บทที่ 127 ชักภัยใส่บูรพา

บทที่ 127 ชักภัยใส่บูรพา

หนานกงฉีซิวยกมือขึ้นเพื่อหยุดพวกเขาเอาไว้ สายตาจับจ้องอยู่ที่เจี่ยเจิน

คนถูกจ้องส่งเสียงเหอะออกมา ในน้ำเสียงหาได้มีความร้อนใจ ซ้ำยังแฝงด้วยความหยิ่งผยองมั่นใจ

“ครั้งหนึ่งข้าเคยผ่าท้องสตรีตั้งครรภ์ ทั้งมารดาและบุตรต่างรอดชีวีต และข้ายังเคยต่อกระดูกให้ชายที่แขกหัก แม้แขนของเขาจะเทียบไม่ได้กับแขนของคนทั่วไป แต่ก็ยังใช้การได้ ถึงในกรณีของเจ้าจะซับซ้อนกว่าพวกเขาอยู่บ้าง ทว่าความมั่นใจก็มีแปดถึงเก้าส่วน”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น หนานกงฉีซิวก็ตัดสินใจเลือกด้วยสายตาแน่วแน่

“ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว”

แม้จะมีฐานะเป็นองค์ชาย แต่หนานกงฉีซิวก็เป็นคนเรียบง่ายและมีมารยาท อุปนิสัยดังกล่าวสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อื่นได้เสมอ

คนหนุ่มสาวมักอารมณ์ไม่มั่นคง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่จิตใจเข้มแข็งน้อยลงกว่านี้เพียงนิด ก็อาจถูกโจมตีด้วยความผิดหวังจนสภาพจิตใจจมดิ่ง ทว่าเขากลับไม่เห็นท่าทางนั้นจากองค์ชายใหญ่แม้แต่น้อย

เจี่ยเจินลูบเคราตนเอง เขาไม่ได้ฝืนใจกับการรักษาองค์ชายใหญ่แม้แต่นิด ยิ่งกว่านั้นเขายังได้รับลูกศิษย์ตัวน้อยแสนยอดเยี่ยมมาด้วย

ขาของหนานกงฉีซิวนั้นไม่สามารถรักษาหายได้ในระยะเวลาอันสั้น มีสมุนไพรบางตัวที่ต้องใช้เวลาในการตระเตรียม

เจี่ยเจินนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลใจอันใดกับสมุนไพรเหล่านั้น เขาเพียงแค่เขียนชื่อสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการ หลังจากนั้นก็มอบหมายให้หนานกงฉีซิวส่งคนออกไปตามหา

หลังจากเสี่ยวเป่ากลับวังหลวงไปแล้ว นางก็ยังรู้สึกทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวล เด็กน้อยนั่งอยู่บนตั่งตัวเล็กโดยใช้มือเล็กป้อมประคองใบหน้าบอบบางละเอียดอ่อนเอาไว้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาหลากหลายภายใต้แสงเทียน

แม้หนานกงสือเยวียนจะมีสมาธิกับงานราชการ แต่ก็แบ่งความสนใจส่วนหนึ่งมาไว้ที่ร่างของเสี่ยวเป่าตลอด เมื่อเห็นมุมปากของนางยกยิ้มก็ไม่คิดจะรบกวน

ยามได้เห็นใบหน้าน้อยแสดงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก็เพลินตาดี

“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าพี่ใหญ่จะกลับมายืนได้อีกหรือไม่ ท่านอาจารย์บอกว่ามันจะต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มียาอันใดทำให้พี่ใหญ่ไม่เจ็บหรือไม่”

ในที่สุด เด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่อาจเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเองได้ ก้นน้อย ๆ ของนางขยับส่ายไปมา ในที่สุดก็กระเถิบเข้ามาประชิดท่านพ่อพร้อมเปิดปากบ่นพึมพำออกมาด้วยความพะวักพะวน

ตัวคนก็เล็กเพียงแค่นี้ แต่ความพะวักพะวนนั้นมีมากมาย

หนานกงสือเยวียนเองก็รู้เกี่ยวกับเรื่องของเจี่ยเจิน ทั้งยังล่วงรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว

หมอปีศาจ

เขาเคยลอบส่งคนออกไปตามหาตัวผู้นี้ แต่ก็หาไม่พบ ทว่าคนกลับมาถึงหน้าประตูบ้านด้วยตัวเอง

เรื่องความสัมพันธ์ของเสี่ยวเป่ากับหมอปีศาจเขาเองก็รับรู้แล้ว

การที่หมอปีศาจสอนเสี่ยวเป่าเช่นนี้ คนนอกอาจมองว่าบุ่มบ่ามเกินไป แต่หนานกงสือเยวียนรู้สึกว่าไม่ได้มีอันใดไม่ดี

ธิดาของเขาอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนี้หากนางถูกรังแกและวางยาพิษจะทำเช่นไรกัน?

