บทที่ 128 แผนพิชิตใจไท่ซ่างหวงเริ่มจากของเสียบไม้ย่าง
สุดท้ายจี้จือฮวนก็พาอาฉือไปแค่คนเดียว สาเหตุก็เพราะเหตุผลของเขาฟังขึ้นที่สุด
อย่างไรเสียจ้านอิ่งก็มีฝีเท้าที่เร็วอยู่แล้ว จึงสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวและไม่นับว่าไกลมากนัก เผยยวนเอ่ยปากขอตามไปด้วยหลายครั้ง สุดท้ายก็ทำได้เพียงต้องอยู่บ้าน ตามที่จี้จือฮวนส่งสายตามา
ภูเขาชิงหลิงสมกับเป็นสถานที่ที่ไท่ซ่างหวงตัดสินใจมาอยู่ยามชราในนิยายจริง ๆ สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก เมื่ออยู่ท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ก็จะรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการพักฟื้นจริง ๆ
ตรงเชิงเขาสามารถได้ยินเสียงสวดมนต์ได้อย่างชัดเจน หากต้องการขึ้นเขา มีวิธีเดียวนั่นก็คือต้องปีนขึ้นไป จี้จือฮวนหาโรงน้ำชาแห่งหนึ่งและให้เงินแก่เสี่ยวเอ้อเล็กน้อย เพื่อให้จ้านอิ่งพักที่นั่นชั่วคราว
แล้วจึงได้ขึ้นเขาไปกับเผยจี้ฉือ
มีผู้ศรัทธามากราบพระไม่น้อย บางคนถึงกับเดินสามก้าวและคารวะหนึ่งครั้ง ซึ่งเคร่งครัดเป็นอย่างมาก
จี้จือฮวนไม่ได้เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า แต่ในเมื่อมาแล้วไปกราบสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร
นางตั้งใจชื่นชมทิวทัศน์สองข้างทางอย่างจริงจัง เพราะยุคปัจจุบันไม่มีระบบนิเวศน์ดั้งเดิมเช่นในสมัยโบราณแบบนี้อีกแล้ว
กังหันน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขา มีเอาไว้เพื่อผันน้ำลงสู่ไร่นาด้านล่าง ชาวนาที่อยู่ไกล ๆ กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น นกกระเรียนสีขาวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ทั้งหมดนี้ล้วนบอกจี้จือฮวนว่า นางกำลังอยู่ในโลกของนิยายเรื่องหนึ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ล้วนถูกคนควบคุมเอาไว้ และนางก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น
“ท่านแม่ เป็นอะไรหรือขอรับ?”
จี้จือฮวนถอนสายตากลับมา “ไม่มีอะไร ไปต่อเถอะ”
ในหัวของจี้จือฮวนกำลังนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายอยู่ ขณะที่เผยจี้ฉือฟังไต้ซืออธิบายเรื่องพระไตรปิฎกอยู่ในห้องโถงใหญ่ นางก็ออกมาจากห้องโถงเพียงลำพัง และมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้านหลัง
หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งเค่อก็เจอกับทางเดินในป่า และเมื่อขึ้นบันไดไปนางก็ได้พบกับโลกใบใหม่
ทว่าจี้จือฮวนไม่ได้เข้าไปในนั้น แต่เลือกที่จะหมุนตัวกลับ
ยอดฝีมือของราชวงศ์ที่เฝ้าอยู่ใกล้ ๆ ในกระท่อมหลังเล็กเห็นดังนั้น ก็จับกระบี่ที่เอวทันที
ไม่ใช่ว่าจี้จือฮวนไม่อยากเข้าไป แต่นางได้ยินเสียงคนชักอาวุธออกจากฝัก ขืนนางเข้าไปใกล้คงไม่มีทางได้พบไท่ซ่างหวงเป็นแน่
ครั้งแรกที่จี้หมิงซูได้พบกับไท่ซ่างหวง คือตอนที่เขากำลังย่างไก่อยู่ข้างทาง เพราะเขาต้องการกินเนื้อในวัดแห่งนี้ จี้หมิงซูอาศัยความทรงจำในชาติก่อนจึงจำเขาได้ และอาศัยเรื่องนี้เอาใจเขา
จี้จือฮวนไม่ได้รังเกียจเรื่องการประจบเอาใจคนอื่น ในทางกลับกันในฐานะสายลับ การสวมบทบาทต่าง ๆ เพื่อให้ภารกิจบรรลุผลคือความสามารถพิเศษของนาง
