บทที่ 128 ความขัดแย้งระหว่างขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 128 ความขัดแย้งระหว่างขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊

บทที่ 128 ความขัดแย้งระหว่างขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊

“จริงด้วย ๆ คนพวกนั้นยิ่งไม่ชอบอาบน้ำเสียด้วย ระหว่างที่กำลังเถียงกันอยู่นั้น ไม่รู้ผู้ใดขว้างรองเท้ามาทางข้า เหม็นจนแทบเป็นลม! ยามนั้นฝ่าบาทถึงกับพระพักตร์เขียวคล้ำ”

“คนพวกนั้นตัวกำยำล่ำสันยังจะมาคุกคามเรา คงคิดว่าปัญญาชนอย่างพวกเราอ่อนแอไม่แคล้วต้องหวาดกลัวเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาคิดผิด!”

หลังจากนั้นไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด บทสนทนาของขุนนางบุ๋นกลุ่มนี้ถึงได้ลอยไปเข้าหูเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ และด้วยความที่ขุนนางบู๊ส่วนใหญ่มีนิสัยตรงไปตรงมาและอารมณ์ร้อน จึงเกือบจะชักดาบยาวสิบสองจั้งออกมาสังหารอีกฝ่ายในทันที

แม้จะไม่เกิดการฆ่าฟันกันจริง ๆ ทว่าความขัดแย้งระหว่างขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊นั้นย่อมบานปลายอย่างไม่ต้องสงสัย

วันต่อมา หนานกงสือเยวียนได้รับฎีการ้องเรียนมากมายกองใหญ่ราวกับกองหิมะ

หนึ่งในนั้นมีอยู่ว่า รถม้าของขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊พบกันบนถนน ทว่าไม่มีผู้ใดยอมหลบให้อีกฝ่ายไปก่อน จากการโต้เถียงก็กลายเป็นสงครามน้ำลายสุดดุเดือด จนเกิดเหตุขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊วิวาทกันบนถนน

ฎีกาฉบับต่อมาเขียนว่า ขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊ที่จวนอยู่ตรงข้ามกัน พอจะออกไปข้างนอกก็บังเอิญพบหน้ากันที่ประตูจวนพอดี จึงเกิดความไม่ชอบหน้า ตามมาด้วยสงครามน้ำลายจนบานปลายไปสู่การวิวาท

เมื่อเห็นว่าในฎีกาเขียนร้องเรียนเรื่องประเภทนี้ อาการง่วงเหงาหาวนอนของหนานกงหลีพลันหายเป็นปลิดทิ้ง จากที่เคยมีท่าทีหมดอาลัยตายอยากเปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าทันใด ทั้งยังคว้าตัวขันทีที่รู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดีมาไถ่ถามให้ถี่ถ้วน

“เจ้ารีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า พวกเขาด่ากันว่าอย่างไรบ้าง แล้วหลังจากนั้นพวกเขาเริ่มต่อสู้กันได้อย่างไร? ผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ?”

เรื่องพวกนี้น่าขันจะตาย เปลวเพลิงแห่งการนินทาในดวงตาคู่หนึ่งลุกโชนจนไม่สามารถซ่อนไว้ได้ เขาเกลียดโชคชะตาที่ไม่ชักพาให้เขาไปเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง

ขันทีน้อยลอบมองฝ่าบาทอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก แต่พอเห็นว่าทรงไม่ห้ามถึงได้เริ่มเล่าสถานการณ์ในยามนั้นอย่างระมัดระวัง

“ตอนแรกอู่อันโหว*[1] กล่าวหาว่าบุตรชายของหนิงหยวนโหว*[2] อ้อนแอ้นมากจนดูเหมือน… เหมือนหญิงสาว ยัง… ยังจะเลียนแบบบุรุษทั่วไปโดยการไปเที่ยวหอคณิกา เพื่อแย่งชิงหญิงคณิกากับคนอื่น

หนิงหยวนโหวจึงตอบโต้ว่า บุตรชายของอู่อันโหวซนเหมือนลิง ไร้อารยธรรมสิ้นดี แขนขายาวใหญ่ทว่าความคิดช่างตื้นเขิน ซ้ำยังอ้วนฉุเป็นหมู อู่อันโหวและหนิงหยวนโหวตอบโต้กันเช่นนี้ขอรับ

ในขณะที่พวกเขากำลังปะทะฝีปากกันนั้น… จู่ ๆ อู่อันโหวก็ถอดรองเท้าขว้างใส่หนิงหยวนโหว หนิงหยวนโหวทนไม่ไหวจึงขว้างแท่นฝนหมึกในมือตอบโต้ จากนั้นท่านโหวทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกัน”

หนานกงหลีตั้งใจฟังอย่างออกรสออกชาติ แทบจะนั่งไขว่ห้างฟังอยู่รอมร่อ แล้วสั่งให้คนเอาเมล็ดแตงโมมาให้แทะ ทั้งยังถามต่ออย่างไม่ลดละ

“แล้วหลังจากนั้นเล่า? ผู้ใดชนะ?”

