มโกหกเธออย่างหน้าตาเฉย
ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ มันแค่น่าจะยุ่งยากมากขึ้นถ้าผมตอบเธอตามตรงอย่างเปิดเผยและพูดว่า “มันคือสิ่งที่ข้ารู้เพราะข้าเล่นเจอในเกม และเด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นแม่ทัพซึ่งเก่งกาจที่สุดในทวีปนี้” ผมคงทำได้แค่แต่งเหตุผลขึ้นมาและบอกมันต่อเธอนั่นแหละ
“…… ความเกลียดชัง งั้นเหรอค่ะ?”
“ใช่ ลองคิดแทนที่เด็กสาวคนนั้นดูสิ เธอเกิดมาเป็นลูกนอกสมรสและใช้เวลาของเธอติดอยู่แต่ในห้องของเธอเอง เธอได้รับการเหยียดหยามจากคนที่ควรจะเป็นเครือญาติของเธอ เธอยังถูกหลบหน้าแม้กระทั่งจากคนรับใช้ด้วย และตอนนี้ครอบครัวนั้นได้ล่มสลายลง ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้จมดิ่งลงกลายเป็นทาสและกำลังถูกเร่ขายที่ตลาด เธอคิดว่าอะไรซุกซ่อนอยู่ในใจของเด็กสาวคนนี้กันล่ะ? อะไรที่เด็กสาวคนนี้ปรารถนาอย่างแรงกล้า? เธอจะไม่หล่อเลี้ยงความเกลียดชังของเธอที่มีต่อมวลมนุษย์หน่อยหรือ? ”
“……”
“สำหรับข้าแล้ว ข้าต้องการเด็กแบบนี้แหละ เด็กที่ถูกแผดเผาด้วยความเกลียดชังมากกว่าใครอื่น ข้าต้องการเด็กผู้ที่จะขายวิญญาณของเธอเองให้กับปีศาจถ้ามันหมายถึงการได้แก้แค้นต่อมวลมนุษย์ และลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ คือบุคคลที่ตรงกับรสนิยมของข้าพอดีเลย ”
ผมหัวเราะเบาๆออกมา
ลาพิส ลาซูรี่มองมายังผมด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
เธอมีสายตาที่ดูคล้ายกับว่าเธอเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วยในเวลาเดียวกัน
“อะไร? นี่เธอรู้สึกผิดหวังที่มันไม่ใช่คำตอบที่เธอหวังไว้หรือไง? ”
“นิดหน่อยค่ะ”
ลาพิส ลาซูรี่เอียงศีรษะของเธอและกล่าวว่า
“แต่เราผู้นี้มั่นใจเลยว่าฝ่าบาทต้องการที่จะได้รับและเพลิดเพลินกับทาสเซ็กส์คุณภาพเยี่ยมจากชาติกำเนิดขุนนางแน่ๆค่ะ”
“ว่าไงนะ? พูดอะไรไร้สาระสิ้นดี…… เดี๋ยวก่อน นี่เธอมองว่าข้าเป็นคนยังไงกัน? ”
“แน่นอนว่า, เราผู้นี้เห็นอย่างที่เป็นนั่นแหละค่ะ”
มีข้ารับใช้ตรงนี้ที่ปฏิบัติต่อเจ้านายของพวกเขาดั่งเศษเดนมนุษย์อยู่ด้วยได้ไงกันฟะ!
ผมพอจะเข้าใจสาเหตุอย่างลางๆแล้วว่าทำไมค่าความชอบของลาพิส ลาซูรี่ถึงยังไม่ผ่าน 10 สักที ไม่จริงเลย, ก็, ผมยังคงหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่, นะเฟ้ย! ผมไม่ได้เลวทรามมากพอที่จะทำสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างเช่นการหาทาสเซ็กส์หรอกนะ
“ลาล่า”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดอย่างเหลือเชื่อว่า
“ข้าจะใช้โอกาสนี้เพื่อบอกกับเธออย่างชัดเจนเลยนะ”
“อะไรเหรอคะ?”
