ทั้งสองรอเพียงไม่นาน เซียวลิ่วหลังก็เดินมาหาจากทางโรงเรียน ด้านหลังเขามีเฝิงหลินกับกู้เสี่ยวซุ่นตามมาด้วย
หมู่นี้เฝิงหลินก็มากินข้าวด้วยกันกับพวกเขาบ่อยๆ
ผู้ดูแลโจวยิ้มพลางเดินไปหา แล้วประสานมือทักทายให้ “เซียวซิ่วไฉ!”
สายตาเขาตกลงบนร่างของเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเอ่ยแนะนำว่า “นี่น้องชายข้ากู้เสี่ยวซุ่น เพื่อนร่วมชั้นกับเฝิงหลิน”
ผู้ดูแลยิ้มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “อ่า ที่แท้ก็คือสหายกู้กับสหายเฝิงนี่เอง เสียมารยาทให้แล้ว”
เฝิงหลินประสานมือคำนับคืน
กู้เสี่ยวซุ่นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนถามเซียวลิ่วหลังว่า “พี่เขย เขาเป็นใครหรือ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ผู้ดูแลของตระกูลหลิน แซ่โจว”
“หา เขานี่เอง!” กู้เสี่ยวซุ่นย่อมรู้เรื่องที่พี่เขยของเขาต้องสอนหนังสือคนอื่น พี่เขยครึ่งปีมานี้เหมือนโดนผีเข้า ผลการเรียนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่อยากมาขอให้เขาสอนมีไม่น้อยเลยด้วย
ผู้ดูแลโจวจูงหลินเฉิงเยี่ยมาหา แล้วแนะนำให้เซียวลิ่วหลังว่า “นี่คือท่านชายหกของข้า หลินเฉิงเยี่ย เขานิสัยเก็บตัว พูดน้อย ต่อไปก็รบกวนเซียวซิ่วไฉดูแลด้วย”
เซียวลิ่วหลังมองเขาพลางเอ่ยว่า “วันนี้ต้องสอบก่อน สอบผ่านจึงเข้าได้ เข้าใจหรือไม่”
หลินเฉิงเยี่ยพยักหน้า “อืม เข้าใจ”
ไม่ได้เผยไต๋ออกมา ผู้ดูแลโจวแอบพรูลมหายใจ
อันที่จริงเขาสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร อย่างมากจับยัดไว้ที่หอจงเจิ้งของเจ้าสำนักหลี ตนโดดเรียนมาสอนเพิ่มเติมให้เขาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ประโยคนี้เซียวลิ่วหลังไม่ได้เอ่ยออกไป
เซียวลิ่วหลังเดินนำหลินเฉิงเยี่ยไปหาเจ้าสำนักหลี
เจ้าสำนักหลีเพื่อเอาชนะใจศิษย์รักจึงยอมแหกกฎข้อแรกอย่างการทำเรื่องติดสินบน
ทว่าหลินเฉิงเยี่ยกลับเรียกได้ว่าใจสู้ เขาทำข้อสอบที่เจ้าสำนักหลีให้เขาโดยไม่ขาดตกแม้แต่ใบเดียว ผลการเรียนเรื่องพระคัมภีร์กับบทร้อยแก้วเบ็ดเตล็ดนั้นพอทำเนา แต่ความเรียงแปดขาแย่อยู่หน่อย ทว่าก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับเข้าเรียนได้
เขาถูกจัดให้อยู่ห้องสองของเซียวลิ่วหลัง นั่งโต๊ะเดียวกันกับเซียวลิ่วหลัง
หลินเฉิงเยี่ยไม่พักที่หอพัก ผู้ดูแลโจวจ่ายเงินซื้อบ้านในเขตโรงเรียนไปก้อนใหญ่ทีเดียว
เซียวลิ่วหลังหาเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ มาสอนเสริมให้เขาทุกวัน ตอนเที่ยงหนึ่งชั่วยาม หลังเลิกเรียนครึ่งชั่วยาม ตอนเช้าหากมาเช้าก็ยังสอนเสริมให้อีกครึ่งชั่วยาม
