ตอนที่ 118 ประสบเคราะห์ร้าย

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

หวังซีพลันตระหนักได้ว่าตนได้พานพบกับคนไม่ธรรมดาเข้าให้แล้ว

แต่น่าเสียดายที่ที่นี่เป็นจิงเฉิง หากอยู่สู่จง อย่างไรนางก็น่าจะหาเบาะแสได้สักอย่าง และสืบรายละเอียดของพวกเขาจนกระจ่างได้

ความอยากเอาชนะของหวังซีถูกปลุกขึ้นมา

หวังซีนึกถึงเฉินลั่ว

ถึงเวลาใช้งานได้ไม่ใช้ จะเก็บไว้ฉลองปีใหม่หรืออย่างไร

หวังซีให้หวังสี่นำจดหมายไปส่งให้เฉินลั่ว ขอยืมตัวเฉินอวี้มาใช้งานครั้งหนึ่ง จากนั้นนางกับฉังเคอเฝ้ารออาของอาหลีมาขอโทษต่อไป ด้านไป๋กั่วกับหวังหมัวมัวก็ไม่ได้หยุดตามหาเช่นกัน ยังคงสืบข่าวคราวของอาหลีสองอาหลานต่อไปเรื่อยๆ

อาของอาหลีไม่มาขอโทษ ด้านหวังหมัวมัวกับไป๋กั่วก็ไม่มีข่าวคราวอะไร ทว่าเฉินลั่วเดินทางมาหา

เฉินลั่วสวมชุดผ้าไหมหังโจวสีฟ้าน้ำทะเลยแขนกว้างไร้ลวดลายคอเสื้อกลมสีขาว เส้นผมดำขลับม้วนเป็นมวยปักด้วยปิ่นไผ่สีเขียว เป็นการแต่งกายแบบสบายๆ ทว่าสีหน้าดูโดดเดี่ยว ข้างกายไม่เห็นมีข้ารับใช้อยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว

หวังซีประหลาดใจ มองไปทางด้านหลังของเขาไปด้วย ยิงคำถามรัวไปด้วย “เหตุใดเจ้าถึงมาด้วยตัวเอง เฉินอวี้เล่า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

เฉินลั่วเห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ในใจรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบและอบอุ่นอย่างยิ่ง “ข้าให้เฉินอวี้ไปทำธุระให้ ตอนนี้เขาจึงไม่ว่าง กลัวเจ้าจะรอจนร้อนใจ ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนี้ข้าไม่ได้เข้าเวร จึงมาดูด้วยตัวเอง เจ้าไม่ต้องร้อนใจ มารดาของข้ากับเจ้าอาวาสวัดอวิ๋นจวีจุดธูปร่วมสาบานเป็นมิตรต่อกัน ข้าจะไปทักทายนางสักครั้งหนึ่งก่อน ประเดี๋ยวค่อยมาคุยรายละเอียดกับเจ้า”

แต่ไม่บอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หวังซีพลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา แต่อยู่ต่อหน้าฉังเคอและคนอื่นๆ จึงไม่อาจถามอะไรมาก จำต้องส่งเขาไปพบเจ้าอาวาสวัดอวิ๋นจวีก่อน

ฉังเคออดดึงหวังซีไปคุยด้วยไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงเชิญปีศาจตนนี้มา? ต่อให้อาของอาหลีมีอะไรไม่เหมาะสมไปบ้าง แต่เขากับพวกเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่มาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าเฉินลั่วสอดมือเข้ามานั่นไม่เหมือนกันแล้ว ข้ากลัวเขาจะทำร้ายอาของอาหลี ทว่าคนที่เสียใจคืออาหลี เด็กผู้นั้น น่ารักน่าชังเหลือเกิน!”

