บทที่ 115 หากไม่เปรียบเทียบย่อมไม่เจ็บปวด

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

ได้ยินดังนั้นแล้ว ชิงอวี่จึงเข้าใจทันทีว่าเรื่องเกิดขึ้นเพราะเสี่ยวเสวี่ยริษยาอีกฝ่าย อยากจะอยู่เหนือกว่าเจ้าตัวเล็กให้ได้

ชิงอวี่นัยน์ตาทะมึนลง ตวัดสายตาคมดั่งใบมีดไปยังเจ้าคางคกตัวเล็กที่คิดว่าตนจะแอบหนีไปได้

นางยื่นสองนิ้วคีบมันขึ้นมาจ้องตา นัยน์ตาหงส์หรี่ลงน้อย ๆ น้ำเสียงขู่ขวัญ “เจ้าคิดถึงการเป็นคางคกหิมะตุ๋นงั้นหรือ? หืม?”

เสี่ยวเสวี่ยตัวสั่นงันงก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

มันยังจำได้ดี เมื่อครั้งที่มันแอบกินยาที่นายหญิงบำเพ็ญมาทั้งคืนลงท้องไป ชิงอวี่ก็โกรธเกรี้ยวนัก เพื่อเป็นการสั่งสอนเสี่ยวเสวี่ยให้จดจำความผิดครั้งนี้ไว้ให้ดี นางจึงจับเจ้าอสูรน้อยลงหม้อและ….. ตุ๋นมันเสีย!

จากนั้นก็เติมน้ำตาลกรวดและสมุนไพรต่าง ๆ ลงไปมากมาย ตุ๋นอยู่ครึ่งวัน เกือบจะตุ๋นจนเจ้าอสูรน้อยสุกไปแล้ว!

เคราะห์ดีที่มันเป็นคางคกหิมะพันปี หนังหนา ๆ ของมันจึงป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลร้ายแรงใดได้ แต่ความรู้สึกที่ร่างกำลังถูกตุ๋นอย่างช้า ๆ นั้นทรมานนัก อีกทั้งยังรสชาติของสมุนไพรต่าง ๆ ที่ผสมกับก้อนน้ำตาลกรวดก็แย่มากด้วย

เมื่อได้ยินว่ามันอาจจะถูกตุ๋นอีกครั้งหนึ่ง เสี่ยวเสวี่ยก็ส่ายหัวไว ๆ ทำหน้าตาน่าสงสารที่สุดใส่นาง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดตื่นขึ้นเต็มที่ ขาทั้งหลายของมันที่ดิ้นไปมาเมื่อก่อนหน้าหยุดนิ่งลงแล้ว ท่าทางน่าสงสารราวกับถูกทำร้ายแสนสาหัสและดูเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก

ชิงอวี่พ่นลมหายใจเย็นชาออกมา “หากครั้งหน้าข้าเห็นเจ้ารังแกโร่วโร่วอีกเพราะคิดว่าเจ้าอยู่กับข้ามานานกว่า ข้าจะถลกหนังสวย ๆ บนหลังเจ้าทิ้ง”

ไม่นะ!

เสี่ยวเสวี่ยรีบพยักหน้ารัว ๆ ไม่กล้าปฏิเสธอันใดอีก

นี่มันเรื่องน่าขันอันใดกัน? หากจะถลกหนังมัน มันยอมถูกตุ๋นดีกว่า หนังสวย ๆ ของมันพวกนี้คือสิ่งที่มันภูมิใจที่สุดแล้ว

หากแต่สายตามันพลันเหลือบไปเห็นเจ้าอสูรท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชิงอวี่เข้า เจ้าก้อนถ่านนั่นส่งสายตาเจ้าเล่ห์เคล้าความยินดีกลับมา ยามสบตากันก็ไม่หลบตาแม้แต่น้อย กระทั่งยังสะบัดหางน้อย ๆ เป็นเชิงโอ้อวดชัยชนะอีกต่างหาก

อ๊บ อ๊บ อ๊บ!!!

