เขามาแล้วถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
แบบนี้ เธอก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนอันตรายอย่างนิรุตติ์คนเดียวแล้ว
นัทธีมองความสุขบนใบหน้าของวารุณี ก็พยักหน้าเล็กน้อย แววตามีความอ่อนโยน จากนั้นตอนที่เผชิญหน้ากับนิรุตติ์ ความอ่อนโยนนั้นก็หายไป“ถ้าพี่จะหาดีไซเนอร์ ก็ไปหาที่อื่น คนของผม พี่อย่าได้แม้แต่จะคิด!”
คำว่าคนของผม ทำให้วารุณีใจเต้นแรง มองใบหน้าด้านข้างที่เย็นชาของเขาด้วยสายตาเป็นประกาย
ถึงเธอจะรู้ดีว่า คำพูดของเขานี้ไม่มีความหมายอื่นใด แค่หมายถึงว่าเธอเป็นพนักงานของเขาเพียงเท่านั้น
แต่ในใจของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง
“แต่ฉันถูกใจวารุณี ไม่อยากหาที่อื่นแล้วจะทำยังไงล่ะ?”นิรุตติ์แบบมือทั้งคู่ออกไปด้านข้าง แสร้งทำเป็นทุกข์ใจอย่างมาก
ลมหายใจทั้งตัวของนัทธีลดลง ริมฝีปากบางๆ เม้มลงจนเป็นเส้นตรง“คุณจะไปไหม?”
เขามองไปที่วารุณี
วารุณีได้สติคืนมา ก็ส่ายหน้า“ไม่ไปแน่นอนค่ะ ฉันเพิ่งปฏิเสธผู้อำนวยการนิรุตติ์ไปแล้ว และฉันก็คงไม่ทำงานให้คนที่คิดร้ายต่อฉันแน่ ฉันไม่ได้โง่ที่จะพาตัวเองไปซวยนะคะ”
ได้ยินคำนี้ นัทธีจึงพอใจทันที มุมปากก็ยกขึ้น ความเยือกเย็นทั่วร่างกายก็เก็บเข้าไป
นิรุตติ์มองวารุณีอย่างคับแค้นใจ“วารุณี คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมเสียใจมากเลยนะ”
วารุณีรู้ว่าเขาเสแสร้ง จึงเบือนหน้าหนีไม่สนใจเขา
นัทธีเดินก้าวข้างหน้า กั้นวารุณีไว้ด้านหลัง“ได้ยินหรือยัง?เธอไม่ไป”
“แล้วยังไงล่ะ ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก”นิรุตติ์สบตากับนัทธีอย่างไม่สะทกสะท้าน
ตอนที่ชายหนุ่มสองคนนี้ต่างขิงก็ราข่าก็แรงใส่กัน จู่ๆ โทรศัพท์ของวารุณีก็ดังขึ้นมา
ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองเธอพร้อมกัน เธอหัวเราะอย่างเขินอาย หยิบโทรศัพท์ออกมา“เอ่อ ฉันไปรับสายก่อนนะคะ”
พูดไป เธอก็เดินไปทางระเบียง
ที่เดิมตรงนั้นเหลือแค่นัทธีกับนิรุตติ์สองคน
นัทธีหรี่ตาลงถามอย่างเย็นชา“พี่เชิญเธอไปบริษัทของพี่ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
“จะมีจุดประสงค์อะไรได้ล่ะ โชว์ในวันนี้ ทำให้ฉันตระหนักถึงพรสวรรค์ของเธอ เอาคนมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมไปบริษัทของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไง?”นิรุตติ์ยักไหล่
นัทธีทำน้ำเสียงเยาะเย้ย“ถ้าพี่ไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นต่อเธอ คำพูดนี้ของพี่ ผมก็พอจะเชื่ออยู่หรอกนะ”
แว่นตานิรุตติ์สะท้อนแสง“เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าฉันทำไม่สำเร็จไม่ใช่เหรอ?”
“พี่ควรจะยินดีที่พี่ทำไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นตอนนี้พี่อาจไม่มีทางยืนครบสามสิบสองอยู่ตรงนี้แล้ว!”นัทธีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
นิรุตติ์หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ“นัทธี แกไม่รู้สึกเลยเหรอว่าตัวแก ใส่ใจเธอมากเกินไปแล้วน่ะ?”
