ตอนที่ 127 ปกครองด้วยเมตตา

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

” ที่สำคัญที่สุด” หลงเฟิงสูดลมหายใจ ยกนิ้วชี้ไปยังฉินจิ่วเกอบนเก้าอี้มังกร “มันไม่หล่อ”

“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอบังเกิดโทสะจนแทบคว่ำโต๊ะ บนศีรษะปรากฏควันลอยกรุ่น พลุ่งพล่านดาลเดือดยิ่งกว่าภูเขาไฟ

“เจ้ามีตาหรือไม่ นายน้อยผู้นี้ตลอดทั่วทั้งภพเซียนและมนุษย์ ถือพัดขนนกสะบัดผ้าพันคอ เป็นคนหล่ออันดับหนึ่ง!”

“เหอะเหอะ” หลงเฟิงหรี่ตาจนเหลือเพียงรอยแคบเรียวเล็ก หยีตามองดู

ฉินจิ่วเกอยกมือกุมหน้าอก เด็กน้อยนี้ เกือบทำข้าโมโหตายแล้ว

สี่ประมุขขุนเขาไม่ต่างจากแมลงในหม้อน้ำเดือด วิ่งพล่านวุ่นวาย แต่ก็ไม่กล้ามีปฏิกิริยา หากมันสามารถจัดการหลงเฟิงผู้ดื้อด้านลงได้ หมายความว่าเด็กน้อยนี้มีคุณสมบัติอันเลิศล้ำแล้ว

ฉินจิ่วเกอระงับความโกรธ ตัดสินใจไม่ใช้อารมณ์ ข้าจะให้เจ้าเด็กนี่ได้รู้จัก อันใดเรียกว่าลงมือปฏิบัติจึงรู้แจ้ง

แต่คิดไปคิดมา อีกฝ่ายคือกลั่นดวงธาตุขั้นสอง หากจับยัดเข้าประตูหายนะ ยังมีคุณสมบัติเป็นหัวหอกของศิษย์สายตรง

ศิษย์สายตรง คือผู้ดูแลพรรค ถือเป็นว่าที่ผู้อาวุโสของพรรค

หรืออาจเป็นได้ถึงว่าที่เจ้าสำนักก็มีไม่น้อย

ในเมื่อคิดสู้ก็สู้ไม่ได้ ฉินจิ่วเกอเริ่มขับเคลื่อนกลอุบายลูกไม้ในกระเพาะอันชั่วร้ายจนเดือดปุดๆ ของมันออกมาเป็นวิธีการหนึ่ง

หลงเฟิงยามนี้ปราศจากความกลัว มันไม่กลัวฉินจิ่วเกอตีโพยตีพาย ไม่กลัวมันร่ำไห้ ทั้งไม่กลัวมันแขวนคอตายอีก

สิ่งเดียวที่มันกลัว ก็คือใบหน้าฝีปากชั่วร้ายของคนต่ำช้านี้ ขนาดตัวมันเองที่มีระดับชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นสอง ไม่ว่ามองดูอย่างไรล้วนไม่อาจสร้างความวางใจได้เลย

“ข้าขอถามเจ้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนเช่นไร ล้วนดีเลิศหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอเช็ดปากถาม สีหน้าแววตาเหมือนเห็นกวางไร้เดียงสาเดินเข้าหากับดักด้วยตนเอง

หลงเฟิงชี้เขาไปยังเก้าอี้มังกร “อย่างน้อยก็ดีกว่าเจ้า”

“ได้ เจ้าไม่พอใจข้าก็ไม่เป็นไร ข้าขอถาม สี่ประมุขขุนเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรบ้าง?”

“ปฏิบัติต่อข้าราวบิดาอาจารย์ พระคุณท่วมฟ้า!” หลงเฟิงเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น สี่ประมุขขุนเขากลับลอบปาดเช็ดเหงื่อแทนมัน

ฝีมือของฉินจิ่วเกอนั้น ซับซ้อนซ่อนเป็นชั้นๆ หลั่งไหลมาไม่มีวันหมดสิ้น ทั้งยังประหลาดพิกลพอกัน จากสีหน้าของมันก็รู้ว่ามันมีความมั่นใจถึงสิบส่วน นี่ไม่เท่ากับปล่อยให้หลงเฟิงขุดหลุมฝังตัวเองหรือ?