“ข้าชอบผู้หญิงโตเต็มวัยมากกว่า”
ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่นา
โลลิค่อนคืออาการป่วยทางจิตนะเออ
“ข้าไม่สามารถทนผู้คนที่ยังมีกลิ่นเหมือนเด็กน้อยอยู่นะ แน่นอนว่า ข้าชอบนมใหญ่ๆมากกว่านมเล็ก และข้าชอบท่อนล่างที่อวบอิ่มมากกว่ากระจิ๊ดริด เข้าใจมะ พวกที่ชอบรูปร่างเด็กน้อยคือพวกวิกลจริตที่มีน๊อตหลวมๆอยู่ในหัวของพวกเขา ”
“จริงเหรอคะ?”
ลาพิส ลาซูรี่พยักหน้า
“สรุปว่า มากกว่าฝ่าบาทบาร์บาทอส, ฝ่าบาทไพม่อนใกล้เคียงกับรสนิยมของฝ่าบาทมากกว่าสินะคะ”
“ก่อนที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าใกล้เคียงหรือไม่ใกล้เคียง ข้าแค่ไม่ชอบรูปร่างเด็กน่ะ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าหาและเสนอตัวของพวกเธอ ข้าก็ปฏิเสธเฟ้ย! ”
“นั่นน่าเสียดายจัง ถ้าฝ่าบาทรับคุณหนูฟาร์เนเซ่ด้วยเจตนาที่จะบรรเทาความเงี่ยนของฝ่าบาท งั้นเราผู้นี้จะสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นต่อการตัดสินใจนั้นแน่นอนค่ะ ในเมื่อมันหมายความว่าภาระของเราผู้นี้จะลดลงด้วยจำนวนที่ค่อนข้างมากเลยค่ะ ”
“นี่เธอไม่ชอบนอนกับข้ามากถึงขนาดนั้นเลยหรือไงฟะ!? ไม่สิ, เดี๋ยวนะ, ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนที่เข้ามาหาข้าก่อนเหรอ …… ! ”
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ในตอนนั้น เราผู้นี้ยังไม่ทราบว่าฝ่าบาทนั้นที่จริงเป็นม้าติดสัด ฝ่าบาทถึงกับเติมเต็มความใคร่อย่างเต็มที่ในคืนแรก, 3 ครั้งติดต่อกันเลย…… อันที่จริง, เราผู้นี้ชักจะเริ่มสำนึกเสียใจแล้วค่ะ ”
“นั่นไม่เกินไปหน่อยเหรอ!?”
ผมดันได้ยินจากปากคนรัก 1 สัปดาห์ของผมว่าเธอได้เสียใจต่อการตัดสินใจของเธอซะงั้น
มันอาจจะเป็นเพียงความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่มีความรักต่อกันใดๆ แต่ผมก็ได้รับความเจ็บกระดองใจอย่างช่วยไม่ได้แฮะ
ขณะที่ผมพูดคุยกับลาพิส ลาซูรี่ ก็มีบางคนเคาะที่ประตู
“ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ อาหารของฝ่าบาทได้มาถึงแล้วค่ะ ”
“อา เข้ามาได้ ”
มันคือเหล่าสาวใช้ที่ทำงานอยู่ในพระราชวังของเจ้าเมือง
เหล่าสาวใช้ได้เปิดประตูและเดินเข้ามาในห้อง สาวใช้แต่ละคนต่างกำลังถือถาดเงินเดินเข้ามา พวกเธอมองมาทางนี้และใบหน้าของพวกเธอก็ชะงักแข็งทื่อในทันที ก็ชายและหญิงกำลังนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงน่ะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะคลุมด้วยผ้าห่ม แต่ร่างกายท่อนบนของผมได้เปิดโล่งอยู่
“ขะ-ขออภัยด้วยค่ะ! ฝ่าบาท! ”
“ไม่เป็นไร คนที่สั่งให้พวกเธอเข้ามาคือตัวข้าเอง ไม่มีเหตุผลที่พวกเธอต้องขอโทษหรอกนะ ไม่ต้องสนใจพวกข้าและเสริฟอาหารกลางวันได้แล้ว ”
“อา …… รับทราบค่ะ”
เหล่าสาวใช้วางชุดอาหารอย่างเป็นงานเป็นการลงบนโต๊ะ แม้ว่าพวกเธอจะทำดีที่สุดเพื่อจะไม่สนใจต่อพวกเราและก้มหัวของพวกเธอในตำแหน่งที่ควร แต่สุดท้ายพวกเธอก็เผลอแอบมองมายังพวกเราโดยสัญชาตญาณ
หืม? เป็นครั้งแรกของพวกเธอที่ได้เห็นจอมปีศาจล่อนจ้อนหรือไงหว่า?
