ตอนที่ 126 ตั้งตนเป็นประมุขน้อย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ประมุขหลิวเป็นพวกดื้อด้านหัวชนฝา มันที่เป็นเผ่าพิสดารเอง ย่อมต้องตระหนักว่าเผ่าพิสดารของมันน่าสังเวชเพียงไร จำต้องการผู้นำที่แท้จริงมากมายขนาดไหน

และฉินจิ่วเกอ แม้หนังหน้าจะหนา จิตใจจะดำมืด ทั้งยังลามกจกเปรตเป็นที่สุด ยามส่องไฟยังยากที่จะหาต้นตอของแสง

แต่พฤติการณ์เมื่อครู่นั้น กลับส่งผลกระทบต่อคนทั้งสี่อย่างยิ่งยวด

ทุกสายน้ำไหลคืนสู่ทะเล จิตกว้างขวางอ้อมล้อมทุกสรรพสิ่ง กำแพงสูงคนอยู่บน ไร้ละโมบใจย่อมแกร่ง

“ข้าไม่เคยพูด เจ้าจับข้าทำอะไร ยังไม่รีบปล่อยมือ! ” ฉินจิ่วเกอถลึงตากร้าว เจ้าไม่รีบกลับ แต่ข้ารีบ!

แขนของฉินจิ่วเกอแทบหักเพราะพลังขั้นเจ็ดกลั่นดวงธาตุของประมุขหลิวที่เพิ่งฟื้นคืนกลับมา เห็นฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยว หน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน ชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวดเพียงไร

สามประมุขรีบฉุดตัวเจ้าวัวหัวดื้อนี้ออกมาโดยไว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมขวางทางหนีของฉินจิ่วเกอไปด้วย

“จะทำอะไรข้า ข้าไม่มีเงินนะบอกก่อน” ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างพาลพาโล

สี่ประมุขขุนเขาเบิ่งตาโง่งม พวกตนอย่างไรก็ถือครองพลังสูงสุดท่ามกลางขอบเขตกลั่นดวงธาตุ สภาพคงไม่ดูต่ำช้าปานนั้นกระมัง?

“พวกข้าตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของบรรพตสละฟ้า นำทางพวกเรารวบรวมสมาชิกเผ่าพิสดารทั้งหมด” ประมุขหยางกล่าวขึ้นเป็นคนแรก พร้อมกันนั้นก็ค้อมตัวลง ทำให้ร่างดูต่ำกว่าฉินจิ่วเกออยู่เล็กน้อย

“ข้าไม่สนใจ พวกเจ้าทำเหมือนคำพูดข้าเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ลมผายหนึ่งก็พอ” ฉินจิ่วเกอตั้งท่าจะวิ่งได้ทุกเมื่อ การที่จะดูแลพัฒนาเผ่าพิสดารและบรรพตสละฟ้าย่อมไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ จะให้ดีก็ต้องพาตัวพระเอกมาร่วมอุดมการณ์ไปด้วยกัน

ฉินจิ่วเกอวางแผนไว้แบบนี้

ต่อให้ไม่มีบรรพตสละฟ้า พอกลับไปมันก็ตั้งใจจะมอบบทเรียนปรับแนวคิดกับศิษย์น้องรองอยู่แล้ว เมื่อมีตัวเอกเป็นผู้สนับสนุนหลัก ในอนาคตกฎสรรพสิ่งย่อมมีมากมายเกลื่อนล้น แล้วยังต้องกังวลอะไรอีก?

มีวงแหวนของตัวเอกคอยค้ำจุนเสียอย่าง ผลลัพธ์มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว

พล่อบ ประมุขหยางถลาตัวลงไปกอดขาฉินจิ่วเกอเอาไว้แน่น “เจ้าจะไปไม่ได้ ต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือผู้นำคนใหม่ของบรรพตสละฟ้า”

“บัดซบ นี่มันบังคับขายบังคับซื้อกันชัดๆ! ข้าไม่เอาด้วยเด็ดขาด! ” ไล่ยังไงก็ไม่ไป ฉินจิ่วเกอจึงเริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว เหมือนมีตังเมแผ่นใหญ่หนึบหนับเกาะติดตัวอยู่อย่างเหนียวแน่น

