บทที่ 129 วิธีการเปิดกล่องยาน้อยไม่ถูกต้อง
“พอรู้บ้างนิดหน่อยเจ้าค่ะ” จี้จือฮวนตรวจดูสภาพร่างกายของไท่ซ่างหวงเป็นหลัก
นางอายุก็ยังไม่มาก แต่รู้วิชาแพทย์ด้วยอย่างนั้นหรือ? ไท่ซ่างหวงไม่เชื่อเด็ดขาด อีกอย่างที่เขาปวดหัวนั้นก็เป็นโรคเรื้อรัง ไม่ใช่ว่านางตรวจชีพจรแล้วก็จะหายได้ ไม่อย่างนั้นพวกหมอหลวงในสำนักหมอหลวงเหล่านั้น สมควรถูกแขวนคอรับโทษกันเสียให้หมด
ไท่ซ่างหวงแทะมันเทศไปพลางมองเด็กสาวตรงหน้าไป เขาไม่ได้คาดหวังว่าโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่จะมีคนรักษาได้ ดังนั้นจึงมีท่าทางสบาย ๆ
“ในเมื่อเจ้าจะขอพรพระโพธิสัตว์ เช่นนั้นเหตุใดถึงยังเอาเนื้อมากินที่นี่อีก ไม่กลัวพระโพธิสัตว์โกรธหรืออย่างไร?”
จี้จือฮวนชักมือกลับ ในใจก็พอรู้อะไรบ้างแล้ว
“ท่านคิดว่านี่เป็นไก่ย่างจริง ๆ หรือเจ้าคะ อยากจะลองดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ซ่างหวงย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน นี่มันไก่ย่างชัด ๆ ไม่ใช่หรือ เขามองจี้จือฮวนด้วยสีหน้าราวกับจะบอกนางว่า เจ้าอย่ามาโกหก
ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนร่าเริงก็จริง แต่น่าจะชอบพูดจาเหลวไหล
ชายชราเพิ่งจะอ้าปาก จี้จือฮวนก็บิดไก่น่องหนึ่งยัดเข้าไปทันที “ลองดูเจ้าค่ะ”
ไท่ซ่างหวงกำลังคิดจะต่อว่านางว่าบังอาจ แต่กลับถูกรสสัมผัสของไก่ย่างดึงดูดเอาไว้ ก่อนจะกัดไปคำหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีชายชราอีกคนปรากฏตัวขึ้นที่บันไดหิน และกำลังเดินมาตรงหน้าพวกเขา จากนั้นก็กระทืบเท้าแล้วพูดขึ้นมา “เจ้าเป็นเด็กมาจากที่ใด ฝ่าฝืนกฎของนายท่านของเราได้อย่างไรกัน!”
หากพระโพธิสัตว์ทรงทราบเข้า แล้วทำให้อาการปวดหัวของนายท่านรุนแรงขึ้นจะทำเช่นไร?
อีกอย่างหมอหลวงก็กำชับแล้วว่าห้ามกินเนื้อสัตว์!
จี้จือฮวนชำเลืองมองชายชราผู้นั้นเล็กน้อย ดูจากการแต่งตัวและท่าทางการเดินแล้ว น่าจะเป็นขันทีข้างกายของไท่ซ่างหวงที่อยู่ในนิยาย จางตงไหล เขาไม่ใช่คนธรรมดาเลย
ผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่เคียงข้างไท่ซ่างหวงมาหลายปี จากองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานคนหนึ่งปีนขึ้นมาสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ จนตอนนี้ได้ออกมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ และถึงแม้จะดูเหมือนว่าเหลือเพียงพวกเขาสองคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่แท้จริงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงกลับไม่มีเรื่องใดสามารถเล็ดลอดสายตาของจางตงไหลไปได้
รวมถึงคนที่ดูแลข้างกายฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็เป็นลูกบุญธรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากเขาทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จางตงไหลคือผู้ที่รู้เห็นทุกอย่างในวังหลังในตำนาน ดังนั้นจึงไม่สามารถล่วงเกินคนประเภทนี้ได้
ในนิยาย จี้หมิงซูถูกจางตงไหลขัดขวางไม่ให้นางเข้าพบไท่ซ่างหวงครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นหลังจากนางมีอำนาจก็สั่งประหารจางตงไหลทันที คนผู้นี้ต้องดึงมาอยู่ข้างกายให้ได้
“ไม่ใช่เนื้อนะเจ้าคะ มันทำจากถั่วเหลือง แป้ง น้ำมันพืช ถั่วลิสง และเห็ดหอม จึงเป็นมังสวิรัติทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะไม่เลี่ยนเท่านั้น ยังทำให้อายุยืนอีกด้วย”
ไท่ซ่างหวงเองก็เคยกินเนื้อปลอมมาก่อน แต่ไม่ว่าจะดูคล้ายเพียงใด นั่นก็เป็นแค่อาหารที่ปราศจากเนื้อที่กินเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงอะไรทำนองนั้น แม้แต่เกลือก็ยังใส่ได้แค่นิดหน่อย เช่นนั้นแล้วจะต่างอะไรจากการดื่มน้ำเปล่ากัน!