“ดี เจ้ายอมรับได้ก็ดี” ฉินจิ่วเกอล้วงเอากระบวนท่าพิฆาตออกมาจากแหวนมิติ

“มีคำกล่าวว่า หนี้บิดาบุตรชดใช้ ในเมื่อสี่ประมุขคือบิดาอาจารย์ของเจ้า เจ้าก็จงชดใช้หนี้แทนมันเถอะ”

ที่มันล้วงออกมาก็คือสัญญาหนี้สินฉบับหนึ่ง ฉินจิ่วเกอกำชัยชนะมั่นเหมาะ

คืนนั้น หลังจากเอาชีวิตรอดกลับมาจากมหันตภัยภูติไม้ได้ ผลลัพธ์คือต่างเปิดการเจรจา สุดท้ายบีบคั้นประมุขหยางลงนามในข้อสัญญาหนี้ค่าทำขวัญสิบล้านศิลาวิญญาณไว้ กระดาษขาวหมึกดำเขียนไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่ง

ประมุขหยางส่ายหัวอย่างขมขื่น เด็กน้อยหลงเฟิงเจ้าเสียหลักครั้งใหญ่แล้ว ที่แท้เจ้าเป็นบุคคลเยี่ยงนี้เอง

อีกสามประมุขยิ่งย้ำเตือนตนเอง อย่าได้หยิบยืมเงินเด็กน้อยนี้เป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ได้

“เท่าไร?” มันถามไถ่ตนเอง ยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุ ระดับหลายสิบหมื่นศิลาวิญญาณมันยังมีปัญญารวบรวมมาได้

“ไม่มากเท่าใด สิบล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น สัญญายืมเงินเขียนไว้อย่างชัดเจนไม่ผิดพลาด ยังมีอีกสามประมุขเป็นพยานยืนยันได้”

“อะไรนะ?” สิบล้าน อา เงินมากขนาดนี้ แม้แต่ช่วงที่บรรพตสละฟ้ายังเฟื่องฟู หากคิดเอาเงินจำนวนนี้ออกมายังไม่ง่ายดาย ไฉนอาจารย์ของมันจึงติดค้างอีกฝ่ายเป็นจำนวนเงินมหาศาลปานนี้ได้ สยองขวัญเกินไปแล้ว

หลงเฟิงประกายตาแตกซ่าน รัศมีพลังพลันอ่อนโทรมลงกะทันหัน มองไปทางประมุขหลิวจูโหวทั้งสาม เห็นพวกมันทั้งสามต่างผงกศีรษะเบาๆ เป็นเครื่องหมายยืนยัน

เห็นสายตาของหลงเฟิงที่มองมายังตนเองเนิ่นนาน ประมุขหยางต้องเอ่ยด้วยความคั่งแค้น “ติดหนี้ผู้อื่นเพียงไม่กี่ล้าน ให้เชือดเนื้อเถือหนังออกมาแทนก็ได้!”

ภายในห้องโถงใหญ่ เสียงสะอื้นอันโดดเดี่ยวต่อเนื่อง คล้ายสัมผัสถึงความไม่แน่นอนของโลกหล้า คลื่นลมกระหน่ำชะตาพลิกผัน

ฉินจิ่วเกอส่ายศีรษะ จุ๊ปากไม่กล่าวอันใด

คนหนุ่มหน้าบาง หากเปลี่ยนเป็นมัน คงงัดกลยุทธ์ไม่มีไม่หนีไม่จ่ายออกมาแล้ว

หากถูกบีบคั้นมากเข้า ชีวิตคนมีความหมาย ดูซิว่ามันจะทำยังไงได้

“มาเถอะ หากคิดเป็นคนดีชอบแก้ไข ก็ชดใช้หนี้มาเถอะ” ฉินจิ่วเกอยามนี้กลายร่างเป็นหวงซื่อเริ่น (ตัวละครขุนนางหน้าเลือดในนิยายเรื่องไป๋เหมาหนี่ว์-สตรีผมขาว) นั่งเอกเขนกหลับตาบนเก้าอี้มังกร ฝ่ามือวางบนเข่า ลมหายใจขาวราวเทพเซียน