เมื่อพบว่ามันน่าตลกดี ผมเลยคอยเฝ้ามองสาวใช้อย่างเงียบๆจนผมได้ยินเสียงเดาะลิ้นดัง ‘ชิ’ มันเบามากจนผมเกือบจะพลาดเสียงนั้นไป หัวใจของผมกลายเป็นเยือกเย็นอำมหิตอย่างรวดเร็ว
“งั้นพวกเราขอตัวลาเลยนะคะ”
“พวกเธอทั้งหมด หยุดอยู่ตรงนั้นเลย”
เหล่าสาวใช้ชะงักอยู่กับที่ตรงประตู
ผมดันลงเอยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างไม่ได้ตั้งใจออกไป
“ใครเป็นคนที่เดาะลิ้นออกมา”
“อะไรนะคะ?”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ข้าได้ยินอย่างชัดเจนว่าหนึ่งในพวกเธอเดาะลิ้นของเธอออกมา สารภาพซะว่าใครเป็นคนทำกันแน่ ”
เหล่าสาวใช้ต่างมองหน้ากันและกันด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดวงตาของพวกเธอมองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปที่คนๆหนึ่ง มันคือหญิงสาวที่มีหูแมวจากเผ่าบีสท์ (beast)
อย่างงั้นเองเหรอ นี่แกคือตัวการที่เดาะลิ้นออกมาสินะ?
ผมใส่เสื้อคลุมหลวมๆและลุกขึ้นมาจากเตียง
“……”
ในช่วงเวลานั้นเอง สาวใช้จากเผ่าบีสท์ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของเธอและเริ่มตัวสั่นเทา ฟันของเธอได้ขบกันดังอย่างถี่ยิบ ดูแล้วเพื่อนร่วมงานของเธอได้คาดเดาว่าโชคชะตาของเธอจะเป็นเช่นไรเมื่อยามที่พวกเธอได้เดินหนีห่างออกไปหลายก้าวอะนะ
“ชื่อ”
“จะ …… จะ-จูเลียค่ะ นี่คือชื่อของเราผู้นี้ค่ะ”
“งี้นี่เอง จูเลีย เธอมีชื่อที่ไพเราะดีนะ ”
ตรงกันข้ามกับคำชม ใบหน้าของผมกลับบึ้งตึง
“ทำไมเธอเดาะลิ้นของเธอเมื่อกี้นี้”
“ขะ – เราผู้นี้ขออภัยอย่างสุดซึ้งค่ะฝ่าบาท ได้โปรดยกโทษให้เราผู้นี้เถอะค่ะ! ”
“ข้าถามว่าทำไมแกถึงได้เดาะลิ้นของแก”
สาวใช้ไม่สามารถตอบได้
ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ถามเธอด้วยความหวังว่าเธอจะตอบคำถามผมหรอกนะ ผมรู้คำตอบอยู่แล้วแหละ
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เดาะลิ้นของเธอต่อผม แต่เยื้องไปที่ด้านข้างของผมต่างหาก กล่าวอีกอย่างก็คือ ระหว่างที่จ้องมองไปยังลาพิส ลาซูรี่ เธอก็ได้เดาะลิ้นของเธอใส่
นั่นดึงผมเข้าสู่อารมณ์โมโหอย่างแรง
เยี่ยมไปเลย
ถึงจุดที่ผมแทบจะไม่สามารถควบคุมความโกรธของผมได้อีกแล้ว
“นี่แกกำลังดูถูกที่ตัวข้าใกล้ชิดสนิทสนมกับคนรักของข้าใช่มั้ย?”