อสูรเจ้าเล่ห์!

คิดว่าตนเองน่ารักแล้วเก่งนักหรือ?

นายหญิง ท่านดูไอ้ตัวจ้อยนั่น! อย่าถูกท่าทางน่าสงสารของมันหลอกเอานะนายหญิง!!

— สำนักละอองหมอก —

การประลองภายในทุกสามเดือนกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า หลังจากการประลองแล้วก็จะมีการเปิดรับศิษย์หน้าใหม่เจ้าสำนัก ครั้งนี้ทั้งผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลายในสำนักละอองหมอกต่างก็ดูกระตือรือร้น หมายอยากจะแข่งขันกับคนอื่น ๆ

ใน 100 ลำดับแรกของสำนักละอองหมอก นอกจากครั้งที่ซู่หลีม่อผู้นั้นสามารถเอาชนะการประลองสามร้อยครั้งติดต่อกันนับเป็นประวัติการณ์แล้ว ลำดับต้นๆ นั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร ไม่มีผู้ใดสามารถล้มยอดฝีมือที่เอาชนะคนติดต่อกันได้เช่นเขา มีเพียงลำดับล่าง ๆ เท่านั้นที่สับเปลี่ยนกันอยู่ตลอด มีการเลื่อนลำดับขึ้นมาหนึ่งถึงสองอันดับบ้างบางครั้งบางคราว

ศิษย์เหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้เหล่าอาจารย์ทั้งหลายเป็นยิ่งนัก ด้วยเหล่าศิษย์ที่ติดหนึ่งใน 100 อันดับแรกเริ่มทำตัวหยิ่งผยอง ไม่คิดพัฒนาตนต่อไปอีก

พวกเขาไม่คิดอยากจะเลื่อนลำดับตนเองให้สูงขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ต้องการรักษาตำแหน่งเดิมไว้เท่านั้น ไม่มีความคิดว่าตนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ทั้งยังไม่คิดดำเนินรอยตามศิษย์ชั้นสูงมากฝีมือทั้งหลายที่ติดหนึ่งใน 20 อันดับแรกบ้างเลย ต่างก็พึงพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเป็นอย่างดี ไม่นานคนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นกาฝากในสำนักละอองหมอก ดึงสำนักให้ตกต่ำลงทีละนิด

ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงตั้งตารอคอยการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสำนัก เพื่อให้มีสายเลือดใหม่เข้าไปแทนที่เหล่ากาฝากพวกนี้เสีย

ได้ยินมาว่าการประลองเข้าสามสำนักใหญ่ในครั้งนี้ยังมีหนุ่มสาวฝีมือโดดเด่นอยู่บ้าง หากได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีระยะหนึ่งก็คงไม่แพ้ 20 อันดับแรกอย่างแน่นอน อีกทั้งยังต้องคอยระวังไม่ให้หน่ออ่อนมากฝีมือเช่นนี้ถูกคนจากสำนักไร้สิ้นสุดหรือหุบเขาไร้กังวลแย่งตัวไปด้วย

เป็นตอนนั้นเองที่การประลองดุเดือดในโถงฝึกเพิ่งจะจบลง นับเป็นเวลาพักผ่อนของทุกคน คนกลุ่มหนึ่งเดินเกาะกลุ่มมาด้วยกัน พูดคุยกันถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อก่อนหน้า

“นี่ พวกเจ้าได้ยินมาหรือไม่? ว่ากันว่าการประลองในครั้งนี้ นอกจากซู่หลีม่อแล้ว คนอื่น ๆ ในห้าอันดับแรกจะไม่มีใครมาเลย!” คนผู้หนึ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนอื่น ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“ทำไมเล่า? การประลองภายในเป็นวันที่จะมีศิษย์ใหม่ ๆ เข้าสำนักละอองหมอก อีกทั้งอาจจะยังมีการเปลี่ยนอันดับด้วยไม่ใช่หรือ จะไม่มาได้อย่างไร?” อีกคนถามขึ้น ดูท่าทางไม่ค่อยชอบใครเหล่าคนอันดับสูงเท่าไร