หลงเฟิงสิ้นชีพแล้ว คนยืนนิ่งอยู่กับที่เนิ่นนาน ปากอ้าค้างไร้ลมหายใจ

สิบล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำ อา หากเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณระดับกลางก็เท่ากับหนึ่งแสนศิลาวิญญาณ หรือเท่ากับหนึ่งพันศิลาวิญญาณระดับสูง ระดับของศิลาวิญญาณขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณที่สามารถจุไว้ แบ่งออกเป็นสูงกลางต่ำสามระดับ อัตราแลกเปลี่ยนที่หนึ่งต่อร้อย

“มาเถอะ จะแล่เนื้อเถือกระดูก หรือจะเลาะเอ็นขายสังขาร สรุปแล้วเอาเงินคืนมา เจ้าก็สามารถไปได้” ฉินจิ่วเกอยามนี้เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ใช้คุณธรรมปกครองคน ไม่มีการใช้กำลังใดๆ

ตึง!

หลงเฟิงร่วงลงกับพื้น สองมือยกชูขึ้นฟ้า เปลี่ยนท่วงท่าเป็นบูชาเทิดทูน “ศิษย์บรรพตสละฟ้าหลงเฟิง คารวะประมุขน้อย!”

ฉินจิ่วเกอยืดขา นั่งขึ้นบนเก้าอี้มังกรท่องเมฆาที่กว้างพอนั่งได้สามคนนั้น ชักเข่าขึ้นไประดับเดียวกับหัวไหล่ ผินหน้ามาครึ่งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เอ๋? ใคร่ครวญดูดีๆ นะ ข้าจะลดราคาเจ้าสองส่วน เจ้าคืนเงินข้าดีกว่า”

“หลงเฟิงน้อมคารวะประมุขน้อย ประมุขน้อยไม่ต้องกล่าวแล้ว ศิษย์นับถือเลื่อมใสท่านจนต้องกราบกรานแนบพื้น!” นัยน์ตาดำขลับสองขีดของหลงเฟิงยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นจงรักภักดีสุดซึ้ง ราวกับว่าหากฉินจิ่วเกอไม่ยอมรับมัน มันย่อมใช้ชีวิตสังเวยวิ่งเอาศีรษะพุ่งชนบันไดหยกตาย

ดวงตาฉินจิ่วเกอระยิบระยับด้วยประกายปัญญา สว่างวับวาวราวหินภูเขาไฟ “ดี งั้นก็ติดไว้ก่อน วางใจเถอะ ข้าหนึ่งไม่บีบคั้นคนชดใช้หนี้สิน สองไม่สาดสีประจานหนี้ใคร รอจนวันมงคลใหญ่ของเจ้า บุญนำพาวาสนาส่ง วันนั้นข้าจะเผาสัญญาหนี้ทิ้ง”

“ประมุขน้อยปราดเปรื่อง!” หลงเฟิงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองต้นตอแห่งความชั่วร้าย คนก้มศีรษะงุด สองมือยกชูขึ้นสู่ฟ้าเป็นการคารวะ

ฉินจิ่วเกอแย้มยิ้มมุมปาก เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายราวจิ้งจอก เปี่ยมเล่ห์เพทุบายจนใบหน้ากระตุกสั่น

สี่ประมุขขุนเขาเห็นดังนั้น ในใจลอบสั่นสะท้าน มารดามันเถอะ เจ้าเด็กนี่ไหนเลยจะเป็นแค่ผู้ฝึกวิชาปีศาจ มันน่ะบรรพบุรุษของสำนักปีศาจเลยต่างหาก