แต่เนื้อปลอมที่นางเรียกว่า ‘มังสวิรัติ’ นี้ รสชาติกลับดีกว่าไก่ย่างจริง ๆ เสียอีก ดังนั้นเขาจึงกินไปเยอะมาก และไม่สนใจว่าจางตงไหลพูดอะไรอยู่ข้าง ๆ บ้าง
“อือ เอามาอีก”
จางตงไหลมองไท่ซ่างหวงที่ช่วงนี้ไม่อยากอาหารด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองจี้จือฮวนที่หักปีกไก่ยื่นให้เขา ก่อนจะกระแอมออกมาเล็กน้อย พยายามใช้สายตาส่งสัญญาณให้ไท่ซ่างหวง
ท่านช่วยสงวนท่าทีสักหน่อยจะได้หรือไม่!
อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงไท่ซ่างหวงนะ ช่วยมีความระแวดระวังตัวสักนิดจะได้หรือไม่!
“ท่านปู่ ท่านไม่กินหรือเจ้าคะ?” จี้จือฮวนเงยหน้ามอง พลางส่งข้าวโพดเสียบไม้ให้กับจางตงไหล
“ข้าไม่กิน เจ้าเป็นชาวบ้านแถวนี้หรือ?” จางตงไหลถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จี้จือฮวนปกปิดความเย็นชาในดวงตา พลางส่ายหน้าอย่างน่าเอ็นดู “ข้ามาจากหมู่บ้านตระกูลเฉินเจ้าค่ะ”
จางตงไหลหรี่ตาลง “หมู่บ้านตระกูลเฉิน? คือที่ใดกัน?”
“เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับตำบลฉาซู่ ท่านไปถามดูก็จะรู้เจ้าค่ะ” จี้จือฮวนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
จางตงไหลมองซ้ายมองขวา แล้วจ้องมองที่มือของนาง เป็นมือของคนทำงานจริง ๆ ไม่เหมือนกับมือของคนที่ฝึกวรยุทธ์ เขาจึงวางใจเล็กน้อย แต่ก็ยังส่งสายตาให้กับยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนั้น ให้คนไปตรวจสอบทุกการกระทำหลังจากที่สตรีผู้นี้ขึ้นเขามา
“เจ้าอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน เหตุใดถึงได้มาที่นี่กัน?” จางตงไหลถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป “ท่านนี่แปลกคนจริง ๆ ข้าเชิญพวกท่านมากินด้วยกัน ยังจะเอาแต่ถามนู่นถามนี่อยู่ได้ ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน”
เอ่ยจบจี้จือฮวนก็แย่งมันเทศจากมือของไท่ซ่างหวงมา
สาวชาวบ้านย่อมไม่เหมือนกุลสตรีตระกูลใหญ่พวกนั้น คิดจะไม่ไว้หน้าก็พูดมาตรง ๆ เรื่องแค่นี้ก็จะเก็บของกลับเสียแล้ว
จางตงไหลเองก็คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้จะไปจริง ๆ
จี้จือฮวนเก็บของไปก็ถลึงตาใส่ทั้งสองคนไปด้วย พลางเอ่ยขึ้นมา “ไม่รู้จักน้ำใจคนจริง ๆ เห็นคนแก่อย่างพวกท่านสองคนอยู่ในป่าในเขา ไม่มีคนในครอบครัวคอยดูแล ข้าเลยคิดจะแบ่งอาหารให้พวกท่านกิน แต่พวกท่านกลับถามนู่นถามนี่ไม่หยุด ทำไม? พวกท่านเป็นคนมีเงินมีอำนาจหรืออย่างไรกัน ข้าอยากได้อะไรจากพวกท่านอย่างนั้นหรือ!”
จี้จือฮวนสะบัดชายกระโปรงกำลังจะจากไปจริง ๆ รสชาติของไก่ย่างกำลังอบอวลอยู่ในปากของไท่ซ่างหวง ทว่าที่เหลือกลับจะลอยจากไปแล้ว ใครจะไปทนได้กัน!