“อ่า เซียวซิ่วไฉก็พักอยู่ที่นี่ด้วยกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทาง” ผู้ดูแลโจวยิ้มพลางเสนอแนะ
“ภรรยาข้าจะโกรธเอาได้” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ผู้ดูแลโจว “…”
ผู้ดูแลโจวที่รั้งเซียวลิ่วหลังไว้ไม่ได้ทำได้เพียงใช้อีกหนทางหนึ่ง อย่างเช่น ใช้รถม้าอันหรูหราวิ่งได้เป็นพันลี้ของบ้านตนแทนรถเทียมวัวของลุงหลัวเอ้อร์ และอย่างเช่น จัดหามื้อเที่ยงและสถานที่พักผ่อนนอนกลางวันให้แก่พวกเซียวลิ่วหลังทั้งกลุ่ม
กู้เหยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงที่เป็นคนต้องนอนกลางวัน นอนอยู่ห้องปีกข้างดีกว่าฟุบหมอบที่ห้องเรียนเป็นไหนๆ เซียวลิ่วหลังจึงไม่ได้มีความเห็นต่างต่อการจัดการต่อสองอย่างนี้
เนื่องจากสอนเสริมให้แก่หลินเฉิงเยี่ย ตอนที่พวกเขากลับมาถึงหมู่บ้านจึงมืดค่ำแล้ว ทว่ารู้ดีว่าเซียวลิ่วหลังทำไปเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว กู้เหยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงจึงไม่ได้บ่นอะไร
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นตั้งอกตั้งใจแกะสลักไม้อยู่ จึงยิ่งไร้คำพร่ำบ่นเข้าไปใหญ่
“หิวแล้วกระมัง กินข้าวที่นี่ดีกว่ากระมัง” ผู้ดูแลโจวเอ่ยกับพวกกู้เหยี่ยนทั้งสามคน
ทั้งสามคนต่างเอ่ยกันอย่างพร้อมเพรียงว่า “ไม่!”
ผู้ดูแลโจวนิ่งอึ้ง ไม่สิ อาหารที่นี่ไม่หอมหวนชวนกินหรือไร เชิญพ่อครัวใหญ่มาทำเชียวนะ! แค่เหนียงจื่อคนนั้นที่บ้านพวกเจ้าก็มีฝีมือดีกว่าพ่อครัวใหญ่อีกหรือ
ทั้งสามคน เจียวเจียว (พี่สาวข้า) ทำอาหารอร่อยเพียงใด พวกเจ้าคนธรรมดาไม่มีทางจินตนาการได้หรอก!
การสอบขุนนางระดับมณฑลสามปีมีครั้งหนึ่ง เซียวลิ่วหลังบังเอิญที่ปีนี้สอบได้ซิ่วไฉ ปีนี้จึงสามารถสอบระดับมณฑลได้ ทว่ามีผู้สอบไม่น้อยที่กลับต้องรอถึงสองปีเต็ม
การสอบระดับมณฑลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศของสำนักบัณฑิตจึงตึงเครียดกว่าเมื่อก่อน กระทั่งบรรดาอาจารย์ก็ไม่มามัวเสียเวลาแล้ว เริ่มจำลองการสอบระดับมณฑลและเกร็งข้อสอบให้กับบรรดาผู้สอบทุกวัน
เซียวลิ่วหลังก็ตั้งโจทย์ให้หลินเฉิงเยี่ยเช่นกัน ซ้ำคำถามที่เขาตั้งยังเหนือชั้น ลึกซึ้งและมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งกว่าของบรรดาอาจารย์เสียอีก หลินเฉิงเยี่ยยิ่งสงสัยเซียวลิ่วหลังหนักขึ้นกว่าเดิมว่าทุกคืนไม่หลับไม่นอน ตั้งอกตั้งใจเปิดคำภีร์สี่ห้าเล่มมาออกคำถามที่ไม่เคยมีใครท่องมาก่อนเหล่านั้นใช่หรือไม่!