สิ่งที่มันรับปากหลงเฟิง แท้ที่จริงมีช่องโหว่ ที่มันพูดคืออีกฝ่ายบุญวาสนานำพา ได้เข้าห้องหอจึงค่อยฉีกสัญญาทิ้ง แต่จากที่ฉินจิ่วเกอประเมินดู เจ้าคนหน้าน้ำแข็งตายนี่ บุคลิกประหลาดอุปนิสัยยิ่งน่าชัง ตลอดชั่วชีวิตนี้คงได้แต่ฝึกฝนวิชาฝ่ามือนวลนางไปทั้งชาติ

ศิลาวิญญาณสิบล้านนั่น ยังไงก็ไม่ไปไหนแน่นอน

ตอนแรกที่มันข้ามภพมาทวีปฉงหลิง ฉินจิ่วเกอก็สรุปหลักเหตุผลประการหนึ่งได้ คือวิธีการตายบนโลกนี้มีมากมายนัก มีทั้งแขวนคอ รถชน ป่วยตาย หิวตาย ถูกตี ถูกพิษ ติดคอตายมากมายหลายหลาก แต่ที่ตายอย่างน่าเวทนาที่สุด ก็คือยากจนตาย

ยามนี้น้ำวนลมพัดทางปลอดโปร่ง ถือเอาแรงบันดาลใจในการเอาคืนต่อสังคมแบบไม่ตายไม่เลิกรา ต้องให้พวกมันได้ซาบซึ้งถึงความตายเช่นนี้บ้าง

เรื่องของบรรพตสละฟ้าถือว่าเรียบร้อย ตอนนี้ ที่สำคัญที่สุดคือจะจัดการและพัฒนาอย่างไร

ต้องทำแผนยุทธศาสตร์ เอ๊ย ร่างแผนปฏิรูปออกมา อันดับแรกย่อมต้องเริ่มต้นที่ผืนแผ่นดินเดียวที่ยังเหลืออยู่ให้จัดการของบรรพตสละฟ้า

กองกำลังหนึ่ง หากคิดพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ดูที่พวกมันมีจำนวนคนเท่าใด หากแต่ต้องดูว่าพวกมันมีคุณสมบัติเติบโตหรือไม่

คุณสมบัตินี้ก็คือศิลาวิญญาณ

ในฐานะสกุลเงินหลักของทวีปฉงหลิง เมื่อมีศิลาวิญญาณ สามารถซื้อหาโอสถวิเศษสมบัติวัตถุ ทักษะยุทธ์ นี่ต่างหากจึงจะเป็นพลังของขุมกำลังหนึ่ง

ทว่าบรรพตสละฟ้าถูกกินจนกลวงโบ๋ ต้องทนทานรับการกดดันมานานพันปี ทรัพยากรภายในล้วนเกลี้ยงเกลาไม่เหลือหลอ

ฉินจิ่วเกอเมื่อขึ้นปกครองบรรพตสละฟ้า พูดตามตรงว่าไม่ต่างจากขึ้นมาดูแลความยุ่งยากกองหนึ่ง

สี่ประมุขขุนเขาไม่เข้าใจเรื่องประดานี้ หลงเฟิงและบรรดาศิษย์ต้องยิ่งส่ายหน้า ฉินจิ่วเกอจนปัญญา คงได้แต่ต้องลงมือด้วยตนเองแล้ว

ฉินจิ่วเกอยกมือลูบคางเรียวของตน ออกคำสั่งหลงเฟิง “เจ้าจงคัดศิษย์ระดับพิสุทธิ์ไพศาลมาสามสี่คน ลอบเข้าเขตเมืองมนุษย์ ไปที่เมืองซวนอู่ตามหาพ่อค้าคาราวานนามหวังซาน”

พิสุทธิ์ไพศาลรัศมีพลังไม่สูงส่ง ไม่มีทางดึงดูดความสนใจ ทั้งยังสามารถเหินบินได้ เรื่องความเร็วย่อมวางใจได้

หากคิดร่ำรวย ต้องซ่อมแซมทางคมนาคม สาเหตุที่ต้องซ่อมทาง ก็เพื่อดึงดูดการค้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจพื้นถิ่น ไม่เพียงเป็นการสนองความต้องการของพื้นที่ ยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างภายในภายนอก