ดังนั้น เมื่อเสี่ยวเป่ายกอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ย่อมทำให้นางไม่ต้องเผชิญอันตราย เขาจึงไม่คิดจะห้ามปราม

“เหตุใดจึงเรียกอาจารย์เร็วเช่นนี้?”

หนานกงสือเยวียนนั่งหลังตรง มือหยาบกร้านเห็นข้อชัดเจนจับพู่กันเขียนลงไปอย่างหนักแน่น ตัวอักษรแต่ละตัวที่เขียนในฎีกาเฉียบคมราวกับดาบ

เสี่ยวเป่าเกาใบหน้าของตนเอง ดวงตาประเดี๋ยวดำมืดประเดี๋ยวสว่างไสว

“อืม…รอจนพี่ใหญ่หายดีค่อยเรียก”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและนิ่งสงบ “ในเมื่อเขามีความมั่นใจ พี่ใหญ่ของเจ้าก็จะต้องสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง ความเจ็บปวดบนกายเนื้อเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย เคยยืดหยัดผ่านมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว เผชิญอีกครั้งยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก”

เมื่อฟังจากคำพูดของเขาแล้ว ราวกับว่าความเจ็บปวดบนร่างกายทั้งหมดล้วนไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด!

นี่นับว่าเป็นเรื่องจริง สำหรับหนานกงสือเยวียนแล้ว ตั้งแต่ออกรบร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ บางครั้งก็อันตรายถึงชีวิต ทว่าเขาล้วนรอดผ่านพ้นมาได้ทั้งหมด ขอเพียงแค่ไม่ตายก็นับว่าไม่เป็นอันใดแล้ว

บุตรชายของเขาเองก็สมควรเป็นเช่นนั้น

นอกจากนี้ ความเจ็บปวดที่นำพาความหวังมา ก็ยังดีเสียกว่าความเงียบงันและการยอมแพ้

ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่ามุ่ยลง “เสี่ยวเป่าโดนเข็มทิ่มก็เจ็บมากแล้ว!”

เสี่ยวเป่าไม่พูดอันใดกับท่านพ่ออีก ตัดสินใจว่าหลังจากพี่ชายเริ่มรักษาขาแล้ว จะออกไปหาพี่ใหญ่ที่ด้านนอกพระราชวังทุกวัน เพื่อถ่ายทอดพลังวิญญาณให้กับขาทั้งสองข้างของพี่ใหญ่ พยายามทำให้พี่ใหญ่หายดีโดยเจ็บปวดน้อยที่สุด

เด็กเล็กที่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาวิ่งเตาะแตะไปบ้วนปากล้างหน้า เตรียมตัวเข้านอน

“ท่านพ่ออย่านอนดึกนะ อีกสักพักก็เข้านอนได้แล้ว”

หนานกงสือเยวียนส่งเสียงอืมตอบรับนิ่ง ๆ

เขามองกองฎีกาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ขณะนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่า ในวันหน้าตนอาจไม่สามารถส่งฎีกาแบ่งให้แก่บุตรชายคนโตได้ระหว่างการรักษา

แต่เขาก็ไม่ได้ไร้หัวจิตหัวใจขนาดให้ลูกชายที่กำลังรักษาตัวมาช่วยเหลืองานฎีกาของเขา

หนานกงสือเยวียนซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีนึกถึงเซียวเหยาอ๋องขึ้นมา… อืม ตัดสินใจได้แล้ว ให้เซียวเหยาอ๋องมาช่วยเขาดูฎีกาทุกวันแล้วกัน

จะดูเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ ตนเพียงแค่ต้องการทำให้ใครสักคนเจ็บปวด จะได้บรรเทาความหงุดหงิดในใจลง

ภายในจวนเซียวเหยาอ๋อง จู่ ๆ หนานกงหลีก็หนาวสะท้านขึ้นมา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? หรือว่าอากาศจะเริ่มเย็นลงแล้ว?”

ขณะที่หนานกงฉีซิวกำลังพักเตรียมรักษาขาทั้งสองข้าง เขากลับต้องยุ่งวุ่นวาย

เพราะว่าเรื่องในงานวัดครั้งล่าสุด หนานกงหลีจึงตกเป็นที่ระบายโทสะของผู้เป็นบิดาเด็กน้อยอย่างหนานกงสือเยวียน หลังจากนั้น ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้หนานกงหลีจึงยุ่งไม่มีเว้นว่าง

ยุ่งก็แล้วไปเถิด แต่ที่สำคัญสุดคือเสด็จพี่ทรมานจิตใจเขาเป็นอย่างยิ่ง!

