หวังซีฝืนยอมรับเหตุผลนี้

คนของเฉินลั่วกลับเก่งกาจยิ่งกว่าที่นางคิดไว้ เพียงไม่นานก็สืบทราบแล้วว่าอาหลีสองอาหลานพักอยู่ที่ไหน

ฉังเคออดกล่าวไม่ได้ว่า “ไม่แปลกที่หวังหมัวมัวกับไป๋กั่วสืบไม่เจอ ที่แท้วัดอวิ๋นจวียังมีเรือนรับรองอีกที่หนึ่งอยู่ตรงตีนเขาสำหรับรับรองแขกบุรุษโดยเฉพาะ อยู่ห่างจากที่นี่เกือบหนึ่งลี้ ไม่รู้ว่าอาหลีวิ่งมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”

หวังซีกลับคิดเรื่องจะให้บทเรียนหลิวจ้งอย่างไรดี นางไม่เพียงให้แม่ครัวทำขนมหลีเท่านั้น ยังทำขนมพรห้าประการ ขนมฝูหลิงและอื่นๆ รวมถึงทำสามขุมทรัพย์แห่งบึงบัวที่ก่อนหน้านี้เฉินลั่วเองก็ชอบมากเหมือนกันนั่นด้วย เลือกตะกร้าที่งดงามมากเป็นพิเศษมาใส่ขนม ยังเพิ่มของเล่นที่เด็กเล็กชอบเล่นให้ไปด้วย ให้ไป๋กั่วส่งไปที่เรือนรับรองแขกของวัดอวิ๋นจวีตรงตีนเขา เป็นการแสดงออกที่ให้ความรู้สึกประมาณว่าข้ารู้ว่าเจ้าพักอยู่ที่ไหนแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย

ฉังเคอรู้แล้วอดหัวเราะไม่ได้ ร่วมสร้างเรื่องกวนใจคนกับหวังซีด้วย นางยังทำผ้าคาดศีรษะให้ไป๋กั่วนำไปให้อาหลีด้วย

หลิวจ้งเต็มไปด้วยความกดดัน

เนื่องจากเขาตั้งใจจะไปกล่าวขอโทษหวังซีและฉังเคอ จะไม่สืบที่มาของพวกนางได้อย่างไร นอกจากรู้ว่าพวกนางคือหญิงสาวจากจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว เขายังสืบทราบด้วยว่าเฉินลั่วกับพวกนางมีความสัมพันธ์ไม่เลวนัก พวกนางมาหลบร้อนที่วัดอวิ๋นจวี เฉินลั่วยังเคยมาเยี่ยมด้วยตัวเองอีกด้วย

หากเป็นสมัยเด็ก ยังอาจกล่าวได้ว่าเป็น ‘เพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน’ แต่วันนี้ทุกคนต่างถึงวัยคุยเรื่องคู่ครองกันแล้ว การที่เฉินลั่ววิ่งมาวัดอวิ๋นจวีเป็นการเฉพาะเช่นนี้ จึงดูมีความหมายพิเศษเล็กน้อย?

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาสนใจคุณหนูท่านไหน

เป่าชิ่งจ่างกงจู่ย่อมมีเงื่อนไขสำหรับบุตรสะใภ้ของตัวเอง พื้นเพของคุณหนูทั้งสองท่านล้วนต่ำไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจิตใจของเฉินลั่วจะแน่วแน่มั่นคงพอหรือไม่

หลิวจ้งใคร่ครวญอยู่ในใจหลายวัน ในที่สุดอาการป่วยของอาหลีก็ดีขึ้น วิ่งเล่นซุกซนไปมา ไม่มีช่วงเวลาหยุดพักเลยแม้แต่เค่อเดียว ในปากเต็มไปด้วยขนม คล้ายไม่เคยกินมาก่อนก็ไม่ปาน