หากใครมองว่าสายลับเป็นแค่นักฆ่าทั่วไป เช่นนั้นก็คงจะประเมินอาชีพนี้ต่ำเกินไปแล้ว
จี้จือฮวนหาที่นั่งเงียบ ๆ ใกล้กับกระท่อม จากนั้นก็ก่อไฟและหยิบไก่ที่หมักแล้วออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กที่ถือมาด้วย เสียบไก่กับกิ่งไม้เสร็จแล้วก็เริ่มย่าง
นางไม่รีบร้อน ระหว่างที่ย่างไก่ไปนั้นก็หยิบไม้เสียบอย่างอื่นออกมาด้วย
มีกุยช่าย ปีกไก่ น่องไก่ กึ๋นไก่ ข้าวโพด และมันเทศวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะโรยด้วยผงยี่หร่า พริกป่น และทาน้ำจิ้มสูตรพิเศษลงไป
กลิ่นหอมนั้นลอยไปไกลนับสิบลี้ทันที
ไม่นาน จี้จือฮวนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน นางไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ และยังคงย่างไก่ต่อ ทั้งยังทาไก่ด้วยน้ำผึ้งอีกชั้นหนึ่ง
คนที่เฝ้ามองจากไกล ๆ กลืนน้ำลายไม่หยุด ก่อนจะเดินเข้าไปหานางอย่างรวดเร็ว
“แม่นางน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด เหตุใดถึงเอาไก่มาย่างที่นี่กัน?”
มีเสียงตะโกนดังขึ้น
จี้จือฮวนทำราวกับเพิ่งรู้ว่าที่นี่มีคนอยู่ ก่อนมองชายชราผมขาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจและพูดขึ้นมา “ที่นี่ย่างไก่ไม่ได้หรือเจ้าคะ แต่ข้าหิวนี่นา และอีกประเดี๋ยวก็กินได้แล้ว ตอนนี้หากข้าหยุดย่าง หนังไก่ที่กำลังกรอบอร่อยนี้ก็คงจะกลับไปนิ่ม หากนิ่มแล้วก็จะไม่อร่อยอีก เวลากัดลงไปต้องกรุบ ๆ กรอบ ๆ ถึงจะอร่อยนะเจ้าคะ”
จี้จือฮวนเอ่ยพลางกลับด้านมะเขือยาวกระเทียมที่ย่างถ่านไปด้วย หลังจากมะเขือยาวถูกความร้อนจนนิ่มและชุ่มฉ่ำ ผสมกับกลิ่นหอมของกระเทียมและพริกไทยเข้าด้วยกัน จึงทำให้คนน้ำลายไหลไม่หยุด
“หรือไม่ข้าขอเชิญท่านมากินด้วยกัน แต่ท่านอย่าไล่ข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ?” จี้จือฮวนกะพริบตาปริบ ๆ อย่างน่ารัก
ชายชราผมขาวหน้าตึงขึ้นมา เขายืดหลังตรงและเอามือไพล่หลัง “ข้าเป็นคนมีหลักการ ข้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่เจ้ากำลังรบกวนการปฏิบัติธรรมของข้าอยู่นะ”
“แต่มะเขือยาวนี่เป็นผักนะเจ้าคะ”
ชายชราสะอึกไปเล็กน้อย และไม่สามารถโต้แย้งได้
เขาปรายตามองจี้จือฮวนเล็กน้อย จากนั้นก็มองพวกของเสียบไม้ย่างตรงหน้านาง
ภายในหัวกำลังต่อสู้กันอยู่
จี้จือฮวนจึงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ในเมื่อท่านปู่ไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่น่าเสียดายไก่ย่างกับของเสียบไม้ย่างของข้ายิ่งนัก อืม หอมจริง ๆ~”
ชายชราหนวดกระตุกขึ้นมาทันที พลางถลึงตาใส่จี้จือฮวน จากนั้นก็นั่งลง “เช่นนั้นเจ้าก็กินให้หมดเถอะ แต่ข้าไม่กิน”
จี้จือฮวนยกยิ้มออกมาทันที “จริงหรือเจ้าคะ ท่านปู่ ท่านใจดีจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ตอนนั้นเองชายชราจึงสังเกตเห็นว่าแม่นางน้อยผู้นี้หน้าตางดงามเป็นอย่างมาก เวลายิ้มขึ้นมาก็ยิ่งดูเป็นมิตรมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหารก็ดูเอร็ดอร่อย จากนั้นนิ้วที่เรียวยาวนั่นก็หักมันเทศที่เพิ่งย่างเสร็จส่งมาให้เขา…
“ท่านปู่ไม่กินหรือเจ้าคะ?” จี้จือฮวนมองไท่ซ่างหวงราวกับเด็กดี
ใครจะปฏิเสธนางได้กัน อีกอย่างแม่นางผู้นี้ก็กินไปแล้ว คงไม่มีพิษอะไรกระมัง