“เปล่าเลยค่ะฝ่าบาท เราผู้นี้ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย …… ! ”
“ข้าเข้าใจดี มันคงจะเป็นเรื่องซึ่งน่าขัดตาเป็นอย่างมากที่ได้เห็นพวกสามัญชนเลือดผสมบนเตียงเดียวกันกับจอมปีศาจสินะ มันต้องเป็นภาพบาดหูบาดตามากสำหรับแก นั่นคือเหตุผลที่แกเดาะลิ้นของแกใส่คนรักของข้า ถูกมั้ย? ”
“เรา – เราผู้นี้ …… เราผู้นี้แค่ …… ”
ผมเดาถูกเผง
นั่นคือความรู้สึกที่ผมได้รับจากการตอบกลับของหล่อน
ไม่มีอะไรที่ต้องพิจารณาเพิ่มอีกแล้ว
ผมก้าวย่างเนิบๆไปยังกำแพงที่ซึ่งดาบกำลังติดโชว์อยู่และดึงมันออกมา ใบดาบบางๆได้โผล่ออกมาพร้อมกับส่งเสียงโลหะที่เสียดสีกัน เมื่อเห็นสิ่งนี้ สาวใช้คนอื่นๆต่างก็กรีดร้องออกมา
“ก่อนที่จะมองว่าเป็นสามัญชน ลืมหรือไงว่าเธอคือคู่หมั้นของข้าน่ะ ด้วยอำนาจใดกันที่แกกล้าเยาะเย้ยคนรักของคนอื่น นี่ข้าน่าเย้ยหยันพอที่แกจะล้อเลียนหรือไงห๊า? ”
“ฝ่าบาท …… อย่างน้อยชีวิตเราผู้นี้ …… ได้โปรดละเว้น …… ”
มันยากมากที่จะเข้าใจจริงๆ
หลังจากที่ลงสู่โลกใบนี้ ก็มีแต่สิ่งที่เข้าใจยากเกิดขึ้นเสมอเลย
ทำไมคนเราถึงได้ดูถูกเหยียดหยามต่อผู้อื่นอย่างง่ายดายจัง?
ทำไมคนเราถึงไม่ดำรงไว้แม้แต่มารยาทสักนิดนึงล่ะ?
และสุดท้าย ทำไมคนเราถึงเลือกโจมตีเมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังจะแพ้แน่ๆหว่า?