ขันทีน้อย “ย่อมต้องเป็นอู่อันโหวขอรับ แต่อู่อันโหวก็ถูกหนิงหยวนโหวข่วนหน้าได้แผลไปไม่น้อยเลยขอรับ”

หนานกงหลี “…”

หนานกงสือเยวียน “…”

ต่อสู้กันไยถึงใช้เล็บเป็นอาวุธเล่า?

หนานกงหลีรู้สึกว่านี่ไม่สาแก่ใจเอาเสียเลย ถึงกระนั้นเขาก็ยังสั่งให้ขันทีเล่าเรื่องของคู่วิวาทอื่นให้ตนฟังต่อ

ระหว่างนั้นเขาสนุกสนานจนลืมไปว่ายามนี้ตนไม่ได้อยู่ที่จวนเซียวเหยาอ๋อง ถึงกับตบเข่าฉาดพร้อมหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น

“ไยข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยนะ! เป็นเพราะเสด็จ…”

เขาพูดยังไม่จบประโยค ก็พลันรู้สึกถึงสายตาอันแหลมคมดุจคมมีดทิ่มแทงมาที่ตน จึงค่อย ๆ หันไปมองคนเบื้องบนด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ เพิ่งจะฉุกคิดได้ว่ายามนี้ตนไม่ได้อยู่ที่จวนเซียวเหยาอ๋อง…

หนานกงหลีรีบเปลี่ยนน้ำเสียงและเริ่มประจบประแจงอีกฝ่ายด้วยความช่ำชอง “เป็นเพราะเสด็จพี่ทรงพระปรีชาสามารถ หากข้าอยู่ในเหตุการณ์นั้น เกรงว่าร่างกายอันบอบบางของข้าอาจจะโดนลูกหลงก็เป็นได้!”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ “แล้วอย่างไร ไม่โทษที่ข้าทำให้เจ้าพลาดการแสดงหรือ?”

หนานกงหลียิ้มเจื่อนพร้อมเอ่ยเลียแข้งเลียขาอีกฝ่าย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เสด็จพี่ทรงทำเพื่อความปลอดภัยของข้า!”

เพียงแต่…หนานกงหลีหรี่ตามองเสด็จพี่ของตน เสด็จพี่ทำเป็นไม่ชอบเรื่องซุบซิบนินทา!

เหอะ ๆ ที่จริงแล้วเสด็จพี่เองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรเรื่องประเภทนี้ก็ย่อมน่าสนใจกว่าเรื่องกิจการบ้านเมืองที่แสนน่าเบื่อพวกนั้นอยู่แล้ว

“ท่านพ่อ~ ท่านอาเจ็ด~ เสี่ยวเป่ากลับมาแล้ว!”

ตัวคนยังมาไม่ถึง แต่เสียงสดใสของเจ้าก้อนแป้งก็ดังแว่วมาจากข้างนอกแล้ว ท่าทางเบิกบานน่าดู

กระพรวนเล็ก ๆ ประดับอยู่บนมวยผมทั้งสองข้างส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ๆ เมื่อเสี่ยวเป่าวิ่งเข้ามา

ใบหน้าเล็กแสนบอบบางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน นัยน์ตาสีนิลพร่างพราวราวกับดวงดารายามค่ำคืน

หนานกงหลีรีบก้าวไปสกัดหน้าเสี่ยวเป่าที่กำลังจะวิ่งไปหาหนานกงสือเยวียน แล้วคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมกอดของตน

แต่พอสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีนิลที่แฝงไว้ด้วยแววอาฆาตของเสด็จพี่ หนานกงหลีที่กำลังฟัดแก้มป่อง ๆ ของหลานสาวตัวน้อยพลันรีบก้มหน้างุด และปล่อยเจ้าก้อนแป้งกลับสู่อ้อมอกบิดาผู้ให้กำเนิดนาง

ทว่าเสี่ยวเป่าไม่มีท่าทีว่าจะกลัว ปีนขึ้นไปนั่งบนตักท่านพ่อ พร้อมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเล็กขาวสะอาด ตากลมโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว

“ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่าไปชมการวิวาทกับท่านอาจารย์มาด้วยแหละ”

หนานกงหลีที่เพิ่งฟังเรื่องชาวบ้านมาเมื่อครู่ พอได้ยินคำว่าเหตุวิวาทก็หูผึ่งตาโตขึ้นมาทันที รีบหันไปถามเสี่ยวเป่า

“ผู้ใด ๆ เจ้าไปดูผู้ใดวิวาทกัน?”