หวังซีอดพูดแทนเฉินลั่วไม่ได้ “เจ้าเป็นคนพูดเองว่าไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเฉินลั่วมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ บัดนี้เขาเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้าจะเอาแต่มองคนด้วยสายตาเดิมไม่ได้ เจ้าควรเชื่อใจข้ามากกว่านี้”

ฉังเคอละอาย กล่าวว่า “หลักๆ แล้วข้ารู้สึกว่าเฉินลั่วผู้นี้มองคนด้วยสายตาน่าสยดสยอง ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว เวลาเผชิญหน้ากับเขา ไม่รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเท่ากับเวลาเผชิญหน้าคุณชายใหญ่เฉิน”

นั่นเป็นเพราะเฉินลั่วอายุยังน้อย ไม่รู้จักเก็บสีหน้า รอเขาโตอีกสักหน่อย ไหนเลยจะปล่อยให้ผู้คนอ่านอารมณ์ของเขาได้อีก

ใกล้ถึงกลางเดือนเจ็ดแล้ว พวกนางตั้งใจจะมอบพัดเป็นของขวัญให้สหายสนิทอย่างคุณหนูรองอู๋และคุณหนูลู่ ส่วนกล่องและซองใส่พัด มอบหมายให้พวกไป๋จื่อช่วยจัดการ

พวกนางยังวาดภาพไม่เสร็จสักภาพ เฉินลั่วก็กลับมาแล้ว

ทั้งสามคนนั่งดื่มชาและสนทนากันใต้ต้นการบูรภายในลานบ้าน

“เกรงว่าสถานะของคนผู้นี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ” เฉินลั่วกล่าว “ข้าสอบถามกว่าครึ่งค่อนวัน แม้นเจ้าอาวาสยอมรับว่ามีคนเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่ง แต่ยังคงขอร้องข้าอย่างอ้อมๆ ว่าไม่ต้องไล่ถามอีก ข้าสงสัยว่าเขาคือบุตรหลานของหลิวจื่อยงผู้นั้น”

“หลิวจื่อยง?!” หวังซียังงุนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร ฉังเคอกระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวอย่างร้อนใจว่า “หลิวจื่อยงที่พวกเราพูดถึงกันผู้นั้น? หลิวจื่อยงที่แต่เดิมอาศัยอยู่ข้างบ้านพวกข้าผู้นั้นหรือ”

คนที่อาศัยอยู่ข้างบ้านจวนหย่งเฉิงโหวคือจ่างกงจู่มิใช่หรือ

หวังซีพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา

หลิวจื่อยงที่พวกเขาพูดถึงคือตระกูลหลิวที่บ้านถูกสำนักพระราชวังซื้อไปเพราะครอบครัวประสบเคราะห์ร้าย ตอนที่เป่าชิ่งจ่างกงจู่เสกสมรสอีกครั้ง บ้านดังกล่าวกลายเป็นจวนหลังใหม่ของจ่างกงจู่

เช่นนั้นก็เท่ากับว่าบ้านที่เฉินลั่วอาศัยอยู่ตอนนี้คือบ้านของตระกูลหลิว?

หวังซีมองเฉินลั่ว

เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “น่าจะเป็นเขา ตอนใต้เท้าหลิวยังมีชีวิตเคยทำคุณงามความดีเอาไว้มากมาย อย่างตอนหิมะตกครั้งใหญ่ในฤดูหนาวของรัชศกหย่งคังปีที่แปด หากมิใช่เพราะใต้เท้าหลิวยืนกรานอย่างแข็งกร้าว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คงไม่อนุญาตให้ผู้บัญชาการศาลซุ่นเทียนพาคนไปสร้างหน่วยแจกอาหารที่หน้าประตูเมืองทั้งสี่ และให้สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ารับเลี้ยงเด็กกำพร้าอายุต่ำกว่าสิบขวบจำนวนมาก แค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอให้ประชาชนของจิงเฉิงสร้างศาลอายุมั่นขวัญยืนให้เขาแล้ว นอกจากนี้หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพิธีการแล้ว ยังสนับสนุนให้สำนักศึกษาแต่ละแห่งให้ความช่วยเหลือบัณฑิตที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หลายต่อหลายครั้ง สร้างบัณฑิตได้จำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงใครอื่นไกล หลิวซื่อหลางของกรมโยธาก็เคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อน”

หลิวซื่อหลางของกรมโยธา คือตระกูลสามีของคุณหนูพานมิใช่หรือ

เดินวนกันไปมา สุดท้ายคนก็มาบรรจบรวมกันอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม เฉินลั่วเป็นคนหยิ่งทะนง คนที่ทำให้เขายอมเรียกว่า ‘ใต้เท้า’ ได้ แสดงว่าใต้เท้าหลิวจื่อยงท่านนี้น่าจะเป็นคนมีคุณธรรมและความสามารถยอดเยี่ยมมาก

หรือว่าด้วยเหตุนี้คนของวัดอวิ๋นจวีจึงยินดีปกป้องอาหลีสองอาหลาน?

หวังซีพลันรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง เอ่ยถามว่า “คดีของใต้เท้าหลิวนั้นถูกยึดทรัพย์และเนรเทศเพราะเรื่องทุจริตการสอบขุนนางมิใช่หรือ ใต้เท้าหลิวคงมิได้ถูกตัดสินโทษอย่างอยุติธรรมหรอกกระมัง”

ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่มีวันมีความผิด แต่ในใจของทุกคนต่างมีตาชั่งเป็นของตัวเอง

เฉินลั่วพึมพำกล่าว “ย้อนกลับไปนานหลายปี ใครก็พูดให้กระจ่างไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ใต้เท้าหลิวในฐานะขุนนางได้ชื่อว่าเป็นคนมีความสามารถ เขาไม่น่าทำความผิดพลาดเช่นนี้ได้ถึงจะถูก”

พูดเพียงว่าใต้เท้าหลิวมีความสามารถ แต่ไม่พูดว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ หรือคนเที่ยงตรงประเภทนั้น

หวังซียิ้ม ไม่ไล่ถามอะไรมากอีก เนื่องจากนี่เป็นเรื่องเก่าในอดีต ไม่ค่อยเกี่ยวข้องอะไรกับนางนัก นางเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราควรจะเริ่มตรวจสอบอาหลีสองอาหลานอย่างละเอียดจากตรงนี้หรือไม่”

ต่อให้เขาเป็นบุตรหลานของใต้เท้าหลิว เรื่องที่ควรขอโทษก็ยังต้องขอโทษ เพราะนี่เป็นคนละเรื่องกัน จะเอามาพูดปนกันไม่ได้

เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าให้คนไปสืบแล้ว”

นี่นับเป็นครั้งแรกที่หวังซีเห็นเฉินลั่วยิ้มนับตั้งแต่ที่เขามาถึงวัดอวิ๋นจวี เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้มากเช่นกัน

หวังซีไม่อยากเห็นเขามีสีหน้ากังวล จึงกล่าวคล้อยไปกับเขาว่า “ไม่รู้ว่าจู่ๆ เขามาทำอะไรที่จิงเฉิง ปีนั้นที่ใต้เท้าหลิวถูกยึดทรัพย์และถูกเนรเทศนั้น พวกเขาก็ถูกเนรเทศไปด้วย หรือว่าถูกส่งกลับบ้านเดิม?”

เฉินลั่วกล่าว “มีเพียงใต้เท้าหลิวผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกเนรเทศ ส่วนพวกเขาถูกส่งกลับบ้านเดิม ภายในสามรุ่นไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการสอบขุนนาง” กล่าวถึงตรงนี้ เขากล่าวอย่างคนนึกอะไรขึ้นมาได้ “หากข้าจำไม่ผิด คนรุ่นที่สามของตระกูลหลิวก็น่าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นับตั้งแต่ฮ่องเต้สืบทอดบัลลังก์เป็นต้นมา มีการนิรโทษกรรมทั่วทั้งแผ่นดินเพียงตอนเถลิงราชย์เท่านั้น ไม่รู้ว่าคนของตระกูลหลิวมาทันหรือไม่”

ถ้าหากไม่ทัน การมาจิงเฉิงของอาหลีสองอาหลานก็ควรค่าแก่การพินิจพิเคราะห์แล้ว

และเพราะเหตุใดวัดอวิ๋นจวีถึงไม่ยอมเปิดเผยร่องรอยของอาหลีสองอาหลานออกไปก็มีคำตอบแล้วเช่นกัน