เขาเห็นแล้วปวดแปลบหัวใจ

ช่วงเวลาที่ท่านปู่รุ่งโรจน์นั้นเขาไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยได้เพลิดเพลินกับมันด้วย แต่ความขมขื่นจากการที่ครอบครัวประสบเคราะห์ร้ายนั้นเขากลับได้กลืนกินมันจนเกินพอ พี่ชายใหญ่มีความรักลึกซึ้งกับสตรีเผ่าอี๋ผู้หนึ่ง แต่งงานโดยไร้แม่สื่อ ให้กำเนิดอาหลีออกมา แม้นท่านย่าจะเดือดดาล แต่สุดท้ายแล้วพี่ชายใหญ่ก็เป็นลูกหลานของตัวเอง ยังคงรับอาหลีกลับมา หากพี่ชายใหญ่กับสตรีเผ่าอี๋ผู้นั้นมีชีวิตที่ดีก็ดีไป แต่ระหว่างที่พี่ชายใหญ่พาสตรีผู้นั้นออกไปท่องเที่ยวนั้นบังเอิญเจอกับน้ำป่าไหลหลาก เป็นเหตุให้ทั้งคู่ถึงแก่ความตาย ทิ้งอาหลีเอาไว้เพียงผู้เดียว

ถัดมาหลังจากที่บ้านเกิดเกิดภัยแล้งใหญ่แล้วก็เกิดน้ำท่วม ไร้ผลเก็บเกี่ยวถึงสี่ปี ผู้เช่านาของที่บ้านทยอยกันหลบลี้ความอดอยาก ทิ้งที่นาว่างเปล่าสองสามหมู่เอาไว้ไม่คิดจะสืบทอดต่อ นอกจากนี้เพราะอาหลีหน้าตาไม่เหมือนคนอื่นจึงมักจะถูกเด็กเกเรในหมู่บ้านรังแกอยู่เสมอ มีครั้งหนึ่งถูกคนมีจิตคิดร้ายไปบอกพวกค้ามนุษย์ใจอำมหิตจนอาหลีเกือบโดนลักพาตัวไปแล้ว

หลังจากผู้อาวุโสในบ้านเสียชีวิต เขาจึงพาอาหลีเดินทางมาจิงเฉิง อยากหาอนาคตที่ดีให้อาหลีแล้วก็ให้ตัวเองด้วย

คิดไม่ถึงว่าคนที่ร้องเสียงดังที่สุดในตอนแรกอย่างหลิวซื่อหลางได้รับความช่วยเหลือจากท่านปู่ของเขาแล้วกลับเบือนหน้าหนีไม่ยอมรับหนี้บุญคุณ นอกจากไม่สนใจเรื่องของพวกเขาและปัดความรับผิดชอบแล้ว ยังมองว่าเขาไม่อาจเข้าร่วมการสอบขุนนาง อาหลีก็มีหน้าตาแตกต่างจากผู้อื่น ดูไม่มีอนาคตอะไร จึงพูดทำนองว่าความเมตตาที่ท่านปู่เคยมอบให้เขานั้นเขาคืนหมดไปนานแล้ว ให้พวกเขาไม่ต้องมาพึ่งพาครอบครัวของเขาอีก

หลิวจ้งโกรธจนแทบกระอักเลือด พาอาหลีไปเช่าบ้านหลังเล็กอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ต่อมาเป็นเพราะในเมืองอากาศร้อนเกินไป อาศัยบุญบารมีของท่านปู่ มาขออาศัยที่วัดอวิ๋นจวี

สงสารก็แต่อาหลี ตอนผู้อาวุโสในบ้านยังมีชีวิตต่างละเลยไม่สนใจเขา แม้แต่ตอนกินข้าวยังตัวสั่นไม่กล้าขยับตะเกียบ บัดนี้จึงติดนิสัยเสียหนึ่งมาที่พอเห็นของกินก็หมกมุ่นไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ว่าเมื่อเขาโตกว่านี้ รู้จักอายแล้วจะแก้นิสัยนี้ได้หรือไม่

แต่กล่าวไปกล่าวมา สุดท้ายแล้วล้วนเป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ พาอาหลีมาได้แต่ไม่มีปัญญาทำให้เขารู้สึกมั่นคงปลอดภัย เขาถึงต้านทานต่อการล่อลวงของอาหารเลิศรสไม่ได้

เขาอดลูบศีรษะอาหลีไม่ได้ กล่าวว่า “อาหลีชอบคุณน้าสองคนนั้นหรือ”

อาหลีพยักหน้าหงึกๆ เงยใบหน้ากลมดุจซาลาเปาที่มุมปากยังมีเศษขนมติดอยู่ขึ้นมา กล่าวด้วยสำเนียงเด็กน้อยว่า “พวกคุณน้าสวย ตัวหอม งดงามเหมือนดอกไม้ไม่มีผิด”

หลิวจ้งหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “เจ้าก็รู้จักคำว่างดงามเหมือนดอกไม้ด้วยหรือ!”