“พี่หมายความว่าไง?”นัทธีเพ่งสายตาไป
นิรุตติ์ผายมือออกไปด้านข้าง“ไม่มีอะไร เธอกลับมาแล้ว”
เขาบุ้ยปากไปทางด้านหลังนัทธี
นัทธีหันหน้าไป มองเห็นวารุณีถือโทรศัพท์กลับมาด้วยใบหน้าปีติ เห็นได้ชัดเจนว่ามีเรื่องดีใจอะไร
“ประธานนัทธี ฉันต้องไปก่อนนะคะ”วารุณีหยุดอยู่ตรงหน้านัทธี แล้วพูดขอโทษ
นัทธีมองไปที่เธอ“มีอะไรหรือเปล่า?”
“อือ ต้องไปรับคนสำคัญมากคนหนึ่งที่สนามบินค่ะ”วารุณีดูนาฬิกาแล้วพูด
“รับใคร?”นัทธีถามจากจิตใต้สำนึก
สำคัญมาก?
หรือว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของเด็กสองคน?
คิดไป ในใจนัทธีก็รู้สึกอึดอัดหน่อยๆ
วารุณีไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร พอจะตอบ นิรุตติ์ก็พูดขำๆ ว่า“วารุณี คุณไม่ต้องสนประธานนัทธีแล้ว คุณรีบไปเถอะ”
“ค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ”วารุณีตอบอือไป แล้วก็ยิ้มอย่างขอโทษนัทธี ถือกระเป๋าแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
แล้วก็มาถึงสนามบินอย่างราบรื่น
วารุณีมองเห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งรออยู่ไกลๆ โบกแขนแล้วตะโกนไปว่า“แม่ ทางนี้!”
ผู้หญิงคนสวยได้ยินเสียงของเธอ ก็ดึงแว่นลงแล้วมองมา มองเห็นวารุณีตาก็เป็นประกายทันที ลากกระเป๋าเดินทางแล้วลุกขึ้นมา เดินออกมาจากในห้องนั่งรอ“ลูกรัก แม่คิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
“แม่ ฉันก็คิดถึงแม่”วารุณีอ้าแขนออก
แล้วสองคนแม่ลูกก็กอดกัน
พอผละออกจากกัน วรยาก็มองสำรวจวารุณีจากหัวจรดเท้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก“ผอมไปแล้ว แล้วยังขอบตาคล้ำอีก ช่วงนี้ไม่ได้พักเลยใช่ไหมลูก?”
วารุณีรับกระเป๋าเดินทางของเธอมา“ช่วงนี้เตรียมโชว์ใหญ่ค่ะ ก็เลยมีเวลาพักน้อย แต่ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปได้หยุดสองวัน นอนได้เต็มๆ เลย”
“งั้นก็ดี”วรยาพยักหน้า
สองคนแม่ลูกเดินออกไปจากสนามบิน เรียกรถแท็กซี่ด้านนอกกลับไปที่พัก เด็กทั้งสองคนเห็นยายต่างดีใจ พยายามมากวนให้ยายไปเล่นกับพวกเขา จนเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว เลยถูกวารุณีเกลี้ยกล่อมให้ไปนอน
“นี่ แก่แล้วแก่แล้ว ขอเล่นอยู่กับเด็กๆ สักพัก เอวก็ไม่ดีแล้วเนี่ย”วรยานั่งลงไปที่โซฟาอย่างผ่อนคลาย ทุบหลังเอวพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
วารุณีถือน้ำผึ้งแก้วหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะน้ำชาตรงหน้าเธอ จากนั้นก็เดินไปที่ด้านหลังของเธอ นวดไปที่ไหล่ของเธอ“แก่ตรงไหนล่ะ แม่ยังสาวอยู่เลย แม่ยืนอยู่กับฉันใครไม่รู้ก็คิดว่าเป็นพี่น้องกัน”
วรยาถูกเอาใจแบบนี้ริมฝีปากก็ยิ้มออกมา“เด็กคนนี้นี่ ปากหวานมากเหลือเกิน รู้จักเอาใจให้แม่มีความสุข”
วารุณีก้มลง เอาคางวางไว้ที่ไหล่เธอ“แม่ ฉันไม่ได้เอาใจแม่ให้มีความสุขเลย ที่ฉันพูดมันเป็นจริง”
“โอเคโอเคโอเค มันก็จริง ลูกนี่นะ!”วรยาตบไหล่ของวารุณีอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทันใดนั้นวารุณีก็นึกอะไรขึ้นได้ ยืนขึ้นมาทันที“ใช่สิแม่ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าจะให้ของขวัญแม่ แม่รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้”
พูดไป เธอก็วิ่งกลับห้องอย่างเร่งรีบ หยิบแฟ้มเอกสารอันหนึ่งออกมา
วรยามองแฟ้มเอกสารในมือเธออย่างสงสัย“ข้างในนี้คืออะไร?”