พวกเขาไร้ความระแวดระวัง พวกเขาไร้สามัญสำนึก และพวกเขาก็ไร้ปัญญาอีกด้วย เช่นเดียวกันกับไพม่อนและเช่นเดียวกันกับล๊อทบรอค. ยัยแก่นั่นได้สั่นคลอนจิตใจผมเมื่อไม่กี่วันก่อนและตอนนี้สาวใช้คนนี้ก็กำลังพยายามที่จะเปิดฉากงัดข้ออีก
นั่นคือเหตุผลที่
ในเมื่อมันเต็มไปด้วยผู้คนประเภทนี้
เพราะมันมีแต่พวกไม่ได้เรื่อง น้องของผมและตัวผมถึงได้—
ทันใดนั้นเอง กล่องตัวเลือกก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงประกอบ
[1. ลงทัณฑ์]
[2. ไว้ชีวิต]
มันคือหน้าต่างโปร่งใสเพียงบางส่วนอันสามารถมองเห็นได้โดยตัวผมเองเท่านั้น
ผมเพิ่มแรงกำของผมลงบนด้ามดาบ สาวใช้คนอื่นๆต่างกลั้นหายใจกันหมด ส่วนหญิงสาวเผ่าบีสท์ก็ได้พร่ำกล่าวเพื่อขอให้ยกโทษในขณะที่หลั่งน้ำตาออกมา
ฆ่าหรือไม่ฆ่า การคำนวณทุกรูปแบบได้แล่นผ่านหัวของผม การคุกคามสถานะทางการเมืองสำหรับการฆาตกรรมข้ารับใช้ของพระราชวังเจ้าเมือง ผลกระทบในวงสังคมซึ่งจะเกิดขึ้น ความเสียหายทางภาพลักษณ์ของผมที่จะได้รับ ถึงอย่างงั้น แม้จะพิจารณาส่วนเสียเหล่านี้ทั้งหมด มันก็เป็นการยากที่จะยกโทษให้ผู้หญิงคนนี้ มันยากเหลือเกินแฮะ ผมยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่สามารถทำได้ แต่—
“ท่านดันทาเลี่ยน”
ด้วยความนุ่มลึก
และเยือกเย็นอยู่เสมอของน้ำเสียงเธอ
“นั่นมากพอแล้วค่ะ”
ลาพิส ลาซูรี่ก็ได้กล่าวออกมา
ผมค่อยๆหันหน้าของผมไปยังลาล่า
ที่ตรงนั้นคือดวงตาคู่เดียวกันกับที่ผมเคยเห็นเมื่อไม่กี่วันมาก่อน
สายตาที่ติติงคู่เดิมนี้อันราวกับกำลังถามผมว่ายังไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ผมได้ทำผิดไปหรือไงกัน
“……”
ในตอนนั้นเอง
ภายในหัวของผมก็ได้เยือกเย็นลงอย่างเฉียบพลัน
ผมสามารถคิดได้แล้วว่าการกระทำของผมในตอนนี้มันบ้าบิ่นถึงเพียงใด สำหรับผมที่พยายามฆ่าคนบางคนเนื่องจากพวกเขาได้เดาะลิ้นของพวกเขาเพียงครั้งเดียว มันช่างงี่เง่าสิ้นดีเลย
ยัยแก่และสาวใช้คนนี้ตรงหน้าผมนั้นแตกต่างกัน ยัยแก่เป็นตัวการหลักที่ได้ทำลายชีวิตของลาพิส ลาซูรี่อย่างสิ้นเชิง แต่ว่า ทั้งหมดที่สาวใช้คนนี้ได้กระทำคือการเดาะลิ้นของเธอเท่านั้น แม้ว่าตัวเธออย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไม่รู้มารยาทที่พึงมี แต่มันก็เท่านั้นแหละ เธอไม่ได้กระทำความผิดที่สมควรแก่การถูกฆ่าสักหน่อย!
ผมฝืนใจราดน้ำเย็นลงในหัวของผม
‘เย็นไว้ลูก’
‘อย่าสร้างศัตรูโดยไร้เหตุผลสิ’
‘ถ้าพวกเขาสำนึกถึงความผิดพลาดของพวกเขาแล้ว งั้นก็ยอมหยวนๆกันไปเถอะน่า’
แบบแผนความประพฤติที่ควรทำได้ถูกสลักไว้ใช้ดั่งตำรา
คำสอนที่เกือบจะได้กลายมาเป็นส่วนนึงของสัญชาตญาณเนื่องจากการสั่งสอนของพ่อผม ได้เริ่มมีผลแล้ว. 1 วินาที, 2 วินาที, และหลังจาก 3 วินาทีผมก็ได้ฟื้นคืนสติของผม
ผมเปิดปากของผมอย่างฉับพลันและกล่าวว่า
“…… เธอได้สำนึกในการกระทำของเธอหรือยัง?”