ทุกครั้งที่ไปประชุมขุนนางก็ห้ามไปสาย แต่เรื่องนั้นยังช่างมันได้ เพราะเขาสามารถหาวิธีแอบอู้ระหว่างประชุมขุนนางได้แล้ว

อย่างไรเสีย ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนเช่นไร ดังนั้นขอเพียงแค่เขาหลบมุมในท้องพระโรง ลดตัวตนการคงอยู่ของตนเองลง ทุกคนก็พากันไม่สนใจเขายามโต้เถียงกัน

บางครั้งก็ได้ยืนหลบมุมคอยเฝ้าชมการแสดงละครที่ไม่เลวเลย

แต่หลังจากตามตัวเสี่ยวเป่ากลับมาได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับเสด็จพี่ของเขา หลังจากประชุมขุนนางเสร็จแล้วจึงเรียกเขาไปยังตำหนักฉินเจิ้งเพื่อให้อ่านฎีกา ที่เพียงแค่มองก็ทำให้ปวดหัวและอยากนอนเป็นพิเศษ

หนานกงหลีถึงกับกลิ้งไปมาบนพื้น ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ได้ เขาจึงทำได้เพียงไปช่วยเสด็จพี่อ่านฎกา ใบหน้ากึ่งหล่อเหลากึ่งงดงามถูกทำให้กลายเป็นใบหน้าอมทุกข์

ด้านในเต็มไปด้วยตัวอักษรที่ไม่รู้จักมากมาย!

ด้วยเหตุนี้ การทำตัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดงานเลี้ยงกุ้งก้ามแดง จึงเป็นหนทางเดียวในการบรรเทาทุกข์ของเขา

ยุ่งอย่างถึงที่สุดก็ดีเสียกว่าต้องไปเผชิญกับใบหน้าอันเย็นชาไร้อารมณ์ของเสด็จพี่ และกองฎีกาอันชวนง่วงงุนในตำหนักฉินเจิ้ง!

ดีที่ความยุ่งทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาให้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจ ในที่สุดกุ้งก้ามแดงก็ตระเตรียมพร้อมหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ล้วนได้รับเชิญให้พาครอบครัวเข้าร่วมงานเลี้ยงกุ้งก้ามแดงของพระราชวังต่างพากันตกตะลึง

พวกเขาเดินมารวมกันเองเป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถามข่าวสาร

“กุ้งก้ามแดง? นั่นเป็นสิ่งที่มีเอาไว้เพื่อใช้สำหรับปศุสัตว์ไม่ใช่หรือ?”

“ฝ่าบาททรงคิดอันใดอยู่กันแน่? หรือว่าพวกเราไปทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจ จึงได้คิดวิธีลงโทษพวกเราเช่นนี้ออกมา?”

“ไม่ใช่หรอก? ผู้ใดจะคิดวิธีลงโทษเช่นนี้กัน แต่เป็นใต้เท้าหลิวมิใช่หรือที่ครั้งก่อนเกือบทำหมวกขุนนางกระเด็นใส่ฝ่าบาทจนทำให้กริ้ว?”

“ไร้สาระ! เรื่องนั้นฝ่าบาทตรัสเองว่าไม่ถือสา กษัตริย์ตรัสคำไหนย่อมคำนั้น ฝ่าบาทไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่างแน่นอน ว่าแต่ท่านเถิดใต้เท้าเหวิน ธรรมดาเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่คาดว่าจะไปก่อเรื่องวิวาทใหญ่โต ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าเสียจริง ในความเห็นข้าแล้วฝ่าบาทมีโทสะเพราะท่านต่างหาก!”

พูดไปพูดมา ขุนนางกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเปิดโปงเรื่องราวเก่า ๆ ออกมา ประชดประชันแดกดันเอ่ยอ้างตำรับตำรา สมกับเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น

“ใต้เท้าทุกท่านหยุดโต้เถียงกันเถิด ตามความเห็นของข้าแล้ว ฝ่าบาทจะต้องถูกความหยาบคายโง่เขลาของขุนนางฝ่ายบู๊ที่เอ่ยวาจาไม่ยั้งคิดในท้องพระโรงทำให้กริ้วเป็นแน่ คนเหล่านั้นทำได้แต่เพียงใช้กำปั้นยกขึ้นข่มขู่ผู้คน!”

เป็นการดีที่จะชักภัยใส่บูรพา*[1] นี่ทำให้ขุนนางเหล่านั้นชะงักไปหนึ่งถึงสองลมหายใจ จากนั้นก็หันไปมีศัตรูร่วมกัน

[1] ชักภัยใส่บูรพา (祸水东引) หมายถึง การใช้วิธีปกป้องตัวเองจากการสูญเสียโดยโยนให้ผู้อื่นแบกรับเคราะห์แทน