“แม่ดูก็รู้แล้ว”วารุณีเอาแฟ้มเอกสารยื่นให้เธอ
เผชิญหน้ากับสายตาที่เร่งของวารุณี วรยาก็ได้แต่รับแฟ้มเอกสารมาเปิด มองดู แล้วก็ตกใจยืนขึ้นมาทันที“ลูกรัก นี่เรื่องจริงเหรอ?”
“ค่ะ มันเป็นเรื่องจริง!”วารุณีพยักหน้า
วรยาตบโต๊ะอย่างมีความสุข“โอเค นั่นก็ดีมากจริงๆ สุภัทรนะสุภัทร ตอนนั้นคุณแอบไปหาผู้หญิงลับหลังฉัน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ ผู้หญิงที่คุณไปหาจะแอบมีชู้ เวรกรรมตามทันจริงๆ ด้วย ลูกรัก เรื่องนี้ลูกยังไม่ได้บอกสุภัทรสินะ?”
“ยังค่ะ”วารุณีดึงองุ่นเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วตอบไป
วรยานั่งกลับไป“ยังก็ถูกแล้ว ถ้าพวกเราเอาเรื่องนี้เก็บไว้ ให้สุภัทรไอ้แก่นั่นถูกสวมเขาไปทั้งชีวิต รอตอนที่เขาใกล้ตายค่อยบอกเขา ให้เขารู้สึกถึงความพังทลายของแม่ในตอนนั้น!”
“ค่ะ”วารุณีกอดแม่ไว้อย่างสงสาร ปลอบหัวใจที่บาดเจ็บของแม่
ตอนนี้เอง จู่ๆ ออดก็ดังขึ้น
วารุณีปล่อยวรยา มองเห็นวรยาเบ้าตาแดงๆ ก็รีบเอาทิชชูให้เธอ ให้เธอเช็ดน้ำตา แล้วจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู
พอเปิดประตู มารุตก็ยืนอยู่ด้านนอก โบกมือให้วารุณี“คุณวารุณี ดึกมากแล้วไม่ได้รับกวนคุณใช่ไหมครับ?”
“เปล่าค่ะ”วารุณีส่ายหน้า จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย“ผู้ช่วยมารุตมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คือแบบนี้ครับ ผมมาเอาของที่สำคัญมากกับประธานนัทธี แต่ตู้ดันเปิดไม่ออก ก็เลยอยากถามคุณว่ามีเบอร์โทรของส่วนกลางหรือไม่”มารุตดันแว่น สายตากลับเหลือบมองไปที่ห้องรับแขกด้านหลังของเธอเงียบๆ เหมือนกำลังหาอะไร
วารุณีไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของเขา พยักหน้ายิ้มๆ “มีค่ะ รอก่อนนะคะ ฉันไปเอานามบัตรให้คุณ”
พูดไป เธอก็หมุนตัวกลับไปที่ห้องรับแขก
“ลูกรัก ใครเหรอ?”วรยามองไปที่ประตู
วารุณีนั่งยองๆ หน้าโต๊ะน้ำชา หานามบัตรไปตอบไปว่า“เป็นเจ้านายของบริษัทฉันเอง แม่ อาบน้ำนอนเถอะ”
“โอเค”วรยาวางองุ่นลงแล้วตบมือ ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ
วารุณีหานามบัตรเจอแล้วกลับไปที่หน้าประตูอีกครั้ง เอานามบัตรยื่นให้มารุต
มารุตขอบคุณเสร็จ ก็ไม่รีบออกไป แต่ทำเป็นถามอย่างแปลกใจ“คุณวารุณีมีแขกเหรอครับ?”