“อย่า ๆ อย่าเพิ่งไป!” ไท่ซ่างหวงรีบลุกขึ้นยืน และดึงแขนเสื้อของจี้จือฮวนเอาไว้ “เจ้าเฒ่านี่ขี้ระแวงไปหน่อยก็เท่านั้น ข้าเชื่อเจ้า ทิ้งของไว้ แล้วเราค่อย ๆ คุยกัน”
จางตงไหลโมโหมากจริง ๆ ดังนั้นจึงแอบหยิบเข็มเงินออกมาเพื่อทดสอบพิษ
ไท่ซ่างหวงขวางเขาเอาไว้ “เจ้ายังจะทดสอบอันใดกันอีก ข้ากินไปตั้งเยอะแล้ว จะเป็นอะไรก็คงเป็นไปนานแล้ว”
จางตงไหลถึงกับพูดไม่ออก ไท่ซ่างหวงดึงจี้จือฮวนให้นั่งลง “เจ้าอย่าเพิ่งโมโห เจ้าเฒ่านี่แค่นิสัยดื้อรั้น บางครั้งข้าเองก็โมโหเพราะเขาเหมือนกัน”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยเพียงเท่านั้น จู่ ๆ ก็หายใจไม่ออกขึ้นมา สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนจะกุมหัวเอาไว้ แขนขาเริ่มกระตุก
จางตงไหลเองก็ตกใจเช่นกัน “แย่แล้ว นายท่านอาการกำเริบแล้ว!”
อาการปวดหัวนี้เมื่อก่อนสองสามเดือนถึงจะกำเริบสักครั้ง แต่ตอนนี้แค่อารมณ์แปรปรวนก็จะกำเริบขึ้นมาทันที ไม่มีใครรู้ว่าอาการของไท่ซ่างหวงจะกำเริบขึ้นเมื่อใด
“เร็วเข้า! เด็ก ๆ ไปเรียกท่านหมอจางมา!” จางตงไหลตะโกนเข้าไปในป่า
ทันใดนั้นยอดฝีมือยี่สิบกว่าคนก็กระโดดออกมา และพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขา
มิน่าเล่านักกินเช่นไท่ซ่างหวงถึงยังไม่ถูกคนฆ่าตาย เกรงว่าภูเขาชิงหลิงแห่งนี้คงมีหูตาอยู่ทั่วไปหมดเป็นแน่
แต่ว่าที่นี่มีหมอด้วยอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่จี้จือฮวนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นคนคุ้นเคยหิ้วกล่องยาวิ่งมาทางนี้
จางหยวนเฉียวเพิ่งจะสูดลมหายใจเข้าปอด ก็จ้องไปที่จี้จือฮวนอย่างตกตะลึง “อาจารย์!? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
เมื่อกราบไหว้อาจารย์แล้วคำเรียกคำจาก็เปลี่ยนไป
จางตงไหลมองหน้าจางหยวนเฉียว จากนั้นก็มองจี้จือฮวน “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
จางหยวนเฉียวตบต้นขาตัวเอง “รีบหลีกทาง ให้อาจารย์ข้าช่วยดูอาการนายท่านก่อน คนนี้ต่างหากที่เก่งจริง ๆ”
จี้จือฮวนคราวนี้ไม่ได้รีรออีก นางเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงรีบหยิบกล่องยาออกมาจากตะกร้าสะพายหลัง สุดท้ายเมื่อเปิดกล่องออกข้างในนั้นกลับว่างเปล่า
ต้องเป็นเพราะเปิดไม่ถูกวิธีแน่ ๆ
จี้จือฮวนเขย่ากล่องยาน้อยอย่างแรงไปทีหนึ่ง เมื่อเปิดออกอีกครั้ง อืม ในที่สุดก็มียาแล้ว
จี้จือฮวนเทยาในนั้นลงบนฝ่ามือ และพูดกับจางตงไหลขึ้นมา “อย่าอุ้มเขา ให้เขานอนราบสบาย ๆ”
กล่องยาน้อยขัดเขินเล็กน้อย แค่งีบหลับไปเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!
จางตงไหลจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อ มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
แต่ดูจากปฏิกิริยาของจางหยวนเฉียวแล้ว ไม่น่าจะใช่การเสแสร้งนี่นา! จางตงไหลประคองไท่ซ่างหวงให้นอนราบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ดึงจางหยวนเฉียวมาใกล้ ๆ
“แม่นางน้อยคนนี้เป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ อาจารย์เจ้าไม่ใช่อดีตหัวหน้าสำนักหมอหลวงหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปหาเจ้าได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้อาการปวดหัวของไท่ซ่างหวง มีอาจารย์ของจางหยวนเฉียวเป็นคนดูแล
เมื่ออาจารย์ไม่อยู่แล้ว ก็ต้องให้ศิษย์เป็นคนดูแลต่อไม่ใช่หรือ บัดนี้ศิษย์ของเขาก็อายุปูนนี้แล้ว อาการของไท่ซ่างหวงก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ มีเพียงใช้วิธีเดิม ๆ ประคองอาการไว้เท่านั้น ที่สำคัญก็คือเขาอายุมากแล้ว การจะใช้ยาแรง ๆ เกรงว่าจะเป็นการทรมานเขาแทน
“ใครบอกว่าข้ามีอาจารย์แค่คนเดียวกัน การแพทย์ไม่เกี่ยวกับอายุ อาจารย์ข้านางเก่งมากเลยนะ”