“คำนับนายเหนือองค์ใหม่! ” สามประมุขที่เหลือได้โอกาสก็รีบกล่าวสรรเสริญเป็นเสียงเดียว ต่างคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าสบตามองฉินจิ่วเกอ

“ข้าไม่เหมาะสม” ฉินจิ่วเกอรีดเค้นพลังสุดตัว แต่ตังเมก็ยังติดหนึบ “เทียบกันแล้ว ศิษย์น้องรองข้าเหมาะสมกว่า เอาเป็นว่าข้าจะไปพามันมาให้พวกเจ้าคำนับเป็นนายเหนือคนใหม่ บอกให้ก็ได้ ถึงข้าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคหลิงเซียว แต่ก็เป็นผู้ติดตามที่ดีของมันตลอดมา”

“ในใจของพวกเรายอมรับเพียงท่านเท่านั้น! ” แววตาของประมุขหยางเปี่ยมแววเร่าร้อนเคารพ “วิถีกษัตริย์คือการสงคราม วิถีทรราชข่มเหง วิถีจักรพรรดิเกิดจากคุณูปการ วิถีเทพยดาคือเหนือโลกีย์ ส่วนวิถีแห่งผู้นำแผ่เมตตาธรรมต่อต่ำใต้ คุณธรรมล้ำฟ้า จริยาไร้ทัดเทียม!”

“คำนับท่านผู้นำ! ” เสียงอันกึกก้องของสี่ประมุขเขย่าสั่นไปทั้งห้องโถง สะเทือนสะท้านจนขื่อคาผุๆ แทบพังครืนลงมา

ฉินจิ่วเกอยกมือป้องหู สีหน้าหงิกงอยิ่ง “ท่านผู้นำนู่นท่านผู้นำนี่ ข้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว กลับมาทำเหมือนข้าเป็นหัวโจกกองโจร พูดก็พูดเถอะ ถึงข้าจะเคยพิจารณาเปลี่ยนสาขาอาชีพมาเป็นจอมราชันคีรี แต่นั่นก็แค่ความคิด ไม่เคยได้ทำตามที่คิดจริงๆ ”

“งั้นก็แปลว่าพวกเราควรเรียกหาท่านว่าประมุขน้อย? ” ประมุขโหวผู้กลิ้งกลอกกว่าใครเพื่อนรีบเผยท่าทีประจบประแจงต่อฉินจิ่วเกอ “ประมุขน้อยงดงามหาใดเปรียบ ใต้หล้าไม่มีใครหล่อขาวไปยิ่งกว่าท่าน ช่างเป็นความงามอันหาได้ยากยิ่งจริงแท้”

“มิได้ๆ ” ฉินจิ่วเกอยกมือปิดหน้าปิดตา เป็นคำชื่นชมที่จริงใจอะไรขนาดนี้หนอ คนผู้นี้ช่างรู้จักพูดจา ทำเอาตัวเองใจเต้นกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเชียว

อุแหวะ

สามประมุขที่เหลือรีบยกมือปิดปากปิดจมูก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำ

พวกมันเพิ่งจะค้นพบเป็นครั้งแรก ที่แท้เจ้าประมุขโหวกลับไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ทว่า แม้แต่ตัวประมุขโหวเองยังต้องกดหัวคิ้วแน่น คล้ายกำลังสะกดความคลื่นเหียนอยู่มากพอกัน

ฉินจิ่วเกอรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่ง มันส่ายหน้ายิ้มๆ จากนั้นเดินกลับมาหย่อนก้นลงบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง สี่ประมุขขุนเขายืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านล่าง ศีรษะมือไม้เก็บสำรวม คารวะต่อนายเหนือคนใหม่แห่งบรรพตสละฟ้า

“พวกเจ้าแน่ใจแล้ว? ” ฉินจิ่วเกอรู้สึกตัวเองเหมือนได้เกิดใหม่

ไม่นึกไม่ฝันว่าชนชั้นกลั่นดวงธาตุสี่คนจะยอมรับให้เด็กที่เพิ่งย่างเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาลอย่างตนเป็นบิ๊กบอสของพวกมัน ความสุขนี้แทบทำให้ศีรษะของมันหมุนคว้างอย่างอิ่มเอม