“ชะ-ใช่ค่ะ! ฝ่าบาท! เราผู้นี้สำนึกเสียใจเป็นอย่างมากค่ะ! เราผู้นี้จะไม่ทำอีกแล้วค่ะ! ”
“จงอย่าลืมความรู้สึกนั้นไปล่ะ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจจะส่งผลคุกคามต่อชีวิตของเธอได้นะจำไว้ ”
ผมหันไปมองยังสาวใช้คนอื่นๆและกล่าวว่า
“จำไว้ด้วยว่า ในฐานะข้ารับใช้อย่างพวกเธอที่ได้มารับใช้ต่อบรรดาชนชั้นสูง ทุกสิ่งทุกอย่างของการกระทำเธออาจนำไปสู่ความผิดพลาดอันไม่อาจแก้ไขได้ ความผิดพลาดของเธอไม่ช้าไม่นานจะกลายมาเป็นความผิดพลาดของนิฟเฮม ความโอหังของเธอไม่ช้าไม่นานจะกลายมาเป็นความอับอายของนิฟเฮม จงปฏิบัติงานควบคู่กับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ซะ ”
บรรดาสาวใช้ทุกคนต่างโค้งคำนับลงต่ำในทันที
” พวกเราจะจำไว้ค่ะฝ่าบาท! ”
ผมพยักหน้ารับ
ด้วยคำกล่าวนี้ ผมจึงได้บรรลุเป้าหมายในการพูดเลี่ยงเหตุการณ์ไป
” ดีมาก ทีนี้ก็ออกไปได้แล้ว ”
และหลังจากนั้น เหล่าสาวใช้ก็รีบก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
[1 ลงทัณฑ์]
[2 ไว้ชีวิต]
ตัวอักษรต่างๆได้ส่องสว่างเจิดจ้าอยู่กลางอากาศ
จากนั้นพวกมันก็แตกตัวและประกอบขึ้นเป็นประโยคใหม่
[เป็นการตัดสินใจที่โอบอ้อมอารีและเปี่ยมด้วยเมตตามาก!]
[ค่าชื่อเสียงได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย]
ถัดจากนั้นแต่ละประโยคก็ได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระจัดกระจายไปเหมือนหมู่มวลกลีบดอกไม้
ผมควรจะยินดีที่ชื่อเสียงของผมได้เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยก็ตาม แต่อันที่จริง อารมณ์ในตอนนี้ของผมนั้นได้ย่ำแย่สุดๆ มันตกต่ำถึงขีดสุดอย่างแท้จริง มันเป็นเวลานานมากแล้วนับตั้งแต่ตอนที่อารมณ์ของผมได้ย่ำแย่ขนาดนี้
ลาพิส ลาซูรี่ได้จ้องมองที่ผมอย่างเงียบๆ
ช่วงเวลาที่สายตาของพวกเราได้บรรจบกันผมก็ได้ขอโทษโดยสัญชาตญาณ
“ข้าขอโทษ”
“เพื่ออะไรค่ะ?”
“นั่น ……”
ผมไม่สามารถตอบได้
ความรู้สึกที่ได้ทำอะไรบ้างอย่างผิดไปได้กดลงยังหัวใจของผม ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่สามารถจับจุดอย่างแน่นอนได้ว่าผมนั้นทำสิ่งใดผิด ไม่แม้แต่นิดเดียวเลย นี้แหละที่กำลังสับสนอยู่
ความเงียบได้ล่วงเลยผ่านไป
จนในที่สุด ลาพิส ลาซูรี่ก็ถอนหายใจออกมา
“…… เข้าใจแล้วค่ะ”
นี่เธอเข้าใจอะไรกันหว่า?