ชายชรายกยิ้มอย่างเก้อเขินออกมา “ในเมื่อเจ้าคะยั้นคะยอจะให้ข้ากินให้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะชิมดูก็แล้วกัน”
ในนิยายกล่าวว่า ไท่ซ่างหวงผู้นี้เป็นสุดยอดนักกิน ดังนั้นนางเอกอย่างจี้หมิงซูเพื่อที่จะประจบเอาใจเขา นางถึงกับไปเรียนทำอาหารมาอีกด้วย
จี้จือฮวนเห็นไท่ซ่างหวงมีท่าทางตกตะลึงมุมปากก็โค้งขึ้น วิธีประจบเอาใจคนง่าย ๆ เช่นนี้ เป็นเพราะจี้หมิงซูนางจึงจับไต๋ได้
ไท่ซ่างหวงถูกอาหารดึงดูดก็จริง แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขายอมปกป้องจี้หมิงซูกลับเป็นเพราะเขาเห็นจี้หมิงซูเป็นเหมือนลูกของตัวเอง
ในราชวงศ์มีสัมพันธ์ที่กตัญญูรู้คุณคนที่ใดกัน มีเพียงความดีจากผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อกันเช่นนี้ จึงทำให้เขาชื่นชอบจี้หมิงซูเป็นอย่างมาก
จี้จือฮวนกินมันเทศอย่างช้า ๆ และไม่ลืมที่จะรินชาเพื่อสุขภาพให้เขาด้วย
แต่ไท่ซ่างหวงเวลานี้กลับไม่สามารถหยุดกินได้ บทสนทนาจึงได้เริ่มขึ้น
“เด็กน้อย เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ เมื่อก่อนข้าอยู่ที่นี่เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเล่า?”
จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้ปิดบังใด ๆ แต่บอกไปแค่ว่าตนเองพาลูกมาขอพรเท่านั้น
“เจ้าอายุน้อยเพียงนี้ แต่ลูกของเจ้าสามารถเข้าสำนักศึกษาได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ไท่ซ่างหวงรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านปู่เล่าเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงมาอยู่บนเขาคนเดียวเช่นนี้กัน?”
ไท่ซ่างหวงได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกว่ามันเทศในมือไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว “ลูกสาวที่ข้ารักที่สุดแต่งงานไปอยู่ที่ไกลแสนไกล ส่วนภรรยาของข้าก็จากไปตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีก่อน พวกลูก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว พวกหลาน ๆ ก็ไม่สนิทกับข้า ข้าจึงไม่ชอบอยู่ที่บ้าน”
จี้จือฮวนไม่ค่อยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของราชวงศ์ในนิยายเท่าใดนัก เพราะท่านอ๋องคนนี้กับพระชายาคนนั้นทำให้นางปวดหัวไปหมด ส่วนใหญ่นางจึงอ่านข้าม ๆ ช่วงนี้ไป
แต่นางจำได้ว่าไท่ซ่างหวงคนนี้อายุยืนอย่างมาก และตอนเขาอายุสิบหกก็มีลูกสาวคนแรก โดยตั้งชื่อว่าองค์หญิงใหญ่อู๋ซวง แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นใดสักแคว้น ต่อมาองค์หญิงใหญ่ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย แต่ลูกชายของพระนางกลับได้เป็นอ๋องของชาวถู่เจีย
“ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาหรือไม่เจ้าคะ?”
ประกายความเหงาพาดผ่านดวงตาของไท่ซ่างหวง แต่น้ำเสียงของเขากลับแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก “ข้ามีอะไรให้เหงากัน ข้ารำคาญเจ้าพวกนั้นจะตายไป ทะเลาะกันจนข้าปวดหัว”
จี้จือฮวนจึงยื่นมือออกไป ตรวจชีพจรให้กับไท่ซ่างหวง
ไท่ซ่างหวงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความตกใจ “เจ้ารู้เรื่องการแพทย์ด้วยอย่างนั้นหรือ?”