“ฮ่า ๆ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็รู้เลยว่าเจ้าเป็นประเภทที่มุ่งแต่บำเพ็ญเพียรแต่ไม่สนเลยว่าโลกภายนอกเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นบ้าง” อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ ทำทีว่าตนรู้ข่าววงใน ทำให้คนอื่น ๆ พากันตั้งใจฟังด้วยความสงสัย

“แม้คนใน 100 อันดับแรกของสำนักละอองหมอกจะเปลี่ยนลำดับไปบ้าง แต่ห้าอันดับแรกไม่เคยถูกสั่นสะเทือนมาก่อน ได้ยินมาว่าทั้งห้าคนนั้นสนิทสนมกันมาก นับถือกันเป็นพี่น้อง ที่ลำดับไม่เคยเปลี่ยนเป็นเพราะทุกคนไม่ใส่ใจเรื่องลำดับอันใด อีกทั้งยังไม่ต้องเอ่ยถึงสี่อันดับแรก แค่เจ้าปีศาจซู่หลีม่อที่ประลองชนะ 300 ครั้งติดต่อกันก็ไม่อาจมีใครเอาชนะได้แล้ว!”

หลังจากคนผู้นั้นกล่าวจบก็ทำสีหน้าประหลาดขึ้นมา จากนั้นเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ข้าอยู่สำนักละอองหมอกมานานหลายปี แต่ยังไม่เคยพบคนเหล่านั้นมาก่อน เป็นเหล่าคนที่ลึกลับนัก”

“ครั้งนี้ซู่หลีม่อจะมาปรากฏตัวไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยก็ได้เห็นหนึ่งคนละนะ”

“ถูกต้อง ยอดฝีมือที่เอาชนะติดต่อกันถึง 300 ครั้ง อยากรู้จริง ๆ ว่าจะเป็นคนอย่างไร”

“อาจจะอายุมากแล้วก็ได้”

คนกลุ่มนั้นยังคงเกาะกลุ่มสนทนากันต่อไป ทันใดนั้นเสียงหัวเราะใสกระจ่างก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก ชายหนุ่มสองคนในชุดคลุมสีขาวปักลายเมฆเดินเข้ามา

ชายหนุ่มทางซ้ายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเล็กน้อย ใบหน้าสีคล้ายข้าวสาลี คิ้วหนาดูหล่อเหลาแต่ก็ดูอ่อนโยนไปพร้อมกัน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายมีเสน่ห์ออกมา

ชายหนุ่มด้านขวาผอมกว่าเล็กน้อย แต่ก็มองแล้วยังคงมีรูปร่างสูงใหญ่อยู่ เขามีใบหน้าอ่อนโยนสง่างาม ที่มุมปากระบายยิ้มบาง คล้ายเป็นคุณชายจากชนชั้นสูง แต่กลับแผ่กลิ่นอายไม่เป็นมิตรออกมาเบาบาง ท่าทางทะนงตัวนัก ทั้งดูสูงส่งและสง่างาม

ชุดปักลายเมฆเพียงอย่างเดียวก็เป็นสิ่งน่าสะดุดตามากแล้ว เมื่อเพิ่มใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มทั้งสองเข้าไปด้วยจึงสามารถดึงความสนใจของทุกคนตรงนั้นไปได้ในพลัน

“เป็นเหลียนฉ่าวเจี๋ยกับซวนหยวนเช่อ!”