เธอลุกขึ้นจากเตียงและใส่เสื้อผ้าของเธอ หลังจากลาพิส ลาซูรี่ได้ใส่เครื่องแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ก้มหลังลงต่ำและโค้งคำนับ มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นไม่มีแม้แต่ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเลย
“เราผู้นี้ขอเตรียมความพร้อมที่จะออกเดินทางสู่ตลาดทาสนะคะ มันน่าสมควรที่จะว่าจ้างเหล่าสาวๆเบอร์เบเร่สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ด้วยเช่นกันค่ะ ได้โปรดรีบออกมาเมื่อฝ่าบาทรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วนะคะ ”
“ลาล่า”
“เราผู้นี้ขอตัวลาไปก่อนค่ะ”
โดยที่ไม่ได้มองมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย เธอก็ได้เปิดประตูและเดินออกไป
อย่างที่ผมโดนเมื่อ 4 วันก่อน ผมก็ถูกทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพัง ลาพิส ลาซูรี่อาจจะได้จากไปแล้ว แต่กลิ่นหอมดอกกุหลาบของเธอก็ยังคงล่องลอยอยู่ไปทั่วบริเวณ
และจากนั้น ก็ตามมาด้วยหน้าต่างแจ้งเตือน
[ค่าความชอบของลาพิส ลาซูรี่ได้ลดลงมา 1]
“……”
ผมปิดหน้าด้วยมือของผมอย่างเงียบๆ
เท่าที่ผมได้ดำรงชีวิตมา ผมได้อยู่ในกลุ่มคนที่ถูกผู้อื่นทำให้ผิดหวังเสมอ ผมไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่สร้างความผิดหวังให้ผู้อื่นเลย
แต่ไม่ใช่วันนี้
ผมได้มอบความผิดหวังแก่ลาพิส ลาซูรี่
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 20
นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง
“เธอรู้มั้ยว่าส่วนไหนที่แย่ที่สุด?”
“……”
“คือความจริงที่ข้าไม่รู้ว่าข้าได้ทำอะไรผิดไปนะสิ”
ยามพลบค่ำ
ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ทิวทัศน์นอกหน้าต่างก็ได้มืดซะแล้ว
บาร์บาทอสกำลังมองยังที่ผมภายใต้แสงเทียนอันสั่นไหวอย่างเงียบเชียบ
เมื่อด้านนอกได้เริ่มมืดลง เงาที่ปกคลุมผิวพรรณขาวๆของบาร์บาทอสก็ได้กระจายไปทั่วเรือนหน้าของเธอ ขณะที่กำลังเท้าคางด้วยมือของเธอ เธอก็จ้องมองที่ผมอย่างเงียบๆ
“อย่างน้อยข้าก็คงสามารถทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ถ้าข้าไม่รู้สึกว่าข้าได้ทำอะไรผิดไป ข้าไม่สามารถแม้แต่จะถามอีกฝ่ายว่าปัญหาคืออะไรกันแน่ ไม่เลยแม้แต่นิด ข้าเข้าใจว่าข้าได้ทำบางอย่างผิดไป ข้าแค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และ……นั่นเป็นความรู้สึกที่น่าสมเพช ชะมัดยาดเลย……”
“……”
“บอกข้าที ลาพิส ลาซูรี่ต้องการอะไรจากข้ากันแน่? ”
ผมจ้องมองเขม็งที่บาร์บาทอสด้วยสายตาที่จริงจัง
บาร์บาทอสได้เปิดปากของเธอ แต่กลับไม่มีคำพูดออกมา
ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผมต้องกล่าวพูดต่อ
“หรือเธอต้องการให้ข้าคุกเข่าและอ้อนวอน? นั่นคือสิ่งที่ลาพิสต้องการจากข้าหรือเปล่า? สำหรับข้าที่ต้องทิ้งศักดิ์ศรีของข้าไปประหนึ่งทาส ทิ้งบางสิ่งเช่นการรักษาหน้าไว้และวิงวอนเพียงอย่างเดียวเหรอ? …… นั่นอาจเป็นไปได้ นั่นมากกว่าเป็นไปได้ซะอีกแฮะ ”
“……”
“ยังไงก็เถอะ ทำไมเธอถึงไม่แม้แต่จะบอกข้าว่าสิ่งที่ข้าทำผิดคืออะไรล่ะ?”