อาหลีขาดมารดามาตั้งแต่เด็ก เชิญแม่นมมาหลายคนแต่ทั้งหมดต่างหวาดกลัวหน้าตาของเขา เขาจึงโตมากับหมัวมัวชราคนข้างกายท่านย่า ไม่เคยเห็นเด็กสาวที่สดใสและปฏิบัติกับเขาอย่างใจดีเฉกเช่นคุณหนูทั้งสองท่านของจวนหย่งเฉิงโหวมาก่อน จึงรู้สึกชอบเป็นธรรมดา

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนคุณน้ากอดเจ้าเจ้าตกใจร้องเสียงดัง ทำให้อาตกใจไปด้วย จึงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยกับคุณน้าทั้งสอง อีกสักสองสามวัน เมื่ออาได้รับเงินจากการคัดพระธรรมแล้ว จะซื้อดอกไม้สักสองสามกระถางไปกล่าวขอโทษคุณน้าทั้งสอง เจ้าต้องไม่ลืมช่วยพูดให้อาด้วย เข้าใจหรือไม่”

อาหลีพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าจะเก็บสามขุมทรัพย์เอาไว้ ให้คุณน้ากิน”

อาจเป็นเพราะไม่เคยกินรากบัวมาก่อน สามขุมทรัพย์แห่งบึงบัวจึงเป็นขนมที่เขาชอบกินมากที่สุด

หลิวจ้งพยักหน้า สายตาเริ่มดูคลุมเครือเล็กน้อยอีกครั้ง

ถ้าท่านปู่ไม่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตการสอบขุนนาง ถ้าพวกเขาไม่ถูกลงโทษห้ามไม่ให้เข้าร่วมการสอบขุนนางสามรุ่น อาหลีจะไม่รู้จักแม้แต่รสชาติของรากบัวได้อย่างไร

หลิวจ้งมีเงินจำกัดไม่อาจใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ ผ่านไปสองวัน เขาไปตลาดขายดอกไม้ด้วยตัวเองเลือกกล้วยไม้สองกระถางใช้เป็นของขวัญแทนคำขอโทษ พาอาหลีไปเรือนพักของหวังซีและฉังเคอ

ประจวบเหมาะกับที่วันนั้นเฉินลั่วก็มาเช่นกัน นอกจากนี้พอมาถึงก็ดึงหวังซีไปที่เรือนครัว บอกว่าอยากให้แม่ครัวของตระกูลหวังช่วยคิดค้นอาหารจานผักให้เขาสักอย่าง เมื่อฮองเฮาเหนียงเหนียงหายประชวรแล้ว เขาอยากทำถวายฮองเฮาเหนียงเหนียง

ฉังเคอได้ยินแล้วย่อมไม่เชื่อ

ถ้ามีความตั้งใจจริง ไม่ว่าจะเป็นจวนจ่างกงจู่หรือจวนเจิ้นกั๋วกงล้วนไม่ขาดแคลนอาหารจานผักใหม่ๆ เลย จะมาขอร้องถึงหวังซีได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม นางนึกถึงที่หวังซีพูดแทนเฉินลั่วต่อหน้านางสองครั้ง ดูจากตอนนี้แล้ว ระหว่างทั้งสองคนอาจมีความรู้สึกบางอย่างกันจริงๆ ก็เป็นได้ โดยเฉพาะหวังซี ดีกับเฉินลั่วมากเกินไปแล้ว

นางคิดว่าต้องหาโอกาสหนึ่งคุยกับหวังซีถึงจะใช้การได้

ตอนหลิวจ้งมา นางจงใจไปเรียกหวังซีด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วกับหวังซีจะตั้งอกตั้งใจคิดสูตรอาหารกันอยู่จริงๆ

ฉังเคอยิ้มอย่างกระดากอาย กดความละอายไว้ในใจ พูดถึงการมาของหลิวจ้ง

แน่นอนว่าหวังซีกับเฉินลั่วไม่ได้กำลังคิดสูตรอาหารกันอยู่ ความจริงแล้วพวกเขาแค่สั่งการพวกแม่ครัวให้ทำนั่นทำนี่ไปด้วย แล้วก็กระซิบกระซาบคุยเรื่องส่วนตัวไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตอนที่เฉินลั่วกำลังเล่าให้นางฟังว่าก่อนหน้านี้เขายุ่งอยู่กับอะไร หวังซีจึงปลีกตัวไปไม่ได้