ถึงแม้จะเป็นผู้ทรงคุณธรรมล้ำฟ้า

แต่ฉินจิ่วเกอก็คิดมาตลอดว่า คนซื่อสัตย์ล้วนคุ้นเคยต่อการถูกรังแกเอาเปรียบ ไล่ตามความจริงที่ว่ามีแต่คนหน้าหนาไร้ยางอายที่ไร้ผู้ทัดเทียม ฉินจิ่วเกอในตอนนี้จึงเลื่อนลอยอยู่บ้าง คล้ายดวงจิตของตนกำลังถูกขัดเกลาจนสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ

มันตัดสินใจแล้ว นับแต่นี้เรามาเป็นสุภาพชนกันเถอะ

สุภาพชนที่ว่า ต้องรู้จักหลอกลวงทำร้ายอย่างมีหลักการ ยกตัวอย่างเช่น สุภาพชนไม่ลอบทำร้ายในห้องมืด เป็นต้น

ในเมื่อนี่คือครั้งแรกที่ขึ้นครองบัลลังก์บรรพตสละฟ้า ฉินจิ่วเกอจำต้องพิจารณาถึงป้ายชื่ออันทรงพลังสุดจ๊าบให้แก่ตัวเองมาสักชื่อ

ไม่งั้นแล้ว หากถึงยามต้องประกาศศักดา อาจสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ฐานะศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว แล้วนี่จะให้พระเอกของเราเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“ทุกท่าน ข้าหล่อหรือไม่? ” นั่งทำหน้าเคร่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสละฟ้า ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามเสียงเข้ม

สี่ประมุขสะกดความสะอิดสะเอียนในใจก่อนกล่าวตอบเสียงดังฟังชัด “หล่อ! ”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น บรรพตสละฟ้าของพวกเราจำต้องปรับเปลี่ยนกันหน่อย กฎบางอย่างเองก็ต้องเปลี่ยนด้วย ตัวอย่างเช่นคำเรียกหา ไม่อาจเรียกข้าว่าผู้นำนู่นผู้นำนี่ ไม่งั้นแล้วผู้คนอาจเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นผู้นำกองโจรไปเสีย แต่ให้เรียกข้าว่าประมุขน้อย แต่ก็ต้องเพิ่มคำนำหน้าไปด้วย ถึงจะสามารถถ่ายทอดอำนาจบารมีอันเฉิดฉายของข้าออกมาได้”

“รับบัญชา ประมุขน้อย” สมควรแล้ว คงต้องเป็นมัน แม้จะมีโรคประสาทมากหน่อย สี่ประมุขขุนเขาได้แต่ต้องปิดจมูกยอมรับไว้

“ส่วนคำเรียก ข้าก็ได้คิดไว้แล้ว เอาเป็นสุดหล่อลำดับหนึ่งเก้าสวรรค์สิบภพภูมิเทพเทวาส่ายหน้าผวายอดเจ๋งมลังเมลืองแช่วับ เป็นอย่างไร? ” ฉินจิ่วเกอเบิกตากว้างกลม นัยน์ตาระยิบระยับ นามเรียกนี้ช่างสุดติ่งกระดิ่งแมวถึงเพียงไหน

สี่ประมุขขุนเขาเป็นต้องปาดเหงื่อไปตามๆ กัน ในหมู่พวกมัน ประมุขหยางชัดเจนว่าไอคิวไม่ถึงเกณฑ์ สมองคล้ายถูกมีดเฉาะจนปัญญาหล่นหาย ถามออกมาว่า “ประมุขน้อย ชื่อนี้ยาวเกินไป ข้าจำไม่ได้หรอกท่าน! ”

“เช่นนั้นก็กลับไปท่องจำหลายๆ รอบ ประเดี๋ยวก็จำได้เอง พวกเจ้าว่าอย่างไร? ”