ทั้งสามคุยเรื่องตระกูลหลิวกันครึ่งค่อนวัน ไป๋กั่วยกน้ำชาเข้ามาให้พวกนางใหม่

ชาของเฉินลั่วกับหวังซีคือชาโบตั๋นขาว ส่วนของฉังเคอคือชาปี้หลัวชุน

ของว่างเป็นดอกบัวขาวขนาดเท่าถ้วยน้ำชา ราดด้วยน้ำเชื่อมสีน้ำตาล กินเข้าปากไปแล้วมีความกรุบกรอบของรากบัวและความหวานของน้ำเชื่อม

เฉินลั่วยกจานกระเบื้องหลากสีขึ้นมาดูกว่าครู่ใหญ่ เอ่ยถามว่า “ของว่างนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เป็นของว่างลับเฉพาะของครอบครัวพวกเจ้าอีกแล้วหรือ”

ฉังเคอเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน อดเงี่ยหูฟังด้วยไม่ได้

หวังซีตอบยิ้มๆ ว่า “เรียกว่าสามขุมทรัพย์แห่งบึงบัว หั่นรากบัวเป็นทรงเสื้อกันฝนฟางข้าวบางๆ นำเม็ดบัวสับและกระจับสับมาวางแล้วม้วน ทำเป็นรูปดอกบัว วางในกระทะทอดด้วยไฟอ่อน จากนั้นราดด้วยน้ำเชื่อมที่เคี่ยวไว้ก็เสร็จแล้ว วิธีทำค่อนข้างยุ่งยาก เป็นของทานเล่นประจำฤดูกาลชนิดหนึ่ง นับว่าเป็นของว่างลับเฉพาะของพวกข้า”

เฉินลั่วกินอีกชิ้นหนึ่ง รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินคู่กับชา ลดความเลี่ยนทั้งยังช่วยเจริญอาหาร

เขาชมไปหลายประโยค

ฉังเคอเองก็รู้สึกว่าอร่อย ถึงขั้นมีความคิดว่าหากมีโอกาสจะไปเรียนทำขนมกับแม่ครัวของตระกูลหวังสักสองสามอย่าง

กระทั่งพวกเขากินของว่างเกือบหมดและดื่มชาเสร็จแล้ว คนของเฉินลั่วก็กลับมารายงานผล

“อาของอาหลีท่านนั้นคือบุตรหลานของใต้เท้าหลิวจริงๆ” คนที่กลับมารายงานผลเป็นคนที่หวังซีไม่คุ้นหน้า อายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี รูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าสุขุม ท่าทางแฝงความหยิ่งทะนงเอาไว้หลายส่วน ไม่เหมือนบ่าวติดตามตัว เหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐมากว่า “คนอายุมากกว่ามีนามว่าหลิวจ้ง คนเล็กมีนามว่าหลิวหลี ลงชื่อเข้าพักสองคนอาหลาน ข้าตรวจสอบจากบันทึกของปีนั้นแล้ว หลิวจ้งน่าจะเป็นหลานชายคนเล็กสุดของใต้เท้าหลิว ตอนที่ใต้เท้าหลิวกระทำผิดในปีนั้น เขายังเป็นทารกอยู่ในห่อผ้า ส่วนหลิวหลีผู้นั้นน่าจะเป็นบุตรชายของญาติผู้พี่คนโตของหลิวจ้ง…

…พวกเขาเข้าเมืองหลวงมาตั้งแต่เดือนห้าของปีนี้ หลังเข้าเมืองมาแล้วไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าหลิว รองเสนาบดีกรมโยธาเป็นอันดับแรก ยังพักอยู่ที่ตระกูลหลิวระยะหนึ่งด้วย ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใด ย้ายไปอยู่ซอยเปลี่ยวทางทิศใต้ของเมืองครึ่งเดือนกว่า และมาขอพักที่วัดอวิ๋นจวีเมื่อหลายวันก่อน…