นางรู้สึกผิดต่อฉังเคอ กล่าวอย่างขออภัยว่า “ข้ากำลังติดพันอยู่พอดี เจ้าไปพบหลิวจ้งดีหรือไม่ เขาอยู่ในสถานการณ์อะไร เหตุใดถึงออกมาจากตระกูลหลิว ใต้เท้าเฉินล้วนเล่าให้พวกเราฟังหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว หากถามว่าเขาทำอะไรผิด นั่นก็เป็นการทำผิดต่อเจ้า อย่างมากตัวข้าก็แค่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น หากเจ้ายินดีอภัยให้เขา ยังจะมีอะไรให้ข้าต้องบ่นอีก เจ้าตัดสินใจทุกอย่างได้เลย!”

ฉังเคอยังไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเพียงลำพังแม้แต่เรื่องเดียว ได้ยินแล้วอดหวาดกลัวไม่ได้

หวังซีนั้นหากตั้งใจจริง นางหลอกล่อจนคนถูกขายแล้วยังช่วยนับเงินให้นางได้ด้วยซ้ำ อย่างฉังเคอไหนเลยจะคณามือนาง เพียงไม่นานฉังเคอก็ถูกหวังซีโน้มน้าวจนไปพบอาหลีสองอาหลานได้แล้วอย่างรวดเร็ว ส่วนหวังซีกระซิบถามเฉินลั่วอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าบอกว่าช่วงก่อนเจ้ายุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นเพราะสืบทราบแล้วว่าธูปหอมในพระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นมาจากที่ไหน เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนถวายให้ฮ่องเต้หรือ เจ้าตรวจสอบเจอได้อย่างไร”

เฉินลั่วมองแม่ครัวสองคนที่ไม่ต่างจากรูปปั้นพระพุทธรูปแล้ว วางหัวไชเท้าในมือลงช้าๆ ล้างมือเสร็จแล้วออกจากเรือนครัวไป ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำในลานบ้าน

หวังซีรีบตามออกไป

เฉินลั่วถึงได้ลดเสียงลงกระซิบกล่าวว่า “หากจะพูดเรื่องนี้…”

ต้องขอบคุณปั๋วหมิงเย่ว์

ตระกูลปั๋วมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักกิจการภายในมาโดยตลอด เนื่องจากปั๋วหมิงเย่ว์ต้องการตรวจสอบธูปหอมในพระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้น มีคนของสำนักกิจการภายในอยากประจบเอาใจปั๋วหมิงเย่ว์ ย่อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ปั๋วหมิงเย่ว์ตรวจเจออะไรบ้างนั้นเขาไม่รู้ แต่บางเรื่องเมื่อมาอยู่ในสายตาของเขาแล้วกลับให้ความหมายที่แตกต่างออกไป ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รู้โดยบังเอิญว่าใครเป็นคนถวายธูปหอมดอกนั้นให้ฮ่องเต้

เฉินลั่วมีความทะนงที่บางเรื่องก็ไม่อาจพูดกับผู้อื่นได้ แม้นปั๋วหมิงเย่ว์จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วยก็คือช่วย ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้ากับดวงตากระจ่างใสกลมโตที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหวังซีตรงหน้าแล้ว เขาพลันนึกถึงของขวัญขอโทษหนึ่งคันรถที่ปั๋วหมิงเย่ว์ส่งไปให้นางเหล่านั้นขึ้นมา ชั่วพริบตานั้นจึงเปลี่ยนความคิด ปากเร็วกว่าความคิดรีบตัดจบหัวข้อสนทนาดังกล่าวลง กล่าวว่า “เล่าแล้วเรื่องคงยาว”

เขาเรียบเรียงเรื่องที่จะเล่าใหม่อีกครั้ง ตัดปั๋วหมิงเย่ว์ออกไปจากหัวข้อสนทนาโดยสัญชาตญาณ “ข้าคิดมาตลอดว่าเรื่องของพระตำหนักเฉียนชิงนั้น ไม่อาจมองข้ามสำนักกิจการภายในไปได้ จึงส่งคนไปจับตาดูสำนักกิจการภายในอีกครั้ง”