” เมื่อหาตัวมันพบแล้ว บอกไปว่าข้าฉินจิ่วเกอขอไหว้วาน กองคาราวานของมันจะเป็นพวกเราคัดสรรยอดฝีมืออารักขา ไม่ต้องไปยังเมืองเทียนเอินอีกต่อไป แต่ให้มายังบรรพตสละฟ้า พวกเราจะให้ราคาสามเท่า”

วาสนาในวันก่อน มาวันนี้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

อย่าได้เห็นว่าหวังซานพลังฝีมือไม่สูงส่ง แต่มันหัวการค้ายิ่ง ส่วนเรื่องการเบิกเส้นทางการค้า ผู้อื่นอาจเห็นแก่หน้าฉินจิ่วเกอยอมเปลี่ยนเส้นทาง

พรมแดนมนุษย์และเผ่าอสูรยาวนับหมื่นลี้ เพียงเงียบเหงากว่าเมืองเทียนเอินเล็กน้อย เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา

“ประมุขน้อย ท่านคิดจะทำอะไร?” คำถามเด๋อด๋าของประมุขจูขับเน้นสติปัญญาของฉินจิ่วเกอ ทำให้ประมุขน้อยของบรรพตสละฟ้าได้แสดงทัศนวิสัยอันสูงส่งกว้างไกลออกมา

“บรรพตสละฟ้าเราจะทำตัวเป็นผู้บริหารจัดการของแถบนี้ หากคิดกำไรเงินทอง ย่อมต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มจำนวนประชากร ประชากรและเงินทองมาจากไหน ก็มาจากกิจกรรมการค้า แน่นอน พวกเราเองก็ต้องมีธุรกิจของเราเองด้วย”

ฉินจิ่วเกออธิบายอย่างละเอียดลออ

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ฉินจิ่วเกอเชี่ยวชาญชำนาญการยิ่ง ในเมื่อเป็นเรื่องที่ท่านสนใจให้ความสำคัญ แน่นอนว่าย่อมถ่องแท้กว่าฝึกวิชาฝีมืออยู่มาก

ประมุขจูถามต่อ “พวกเราไม่เป็นเรื่องพวกนี้ เรื่องการค้าในพวกเราไม่มีใครสามารถสักคน”

ฉินจิ่วเกอเลียริมฝีปากล่าง ขยิบตา “ง่ายดายยิ่ง ข้าจะยกตัวอย่างให้พวกท่านฟังทีหลัง ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือฟื้นฟูบรรพตที่ยังอยู่ในความครอบครองของพวกเรา พัฒนาการค้าขาย เพิ่มความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ”

เมืองที่อยู่เนินเขายังมีโครงสร้างก่อนหน้านี้เหลืออยู่ เพียงการซ่อมแซมปรับปรุงเล็กน้อย ประชากรก็จะกลับมา เมื่อทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลจัดการพื้นที่ มีเรื่องบางประการสามารถกระทำได้อย่างสะดวกดาย ที่จริงก็แค่ต้องเริ่มลงมือเท่านั้น

ยามนี้พลังฝีมือของสี่ประมุขขุนเขาฟื้นคืนแล้ว หากคิดประกาศเกียรติภูมิของบรรพตสละฟ้ากลับมาอีกครั้ง สมควรไม่มีอุปสรรคหนักหนาอันใด

เพื่อการเปิดตัวทางเศรษฐกิจอย่างราบรื่น ในเมืองที่บรรพตสละฟ้าครอบครอง ต้องมีอุตสาหกรรมที่เป็นของพวกมันเอง

ฉินจิ่วเกอไม่อาจนั่งบัญชาการทุกสิ่งอย่างอยู่ที่นี่ได้ทุกวินาที เมื่อใดที่มันมือว่าง มันต้องกลับไปทันที