เสี่ยวเป่าเกาหัวแกรก ๆ “คุ้น ๆ ว่าเคยเห็นพวกเขามาหาท่านพ่อที่นี่”

ดีจริง เป็นถึงขุนนางของราชวงศ์ต้าเซี่ย เป็นขุนนางของเสด็จพี่นี่เอง

ด้านหนานกงหลี นัยน์ตาของเขาขยายกว้างขึ้น แต่หนานกงสือเยวียนยังคงนิ่งเงียบ

“เล่าให้อาเจ็ดฟังเร็วเข้า”

หนานกงหลีผู้เป็นอารีบนั่งลง ดวงตาสีดอกท้อคู่หนึ่งจ้องมองหลานสาวตัวน้อยของตนเองอย่างคาดหวัง

แต่ด้วยความที่นางยังเป็นเพียงเด็กสามขวบ แม้เสี่ยวเป่าจะฉลาดหลักแหลมเพียงใด มันก็เป็นเรื่องยากที่นางจะเล่ารายละเอียดของเรื่องทั้งหมดให้น่าสนใจและเข้าใจง่าย

ยิ่งนางเล่าหนานกงหลีก็ยิ่งสับสน เขารีบร้อนจนทนไม่ไหว กวักมือเรียกองครักษ์ข้างกายเสี่ยวเป่าให้มาเล่าแทน

“เจ้ารีบเล่ามาเลย!”

เสี่ยวเป่าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ นั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ และตั้งใจฟังเรื่องที่องครักษ์เล่า

โชคดีที่องครักษ์ผู้นี้เป็นคนพูดเก่งและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากอยู่ในช่วงรักษาขาของหนานกงฉีซิว ช่วงนี้เสี่ยวเป่าจึงต้องออกนอกวังบ่อย ๆ

วันนี้ก็เช่นกัน นางไปหาพี่ใหญ่ก่อนจะไปหาเจี่ยเจิน

เจี่ยเจินได้พานางและโจวเหยียนออกไปเดินเล่นนอกจวนตระกูลโจว

พวกเขาถูกใจภัตตาคารแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปจับจ้องที่นั่งพร้อมสั่งอาหารเรียบร้อย ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนเถียงกันดังอยู่ไม่ไกล

เจี่ยเจินเป็นคนช่างสังเกต พอจะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าไปมุงดู ก็คงเพราะได้ยินว่าคนที่ทะเลาะกันล้วนแต่เป็นขุนนาง จึงกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ตนเองในภายหลังได้

ทว่าไม่ใช่กับเจี่ยเจินผู้นี้ เขาคว้าไก่ย่างหนึ่งตัวมาไว้ในมือ แล้วหอบหิ้วเด็กทั้งสองพร้อมตั่งตัวเล็กไปนั่งตรงหน้าประตูทางเข้า เพื่อชมการวิวาทอย่างโจ่งแจ้ง

ไม่เพียงนั่งดูเฉย ๆ เท่านั้น เขายังส่งเสียงยุยงเติมเชื้อเพลิงใส่กองไฟ ทำให้การถกเถียงธรรมดาบานปลายไปสู่การต่อสู้สุดดุเดือดอย่างรวดเร็ว

เดิมที การวิวาทนี้อย่างมากก็แค่เป็นการทะเลาะที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายอับอายขายขี้หน้า แต่เจี่ยเจินไม่ยอมให้มันหยุดอยู่แค่นั้น เขาหวังดีด้วยการตะโกนบอกฝ่ายหนึ่งว่า มีถ้วยชาอยู่ในมือไยไม่ขว้างใส่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังเตือนให้ฝ่ายตรงข้ามตบหน้าเพื่อเอาคืน

ขณะที่เด็กทั้งสองนั่งดูนิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จา หากองครักษ์ข้างกายเสี่ยวเป่าไม่ไปแยกพวกเขาออกจากกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันไปถึงเมื่อใด

แม้นี่จะเป็นการวิวาทระหว่างขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊ ซึ่งดูเหมือนขุนนางบุ๋นจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าการวิวาทครั้งนี้ฝ่ายขุนนางบู๊มีเพียงคนเดียว ขุนนางบุ๋นมีตั้งห้าคน ฉะนั้น ขุนนางบู๊จึงบาดเจ็บไม่น้อยไปกว่ากันเลย

ยิ่งฟังหนานกงหลีก็ยิ่งนึกเกลียดโชคชะตาอีกครั้งที่ทำให้ตนเองไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นด้วย!

อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดมนขึ้นทันตาเห็น ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ขุนนางในราชสำนักของตนก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเองหลายครั้งหลายคราขนาดนี้เลยหรือ?

[1] อู่อันโหว หมายถึง ผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจ นามนี้เป็นบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ขุนนางบู๊

[2] หนิงหยวนโหว หมายถึง ผู้สงบเสงี่ยมและมองการณ์ไกล นามนี้เป็นบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ขุนนางบุ๋น