คำพูดของเฉินลั่วฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่หวังซีรู้ว่า สำนักกิจการภายในใหญ่ขนาดนั้น แล้วจะจับตาผู้ใด จับตาอย่างไร ล้วนมิใช่เรื่องง่ายเลย แต่เฉินลั่วทำสำเร็จได้ เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถมาก

นางฟังอย่างตั้งใจ

“จากนั้นค้นพบว่าธูปดอกนี้ส่งเข้ามาจากวัดต้าเจวี๋ย”

ซึ่งก็หมายความว่า เรื่องที่เฉินลั่วสงสัยในตอนแรกนั้นมีเหตุผล

“แต่สุดท้ายแล้วใครเป็นคนทำธูปหอมดังกล่าวนั้นกลับยังสืบไม่เจอ” เฉินลั่วกล่าว สีหน้ามีความดุดันสายหนึ่งวาบผ่าน “เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจึงไม่ได้สืบต่อ”

เนื่องจากจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนทำธูปหอม แต่อยู่ที่ใครเป็นคนถวายธูปหอมดังกล่าวให้ฮ่องเต้ ใครคือคนที่ฮ่องเต้ให้ความไว้วางพระทัยมากที่สุดต่างหาก

หวังซีพยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีคิดของเฉินลั่ว

“ต่อมาข้าพบว่าหนิงผิน พระมารดาขององค์ชายเจ็ด” เฉินลั่วกล่าว หลุบตาลง ทำให้หวังซีอ่านความรู้สึกของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก “หนิงผิน พระมารดาขององค์ชายเจ็ดเป็นคนถวายธูปหอมดังกล่าวให้ฮ่องเต้ นอกจากนี้ข้าสืบพบว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ยามฮ่องเต้เสด็จไปหลบร้อนที่อุทยานตะวันตกล้วนมีหนิงผินตามเสด็จไปด้วย แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ตอนนั้นพวกข้าเองก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน ทว่าไม่มีใครสัมผัสถึงการมีอยู่ของนางเลย ราวกับว่าหนิงผินเป็นเพียงเงาสายหนึ่ง ที่หากไม่ตรวจสอบให้ละเอียด พวกข้าก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของนาง”

ยังมีเรื่องเงินของท่าเรือที่ค่ายเทียนจินอีก ก็ไหลเข้ามือญาติผู้พี่ของหนิงผินเช่นกัน

แต่นี่กำลังบอกอะไรเล่า?

จักรพรรดิโปรดโอรสองค์โต คนธรรมดาเอ็นดูบุตรชายคนเล็ก แต่บางครั้งจักรพรรดิก็เปลี่ยนเป็นคนธรรมดาได้ มีความรู้สึกเฉกเช่นคนทั่วไป ที่เอ็นดูบุตรชายคนเล็ก รักและเชื่อใจอนุภรรยาเด็ก

แต่เฉินลั่วไม่ใช่คนชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาหวาดกลัวเรื่องนี้มากขนาดนี้ นั่นย่อมต้องมีเหตุผล

หวังซีเชื่อความรู้สึกของเฉินลั่ว กล่าวว่า “เจ้ายังมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกข้าใช่หรือไม่”

มีเพียงเช่นนี้ ถึงอธิบายได้ว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงสนใจธูปหอมที่พระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นไม่ยอมปล่อย และเหตุใดถึงสนใจหนิงผินที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิไม่ยอมปล่อย

เฉินลั่วมองหวังซีอยากพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป

ไม่ว่าตอนไหน หวังซีล้วนไม่ใช่คนที่ชอบทำให้ผู้อื่นลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินลั่ว นางกล่าว “หากเจ้าไม่อยากบอกข้า ก็ไม่ต้องบอกข้าก็ได้ เจ้าเพียงบอกมาว่ามีอะไรที่ข้าช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง เจ้าเพียงสั่งการมาก็พอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เฉินลั่วตอบอย่างร้อนใจเล็กน้อย คล้ายกลัวนางเข้าใจผิดก็ไม่ปาน กล่าวว่า “มิใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเจ้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจะบอกเจ้าอย่างไรดี”

เพราะน่าละอาย? หรือเพราะน่าเหลือเชื่อเกินไป?

………………………………………………………………………..

ตอนต่อไป