…จากที่คนของวัดอวิ๋นจวีกล่าวมา เพราะในเมืองร้อนเกินไป หลิวหลีอายุน้อย รับไม่ไหว ทั้งร่างมีผดขึ้นเต็มไปหมด หลิวจ้งไม่มีทางเลือก ถึงได้พาหลิวหลีมาเข้าพักที่วัดอวิ๋นจวี”

เฉินลั่วพยักหน้า อธิบายให้หวังซีฟังว่า “แม่ชีของวัดอวิ๋นจวีเชี่ยวชาญเรื่องโรคเด็ก โดยเฉพาะเด็กร้องไห้กับท้องเสียจะเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ เกรงว่าหลิวจ้งผู้นั้นคงมาด้วยเหตุนี้”

หวังซีพยักหน้า ค้นพบว่าคนที่มาแจ้งข่าวผู้นั้น แม้นดูเหมือนก้มหน้าตามองจมูก จมูกชิดอกก็ตาม แต่ตอนที่เฉินลั่วกับนางคุยกันนั้น เขากลับอาจหาญปรายตามองนางหลายครั้ง

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกนางคงไม่รีบร้อนเข้ามาฟังความครึกครื้นด้วยแล้ว

หวังซีรู้สึกว่าคนที่มารายงานข้อมูลค่อนข้างร้อยเล่ห์ หันไปส่งสายตาให้เฉินลั่วครั้งหนึ่ง กลับเข้าไปในเรือนก่อน

เฉินลั่วคุยกับคนผู้นั้นอีกสองสามประโยค ถึงได้ไล่เขากลับไป บอกหวังซีว่า “ระยะนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง เรื่องประเภทนี้มิใช่ว่าใครๆ ก็สืบได้ จึงมอบหมายให้คนในกองพลช่วยสืบให้”

ไม่แปลกที่คนผู้นั้นกล้ามองนางเช่นนั้น!

หวังซีลอบขมวดคิ้ว กล่าวกับเฉินลั่วว่า “หากเจ้าไว้ใจหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้า เรื่องที่ไม่ค่อยสลักสำคัญก็มอบหมายให้เขาไปจัดการให้ได้”

เฉินลั่วขานตอบอย่างคลุมเครือเสียงหนึ่ง เห็นว่าเย็นแล้ว จึงกล่าวกับนางว่า “เกรงว่าวันนี้หลิวจ้งผู้นั้นคงมาขอโทษพวกเจ้าไม่ได้อีกตามเคย เนื่องจากหลิวหลีไม่สบาย ว่ากันว่าเพราะเขาถูกทำให้ตกใจกลัว หลายวันมานี้หลิวจ้งต้องดูแลหลิวหลีจนแทบไม่ได้นอน! พวกเจ้าน่าจะต้องรอไปอีกสองสามวัน”

ขอเพียงมิใช่เพราะเจตนาไม่มาก็พอแล้ว

แต่หลิวจ้งมาไม่ได้ ก็ไม่ให้คนมาแจ้งพวกนางสักคำ หวังซีประเมินเขาอยู่ในใจ คะแนนที่ให้ก็ไม่ได้สูงนัก

นางเบ้ปาก แต่ยังคงกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน ข้าจะให้คนนำขนมและของเล่นไปส่งให้เด็กน้อยผู้นั้น แต่หวังว่าพวกข้าคงไม่ได้ทำให้เขาตกใจกลัวไปแล้ว”

แค่มองเฉินลั่วก็มองทะลุความคิดของหวังซีแล้ว เขาหัวเราะฮ่าไม่หยุด กล่าวว่า “ข้าเดาว่าไม่ใช่เขาที่ไม่อยากส่งข่าวให้พวกเจ้า น่าจะเป็นคนของวัดอวิ๋นจวีมากกว่าที่ไม่ยอมส่งข่าวให้พวกเจ้า กล่าวคือ พวกนางคงไม่อาจกลับคำพูดของตัวเองหรอกกระมัง ก่อนหน้านี้เพิ่งจะพูดไปว่าไม่รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ด้วย แต่ต่อมากลับบอกพวกเจ้าว่าคนพักอยู่ที่ไหน”

…………………………………………………………………………………

ตอนต่อไป