“ประเสริฐ ประเสริฐแท้ๆ ” ประมุขขุนเขาพากันค้อมตัวสรรเสริญ

ใครเล่าจะคาด ฉินจิ่วเกอจากที่แย้มยิ้มอยู่แหมบๆ พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นยะเยียบเย็นชาขึ้นมา ฝ่ามือตบเปรี้ยงลงบนที่พักแขน “หากต้องการให้บรรพตสละฟ้าผงาดง้ำเป็นหนึ่ง ก่อนอื่นก็ต้องรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ปราศจากความตะขิดตะขวงใจ ซื่อตรงต่อกันและกัน พวกเจ้าถามตัวเองดู พวกเจ้ามีความจริงใจหรือไม่? ”

“นั่นย่อมแน่นอน เป็นน้ำใจชั่วชีวิต” ประมุขหลิวกล่าวตอบ

“อะไรของเจ้า” ฉินจิ่วเกอเอ่ยเสียงห้วน แววตาเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทั้งที่ข้าพูดจาเลอะเทอะไปขนาดนั้น แต่พวกเจ้านอกจากจะไม่ลุกขึ้นมาคัดค้านคำพูดข้า ยังมีหน้ามาเออออห่อหมกตามน้ำไปเสียอย่างนั้น? ”

“อ๋า? ” สี่ประมุขเบิ่งตาโง่งม นี่ยังจะไม่ใช่เพราะเจ้าหนังหน้าหนาทน เอ่ยวาจาเลอะเทอะอย่างสุดหล่อสิบภพภูมิผีผวาอะไรนั่นออกมาหรอกรึ แล้วนี่ยังมีหน้าว่ากล่าวโทษพวกข้า

ฉินจิ่วเกอตอนนี้แผ่กลิ่นอายเปี่ยมคุณธรรมน้ำมิตร ท่าทางเหมือนสุภาพชนอย่างเต็มภาคภูมิ “มีโทษทัณฑ์ไม่กล้าขอ ขุนนางของกษัตริย์ไม่กล้าปิดบัง* เมื่อครู่ข้าก็เลยทดสอบพวกเจ้า จำไว้ ต่อจากนี้หากพวกเจ้ามีข้อสงสัยหรือไม่พอใจตรงที่ใด ล้วนบอกกล่าวออกมาเสีย อย่าได้ทำตามโดยไม่ทักท้วงอะไรเลย เข้าใจแล้วหรือไม่? ”

สี่ประมุขพลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล ที่แท้มันก็กำลังทดสอบพวกตนอยู่

ดูท่าพวกตนจะเลือกคนไม่ผิดไปจริงๆ เจ้าเด็กนี่ภายนอกดูเหมือนขาดๆ เกินๆ แต่อันที่จริงกลับกระทำการอย่างมีลำดับเหตุผลไม่น้อย

“จำไว้ เบื้องสูงเบื้องต่ำจริงใจสัตย์ซื่อ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอะไรก็เปิดอกพูดกันไปเลย มีปัญหาอะไรก็เอ่ยแจ้ง ทุกเรื่องราวล้วนสามารถคลี่คลายหาทางออก”

นี่เป็นราชโองการแรกของฉินจิ่วเกอ หากต้องการเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ก่อนอื่นก็ต้องพัฒนาจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นมาเสียก่อน

การพัฒนาของพรรคสละฟ้าจำต้องปรับเปลี่ยนกันตั้งแต่รากฐาน

“แล้วถ้าคนผู้นั้นเอาแต่หลงผิดเล่า? ” ประมุขหลิวคลอนศีรษะถาม

ฉินจิ่วเกอถอนใจยาว มือขาวผ่องยกขึ้นสูงเป็นปาง “เราผู้เจริญเป็นผู้มีเมตตา ยามพระพุทธองค์โปรดสัตว์ยังมิอาจไม่คำราม หากมันยังหลงผิดจนกู่ไม่กลับ พวกเจ้าก็แค่ส่งฝ่ามืออรหันต์ให้มันสักฝ่ามือ แค่นั้นก็หมดปัญหาแล้วใช่มิใช่? ”

