของมัน

“อ๊บ อ๊บ อ๊บ!”

นายหญิง นายหญิง เป็นเจ้าตัวเล็กนั่น! มันแย่งถั่วหวานของคางคกตัวนี้ไปกินจนหมด ท่านรีบจับมันไปปล่อยเลย!

ชิงอวี่เลิกคิ้วแล้วหันไปมองอีกด้าน เห็นเพียงก้อนถ่านก้อนกลมที่กำลังจ้องหน้านาง หางสั้นของมันลู่ลง ส่วนหูก็ลู่ลงเช่นกัน ดูท่าทางโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่ง

“โร่วโร่ว?” ชิงอวี่เรียกมัน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เจ้าตัวเล็กมักจะเข้ามาหานางก่อนโดยไม่ต้องเรียกหาแท้ ๆ แล้วเหตุใดมันจึงนั่งซึมเศร้าแต่เช้าเช่นนี้?

ชิงอวี่ก้าวเท้าขึ้นไปอุ้มมันขึ้นมา มันก็ยังก้มหัวนั่งนิ่งต่อไป

นางจึงหมุนมันแล้วจับหน้ามันให้มันจ้องหน้านาง จึงเห็นว่ามันทำสีหน้าเศร้าใจยิ่ง ดวงตาสีน้ำเงินกลมโตมีน้ำตารื้นขอบ แต่เจ้าตัวเล็กพยายามกลั้นไว้ พริบตาที่มันเห็นนาง น้ำตาก็พรูออกมาราวกับฝนตก หยดแหมะ ๆ ลงบนแขนและมือนางจนเปียก ร่างมันสั่นสะอื้นไห้

ชิงอวี่นำมันกลับมาเพราะมันน่ารักเกินทน เมื่อเห็นมันร้องไห้เช่นนี้นางก็ปวดใจนัก นางรีบตบ ๆ ที่หลังมันเสมือนกล่อมเด็กทารกน้อย น้ำเสียงนางเอ่ยปลอบมันอย่างอ่อนโยน “เจ้าตัวเล็กเป็นอะไรไป หืม? เหตุใดจึงร้องไห้น่าสงสารเช่นนี้เล่า? ทำแบบนี้ท่านแม่เจ็บปวดนัก หยุดร้องแล้วบอกท่านแม่มาสิว่าคนนิสัยไม่ดีคนไหนรังแกเจ้า?”

ยามได้เห็นด้านที่อ่อนโยนของเด็กสาวแล้ว กระทั่งชิงเป่ยยังเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ เริ่มรู้สึกอิจฉาเจ้าตัวเล็กอยู่ภายใน

พี่สาวเขาไม่เคยมีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้กับเขามาก่อน! ไม่ยุติธรรมเลย!!

ส่วนเสี่ยวเสวี่ยก็เห็นแล้วรู้ดีว่าตนตกที่นั่งลำบากเข้าแล้ว เจ้าอสูรนั่นมันเจ้าเล่ห์นัก! ทำตัวน่ารักน่าสงสารให้คนเห็นใจ! เจ้าปีศาจนั่นทำท่าทางน่าสงสารให้นายหญิงสงสารมัน! ก่อนหน้านี้ยังทำตัวเย่อหยิ่งเก่งกล้า เกือบจะซัดหน้าเข้าอยู่รอมร่อ!

อีกด้านหนึ่ง โร่วโร่วร้องไห้จนท่านแม่เจ็บปวดใจยิ่งนัก ก่อนจะเอ่ยเสียงสะอื้นขึ้น “โร่วโร่ว….. โฮ ๆ….. โร่วโร่วก็แค่อยากกินก้อนหวาน ๆ นั่น….. แต่เจ้าคางคกบอก….. แง~….. บอกว่าท่านแม่เป็นของเขา….. ดังนั้นก้อนหวาน ๆ นั่นก็ต้องเป็นของเขาด้วย….. แล้วเจ้าคางคกก็บอกให้โร่วโร่วไสหัวไป….. บอกว่าวันหนึ่งท่านแม่จะไม่รักโร่วโร่ว…..”