ห้าอันดับแรกนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครรู้เรื่องราวของพวกเขา ส่วนคนอื่น ๆ ยังพอมีคนจดจำได้บ้าง

เหลียนฉ่าวเจี๋ยเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพฝ่ายขวาแคว้นอู่ชาง เบื้องหลังสูงส่งและเป็นผู้มีคุณธรรม แม้จะไม่กล่าวถึงพื้นเพตระกูล เพียงนิสัยของเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างมิตรสหายได้มากมายแล้ว

ซวนหยวนเช่อเป็นองค์รัชทายาทแคว้นชิงหลานที่ยิ่งมีพื้นเพสูงส่งกว่ามาก หน้าตาหล่อเหลาของเขาเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาศิษย์พี่หญิงทั้งหลายมองกันตาลอยแล้ว แต่โชคร้ายที่สำนักละอองหมอกมีกฎระเบียบภายในเข้มงวดนัก ดังนั้นแม้จะแอบมีใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก ด้วยเรื่องถูกไล่ออกจากสำนักเป็นเรื่องใหญ่กว่านัก

เมื่อครั้งที่เขามีคู่หมั้นแล้ว สตรีหลายนางก็ยังไม่ยอมแพ้ไปง่าย ๆ ดังนั้นตอนนี้การหมั้นหมายของเขาถูกยกเลิกไปแล้ว กลายเป็นบุรุษไร้โซ่ตรวนใดอีก เหล่าสตรีที่หมายตาเขาไว้จึงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

มีหลายครั้งที่พวกนางคอยหาโอกาสพบองค์ชายผู้นี้ ทว่าน่าเสียดายที่องค์รัชทายาทนั้นมีคุณธรรมนัก ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับสตรีใด พวกนางจึงไร้ความหวัง

เหลียนฉ่าวเจี๋ยนั้นอยู่อันดับที่สิบ ส่วนซวนหยวนเช่ออยู่อันดับที่เจ็ด

ไม่ว่าจะเดินไปทางใด ชายหนุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลาสองคนนี้ย่อมต้องมีคนอยากเอาอกเอาใจอยู่ทุกเมื่อ หญิงสาวมากมายชำเลืองตามองด้วยความขวยเขิน ไม่อาจปิดบังความชื่นชมในนัยน์ตาได้

เหลียนฉ่าวเจี๋ยเห็นภาพแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยล้อขึ้น “ทุกครั้งที่เดินกับเจ้า ข้าชักจะสงสัยชีวิตตนเองขึ้นมาทุกครา”

“หืม?” ซวนหยวนเช่อหันไปหาอีกฝ่าย หน้าตามึนงงเล็กน้อย “ทำไมเล่า?”

เหลียนฉ่าวเจี๋ยมองหน้าตามึนงงของอีกฝ่ายแล้วกัดฟันตอบ “ก่อนจะรู้จักกับเจ้า ข้าคิดว่าตนเองมีพื้นเพครอบครัวสูงส่งมาโดยตลอด อีกทั้งยังหล่อเหลาไม่น้อย ฝีมือก็ไม่ต้อยต่ำ แต่พอมาเทียบกับเจ้าแล้ว เรื่องตระกูลข้าก็ด้อยกว่า ฝีมือก็ไม่เทียบเท่า อีกทั้งยังไม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่หญิงสาวมากเช่นเจ้า เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่เริ่มสงสัยได้อย่างไร?”

ซวนหยวนเช่อได้ยินแล้วชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้ม “เรื่องตระกูลและหน้าตาเป็นโชคชะตาลิขิตมาแล้ว แต่ชีวิตหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่เจ้ากำหนดเอง”

“อืม เจ้าพูดถูก” เหลียนฉ่าวเจี๋ยผงกหัวเห็นด้วย หันไปมองใบหน้าอ่อนโยนหากแต่เรียบเฉยของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย เขาพลันส่ายหัวเบา ๆ “ข้านับถือเจ้ามาตลอด ข้าสงสัยยิ่งนักว่าโฉมงามที่เป็นอดีตคู่หมั้นของเจ้าผู้นั้น เหตุใดจึงตัดสินใจหุนหันเช่นนั้นได้? หรือว่ายังมีจะบุรุษใดที่ควรค่ามากกว่าเจ้าอยู่อีกงั้นหรือ?”

ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ค่อนข้างดี อีกทั้งยังอยู่ในเรือนเดียวกัน ดังนั้นจึงรับรู้เรื่องนี้ด้วย

เขาเคยเห็นโฉมงามผู้นั้นมาก่อน แม้นางจะงามเหลือล้น แต่ก็ดูเย็นชาไม่น่าเข้าหา เป็นประเภทที่ต้อง “ชื่นชมจากที่ไกลๆ” เท่านั้นพอ ไม่เช่นนั้นหากเข้าใกล้นางเกินไปจะถูกไอเย็นทำร้ายเอาได้

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหญิงสาวที่มีอายุเพียงเท่านั้นจึงมีท่าทีเย็นชาห่างเหินได้ขนาดนี้ แล้วจะมีชายใดชายตามองนางกัน?

ดังนั้นเมื่อซวนหยวนเช่อกลับมาแล้วเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายยกเลิกการหมั้นไปแล้ว เขาก็รู้สึกยินดีแทนสหายตนนัก คิดว่าคงจะเป็นฝ่ายซวนหยวนเช่อที่ขอถอนหมั้นเพราะไม่อาจทนกับนิสัยเย็นชาของคนงามได้อีกต่อไป อย่างน้อย ๆ ตอนนี้สหายของเขาก็เป็นอิสระจากความทุกข์ทรมานแล้ว จะได้มองหาสตรีที่อ่อนโยนสงบเสงี่ยมมาเป็นคู่ชีวิตได้

แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ สหายผู้นี้ของเขาภายนอกอาจดูไม่เป็นอะไร หากแต่ภายในอาจจะกดทุกความรู้สึกไว้ก็เป็นได้! ดังนั้นเขาจึงต้องคอยแนะนำเกลี้ยกล่อมอยู่บ้าง

ซวนหยวนเช่อจึงเอ่ยขึ้น “ในใต้หล้าย่อมมีคนที่เก่งกว่าเจ้าอยู่แล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ ยังมีคนที่เก่งกาจกว่าข้าอีกมาก ในเมื่อนางมีตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุใดข้าจึงต้องรั้งนางไว้ด้วยเล่า? ข้าก็ตอบตกลงไปตามนั้นก็เท่านั้น”

แม้เขาจะเอ่ยออกไปตามตรงไม่ได้แฝงความนัยอันใดออกมา หากแต่คนฟังกลับคิดไปเป็นอีกอย่าง เหลียนฉ่าวเจี๋ยได้ยินน้ำความเศร้าและท่าทีประชดตนเองเจือมากับคำพูดประโยคนั้นด้วย จึงรู้สึกว่าจิตใจของซวนหยวนเช่อคงจะเจ็บปวดรวดร้าวผิดหวังเป็นยิ่งนัก เขากำลังคิดจะหาคำปลอบอีกฝ่าย หากแต่พลันมีเสียงตูม พร้อมกับกลุ่มควันสีม่วงระเบิดขึ้นจากที่ไกลเสียก่อน

ทุกคนสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ตามมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวดดังขึ้น “เร็วเข้า! มีคนแตะต้องเกราะป้องกันทางเข้า พยายามจะฝ่าเข้ามา รีบไปช่วยเหลือเร็ว!”

ทางเข้าสู่สำนักละอองหมอกนั้นถูกเก็บซ่อนเป็นอย่างดี หาพบได้ยากนัก หากไม่มีคนนำทางมาก็ไม่อาจคลำทางหาเองได้

กฎข้อแรกของสำนักละอองหมอกคือการห้ามเผยที่ตั้งของสำนักให้คนนอก กระทั่งญาติสนิทที่สุดก็ห้ามบอก หากใครถูกจับได้ว่าเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป ทำให้สำนักต้องตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว แม้จะหนีไปจนสุดใต้หล้าก็ไม่อาจหลบหนีการลงโทษจากสำนักได้พ้น

หากแต่ต่อหน้าพวกเขาตอนนี้กำลังมีคนพยายามฝ่าเกราะป้องกันที่ทางเข้าสำนัก หรือจะมีคน….. เผยความลับงั้นหรือ?

หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะมีสายลับจากขุมอำนาจอื่นแฝงตัวอยู่ในสำนักด้วย?