“อา! ” สี่ประมุขพลันเกิดการหยั่งรู้ ที่แท้ใบหน้าของประมุขน้อยเองก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ตากแดดตากฝนมาอย่างเคี่ยวกรำจึงจะมีวันนี้ได้

คำพูดประโยคนี้นับว่าสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ส่งมอบฝ่ามือคืนสติให้มันสักครา เรื่องก็ไม่บานปลายลุกลามไปกว่านี้อีก

“ตัวอย่างเช่น ประโยคที่ว่าสุดหล่อลำดับหนึ่งเก้าสวรรค์สิบภพภูมิเทพเทวาส่ายหน้าผวายอดเจ๋งมลังเมลืองแช่วับเมื่อครู่นั้น เกินเลยความเป็นจริงไปมาก แปลว่าข้าเป็นคนไร้ยางอายขนาดนั้นหรือไม่? ” ฉินจิ่วเกอนั่งตัวตรงพลางเอ่ยถาม

สี่ประมุขขุนเขาเผลอผงกศีรษะไปตามใจคิด แต่ก็รีบส่ายหน้าระรัวพัลวัน สับสนอลหม่านยิ่ง

“ถึงยังไงคำเรียกหาก็ยังนับว่าสำคัญ เอาเป็นว่าตัดทอนครึ่งหลังไป เหลือไว้แค่สุดหล่อลำดับหนึ่งก็แล้วกัน” ฉินจิ่วเกอเป็นผู้รู้จักประมาณตน ที่ว่าเก้าสวรรค์สิบภพภูมินั่น เอาไว้ให้ตัวเอกแทนก็ได้

สี่ประมุขขุนเขาเริ่มคันมือคันเท้า สรุปว่าเจ้าจะให้พวกข้าส่งฝ่ามืออรหันต์ให้เจ้าสักป้าบ เอาให้สติสตางค์คืนกลับร่างเลยดีหรือไม่?

“เจ้าตั้งใจจะฮุบตำแหน่งผู้นำบรรพตสละฟ้า? ข้าไม่ยินยอม! ” นอกห้องโถงที่สายลมพัดผ่านเข้ามาได้จากทุกที่ทางพลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่งบุกตะลุยเข้ามาอย่างดุดัน จะเป็นใครไปได้นอกจากหลงเฟิง

หลังจากเสร็จหน้าที่โยกย้ายสำมะโนครัวชาวบรรพตสละฟ้าไปที่ปลอดภัยและแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีขุมอำนาจใดล่วงรู้ หลงเฟิงที่เป็นห่วงสี่ประมุขขุนเขาก็รีบมุ่งหน้ากลับภูเขามาช่วยเหลือ แต่ที่ไหนได้ เพิ่งจะมาถึง กลับต้องเห็นภาพของสี่ประมุขที่กำลังแต่งตั้งยอมรับให้เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นเป็นผู้นำคนใหม่เข้าเสียก่อน

มันอาศัยอะไร?

“หลงเฟิง หุบปากซะ!” ประมุขหยางตวาดว่า

หลงเฟิงลำขอแข็งเกร็ง มุมปากยกขึ้นแสยะยิ้ม “มันไม่มีคุณสมบัติ!”

“ไม่เป็นไร” ฉินจิ่วเกอห้ามปรามประมุขขุนเขาไม่ให้เกิดโทสะ พร้อมเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าว่าต่อไปซิ”

ตอนนี้ตัวมันก็คือสุภาพชนคนหนึ่ง คำกล่าวว่าไม่รู้จึงไม่พอใจ ไม่ดีก็ตีมันพ้นไป? จะมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งล้วนไม่สำคัญ ทุกอย่างล้วนเจรจากันได้ แต่ถ้าเจรจาไม่ได้ ก็ค่อยมอบบทเรียนที่เหมาะสมให้แทนแล้วกัน

ผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวแล้วว่าไม่ดีก็ตีมันพ้นไป ชี้ชัดว่าการบ่มเพาะสนับสนุนความสามารถในการลงมือของผู้ฝึกตน เป็นเรื่องที่ยังจำเป็นอยู่

“ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน เจ้าก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น! ” สายตาของหลงเฟิงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เหมือนกำลังมองขยะไร้ประโยชน์กองหนึ่ง ไม่อาจมองเห็นประกายแสงสว่างใดๆ ได้

พูดก็พูดเถอะ ความประทับใจที่หลงเฟิงมีต่อฉินจิ่วเกอล้วนไปกองอยู่ตรงใบหน้าหนาทนไร้ยางอายนั่นสิ้น

ไหนจะข่มขู่ว่าจะมาแขวนคอตายที่หน้าประตูห้องตนบ้าง ขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทางในป่าไผ่บ้าง พูดจาสามหาวสารเลวบ้าง ยังมีการตรวจค้นคลังทรัพย์สินอันน่ารังเกียจนั่นด้วย

ในเวลาไม่กี่วัน ฉินจิ่วเกอก็แสดงพฤติการณ์ที่แม้แต่ฟ้ายังต้องพิโรธออกมามากมายขนาดนั้น หากหลงเฟิงยังทำสีหน้าระรื่นอยู่ได้ก็แปลกแล้ว

“นี่ไม่ใช่ปัญหา” ฉินจิ่วเกอโบกมืออย่างใจกว้าง “เข้าร่วมบรรพตสละฟ้า ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ไม่อาจบังคับ พวกเจ้าเองก็อย่าได้บีบคั้นมัน จงอย่าลืม ปรองดองสามัคคีคือหัวใจสำคัญ หากแม้แต่แนวคิดเช่นนี้ก็ยังขาดแคลน เช่นนั้นก็ลืมเรื่องที่จะเข้าร่วมพรรคสำนักไปได้เลย”

ตนเองคือสุภาพชน จำต้องปฏิบัติตัวอย่างโอบอ้อมอารีเหมือนสายน้ำ ภายในสูงส่งภายนอกดั่งราชัน จึงจะเป็นสุภาพชนคนหล่อเหลาที่แท้ทรู

หลงเฟิงยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง สายตามองสบกับฉินจิ่วเกอในระดับเดียวกัน แต่ไม่ทราบเป็นเพราะเขาบนหัวหรือเปล่า จึงทำให้มันดูสูงกว่าฉินจิ่วเกออยู่เล็กน้อย

“เจ้าไม่มีตรงไหนที่เหมาะสมเลย หัวเด็ดตีนขาดยังไงข้าก็ไม่มีวันเห็นพ้อง ยามนี้ข้าบรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นสอง ถือสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายกิจการภายในของบรรพสละฟ้าได้อย่างเต็มตัว”

“หลงเฟิง เจ้าหุบปากแล้วรีบขอขมาต่อประมุขน้อยซะ! ” ประมุขหยางกดบ่าของหลงเฟิง ยากจะปิดบังโทสะในน้ำเสียงได้

สุภาพชนฉินจิ่วเกอนั้น ตอนนี้กำลังเปี่ยมบารมีเรืองรองยิ่ง จึงเอ่ยปากเสียงขรึม “อย่าไปห้ามมัน ให้มันพูดต่อ”

“วิธีการต่ำช้า ใบหน้าสารเลว พฤติการณ์ต่ำตม พูดจาพาลพาโล จิตใจสกปรกบัดซบ……” ความเกลียดชังที่หลงเฟิงมีต่อฉินจิ่วเกอช่างลึกล้ำสุดเปรียบ จากคนที่ไม่ถนัดการใช้วาจา ตอนนี้กลับเปิดฉากสาดระรัวใส่ไม่ยั้ง บ่งบรรยายถึงการกระทำที่ผ่านมาของฉินจิ่วเกอจนหมดเปลือก

ราวกับว่าฉินจิ่วเกอก็คือตัวตนอันชั่วช้าเกินเยียวยา เป็นดั่งศัตรูของมวลมนุษยชาติที่แม้แต่ยามกลับกลายเป็นขี้เถ้าก็ยังเป็นขี้เถ้าอันชั่วช้าบัดซบอะไรเทือกนั้น

———————

*ขุนนางที่ดีย่อมไม่กล้าปิดบังกษัตริย์ของตน และรู้ว่าหากมีผิดย่อมไม่กล้าขอประทานอภัยโทษ