ผมได้กุมหน้าผากของผม
“นี่มันผลักไสให้คนอื่นเป็นบ้าชัดๆ บาร์บาทอส เธอรู้หรือเปล่าว่าทำไมลาพิสถึงไม่บอกอะไรต่อข้าเลยล่ะ? ”
“…… ไม่รู้สิ”
“มีเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือลาพิสต้องการให้ข้าเข้าใจถึงความผิดของข้าด้วยตัวเอง หากว่าเธอทิ้งมันเอาไว้งั้นข้าก็คงจะคิดได้ด้วยตัวข้าเอง ลาพิสคงได้คาดหวังต่อตัวข้าแบบนั้นล่ะมั้ง ห่าเอ้ย! ”
ตึ้ง
ผมได้กระทืบพื้นและกล่าวว่า
“มันคือการดูถูกและสบประมาทมาก ทำไมมันถึงน่า …… หรือเป็นเพราะเธอได้ปฏิบัติต่อข้าราวกับคนโง่ฟะ ประการแรก เธอรู้สึกผิดหวังที่ข้าไม่ได้ตระหนักถึงความผิดของข้า ประการที่สอง เธอหวังว่าข้าจะคิดออกว่าข้าได้ทำผิดอะไร เธอเข้าใจมั้ย? หืม? นี่เธอเข้าใจมั้ยว่าเรื่องนี้มันเหี้ยแค่ไหน? ”
ผมแค่นหัวเราะออกมา
แต่มันไม่ได้ออกมาอย่างชัดเจนหรอกนะ
เสียงแค่นหัวเราะที่ออกมาดูเหมือนเป็นการฝืนแสยะยิ้มซะมากกว่า
“ลาพิสไม่ได้เพียงแค่ตัดสินตัวข้าในปัจจุบันเท่านั้น แต่รวมถึงตัวข้าในอนาคตด้วยเช่นกัน ด้วยตัวเธอเอง ตามความต้องการของเธอเองด้วย! ราวกับว่าเธอเห็นตัวข้าอย่างทะลุปรุโปร่ง! ราวกับว่าเธอกำลังคิดว่าตัวเธอยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าตัวข้าซะอีก…… ! ”
ผมกัดฟันของผม
“มันเป็นการดูถูกถึงขนาดที่ทำให้ข้าแทบอ้วกออกมา มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าที่ข้าได้รับการต่อว่าแบบนี้ ความผิดหวังและความหวังของลาพิสได้กลายมาเป็นกำแพงสองชั้นซึ่งบดขยี้ข้ายิ่งขึ้นไปอีก ในอกของข้าความโกรธแค้นได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ …… ความโกรธแค้นค่อยๆเพิ่มขึ้นต่อตัวลาพิส ”
“ดันทาเลี่ยน”
“ข้าได้ตั้งปณิธานไว้ในใจข้า”
ผมจ้องมองไปที่เทียน
เทียนซึ่งส่องแสงออกมาสองสี
ส่วนบนคือสีเหลือง ส่วนล่างคือสีฟ้า
ระหว่างที่ปลดปล่อยแสงเหล่านี้ออกมา แสงก็ได้แผดเผาและมอดลงอย่างช้าๆ
“เมื่อมีครั้งแรก ข้าก็จะรอจนกระทั่งถึงครั้งต่อไปที่เธอได้แสดงความดูหมิ่นออกมา และถ้าลาพิสเมินข้าอย่างไม่มีเหตุผลอีกครั้งล่ะก็”
ผมคีบไส้เทียนด้วยนิ้วมือของผม
เปลวไฟไม่ช้าไม่นานก็วูบไหวและดับไปในที่สุด
“—หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยอีกแน่ๆคอยดูสิ ”
(คนแปล : ทำเป็นเข้ม เดี๋ยวพอเกิดขึ้นจริงก็โดนตบอีกดอก)