พรรคหลิงเซียวมีอาวุโสใหญ่และศิษย์น้องเล็ก ยังมีพระเอกของเราที่ตอนนี้กลายเป็นยอดฝีมือไปแล้ว ราวกับตัวเองนอกจากรับประทานอิ่มหนำรังแกเจ้าอ้วนน่าตาย ส่วนใหญ่แล้วไม่มีเรื่องน่าหนักใจอะไรเลย

ยังไงซะ บ้านตัวเองก็สุขสบายที่สุดแล้ว ฉินจิ่วเกอยืนขึ้น โบกมือ “หลงเฟิง จงนำทางสี่ประมุขขุนเขาไปยังห้าธัญญะกลับสังสาร ประมุขน้อยข้าจะได้อธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด อันใดเรียกการเก็บออมเงินทุน อันใดเรียกสนองดีมานด์และซัพพลาย อันใดเรียกสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ”

“ห้าธัญญะกลับสังสาร?” สี่ประมุขในใจพิศวงสงสัยยิ่ง ช่างเป็นชื่อเรียกอันเลิศหรูอลังการนัก

หลงเฟิงหน้าดำคร่ำเครียด มันรู้ว่าที่ฉินจิ่วเกอพูดถึงคืออะไร สูงส่งผายลมน่ะสิ! ต้องเฉลยเสียงเบา “นั่นน่ะส้วม”

“เอ๋?” สี่ประมุขสะท้านเฮือก ประมุขน้อยกระทำการใด ช่างเหนือความคาดหมายโดยแท้ เพียงสถานที่ถ่ายทุกข์กลับสามารถอรรถาธิบายเศรษฐกิจทั้งหลายทั้งมวลได้?

“เทพศักดิ์สิทธิ์สูงส่งห่างไกล เต๋าแฝงอยู่ในอุจจาระ” หลงเฟิงจำวาจาของฉินจิ่วเกอได้ อธิบายให้สี่ประมุขขุนเขาฟัง

“สูงส่งลึกล้ำยิ่งนัก!” สี่ประมุขขุนเขามีพัฒนาการ มาถึงข้างที่ถ่ายทุกข์ รอคอยฉินจิ่วเกอมาอธิบายความ

การฝึกตน คือหวังหลอมรวมฟ้าดินมนุษย์เป็นหนึ่ง หรือหวังเป็นมนุษย์เหนือฟ้า ไม่ว่าด้วยความคิดแบบใด ก็คือการคิดเป็นอมตะไม่ตาย ทวีปฉงหลิงกว้างไกลไพศาล ไอวิญญาณฟ้าดินต่างลึกล้ำลึกซึ้ง ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับสูงมีไม่มาก

ยกตัวอย่างเช่นยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ตลอดทั้งพรมแดนระหว่างแดนมนุษย์และอสูรที่ทอดยาวนับหมื่นๆ ลี้ เพียงมีรวมกันร่วมร้อยคนเท่านั้น ทั้งยังมิใช่ระดับดวงธาตุสูงเท่าใด ยอดฝีมือขั้นสูงส่งสุดสูงที่จริงมีไม่มาก ส่วนใหญ่แล้ว เป็นเพราะพรสวรรค์จะติดค้างอยู่ที่ปราณสุริยัน อย่างมากก็สิ้นสุดที่พิสุทธิ์ไพศาล

นี่เป็นเช่นเดียวกับคนตัวสูงตัวเตี้ย ที่สำคัญคือพื้นฐานติดตัวมา

*เซียนเทียน (ก่อนกำเนิด) มีผลสี่ส่วน โฮ่วเทียน (หลังกำเนิด) มีผลหกส่วน

—————————————–

เซียนเทียน กับ โฮ่วเทียน อีกแบ๊วว

เซียนเทียน นอกจากจะแปลว่าก่อนฟ้า ที่หมายถึงยุคต้นกำเนิดโลกมนุษย์แล้ว ในที่นี้ยังหมายถึงสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ก็คือพรสวรรค์ ส่วนโฮ่วเทียน ก็คือหลังฟ้า หลังกำเนิด หรือพรแสวงนั่นเอง เซียนเทียนโฮ่วเทียนบทนี้ คนละบริบทกับตำนานกำเนิดจักรวาล