เที่ยงวันนี้ กู้เหยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงไปนอนกลางวันที่ห้องปีกข้าง กู้เสี่ยวซุ่นแกะสลักไม้อยู่ในเรือน
หลินเฉิงเยี่ยถูกโจทย์ของเซียวลิ่วหลังทำเอามึนงงตาแตก
ผู้ดูแลโจวเฝ้าอยู่หน้าประตู จู่ๆ บ่าวรับใช้นายหนึ่งก็มาหา
ผู้ดูแลโจวขยับไปด้านข้างพลางกระซิบเอ่ยว่า “มีอะไรรึ”
“หอพักม้าถูกน้ำท่วมแล้ว พี่ใหญ่เจิ้งถูกน้ำซัดไป ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะกลับมาถึงจวนตระกูลหลิน ยามนี้กำลังพักรักษาตัวที่จวนตระกูลหลินอยู่ขอรับ”
พี่ใหญ่เจิ้งคือชายหนุ่มที่มาเชิญกู้เจียวตั้งแต่ตอนนั้น เขาเป็นลูกชายของรองผู้ดูแลคนหนึ่งของตระกูลหลิน
คราก่อนเซียวลิ่วหลังปฏิเสธจะพักที่บ้านตระกูลหลิน ชายหนุ่มแซ่เจิ้งจึงเดินทางกลับจวนไป ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะเจออุทกภัยเข้า
“เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อใด”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อนขอรับ”
เส้นทางไปในเมืองเป็นเส้นทางขึ้นเขา การเดินทางจึงค่อยข้างล่าช้า แต่จากในเมืองมาที่นี่นั้นเป็นทางลงเขา การเดินทางจึงค่อนข้างรวดเร็ว นี่จึงทำให้หลินเฉิงเยี่ยที่เดินทางจากในเมืองมารอดพ้นจากอุทกภัยครั้งใหญ่ไปได้อย่างสวยงาม
ทว่าหากตอนนั้นเซียวลิ่วหลังไปที่เมืองด้วยกันกับผู้ดูแลโจวล่ะก็ ยามนี้เกรงว่าจะเหมือนชายหนุ่มแซ่เจิ้งคนนั้นที่เจออุทกภัยเข้าที่หอพักม้า
เซียวลิ่วหลังกลับออกมาจากการสอนเสริมให้หลินเฉิงเยี่ย ก็เห็นผู้ดูแลโจวท่าทางเหมือนรอดชีวิตจากภัยพิบัติ จึงอดถามไม่ได้ว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นรึ”
“อ่อ คืออย่างนี้” ผู้ดูแลโจวเล่าเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่หอพักม้าเมื่อครึ่งเดือนก่อนให้ฟัง
หอพักม้าแห่งนั้นเซียวลิ่วหลังรู้จัก เป็นหอพักม้าแห่งเดียวที่อยู่บนถนนหลวง อีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่พวกเขาต้องไปในเมือง ก็จะต้องเข้าหอพักม้านั้นไป
วิเคราะห์จากเวลาแล้ว สามารถเจออุทกภัยเข้าได้พอดี
แต่หลินเฉิงเยี่ยนั้นไม่ การมาจากในเมืองนั้นรวดเร็ว ครึ่งเดือนเขาก็ผ่านหอพักม้านั้นมาไกลโขแล้ว
เซียวลิ่วหลังนึกถึงที่กู้เจียวห้ามตนไปในเมืองได้
ความบังเอิญเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว…
เพราะนางให้เขาซื้อขนมกุ้ยฮวา เขาจึงรอดพ้นจากเหตุการณ์วุ่นวายที่โรงหมอมาได้
เพราะนางมาหาเขาเพื่อกินมื้อเที่ยงด้วย เขาจึงรอดพ้นจากเหตุการณ์ห้องนอนพังถล่มได้
และเพราะนางต้องการนอนค้างแรมที่เมือง เขาจึงไม่โดนพายุหิมะระหว่างทาง
ครั้งสองครั้งคือความบังเอิญ ครั้งที่สามที่สี่นั้นคือจงใจแล้ว
ยามเย็นมาถึง เซียวลิ่วหลังมาถึงบ้านแล้วก็ไปห้องครัวเพื่อช่วยกู้เจียว
กู้เจียวทำกับข้าว เขาจุดไฟเติมฟืน
บนเตาไฟมีหม้อสองใบถูกใช้งานอยู่ ด้านหนึ่งนึ่งมันฝรั่งหวานและขนมรังนกที่ทำจากแป้งข้าวโพด อีกด้านหนึ่งต้มน้ำแกงเห็ดหูหนูป่า น้ำแกงข้นเดือดปุดๆ เสียงดัง ทั่วทั้งห้องครัวหอมหวนชวนน้ำลายสอ
เซียวลิ่วหลังหักกิ่งไม้แห้งมากิ่งหนึ่ง ก่อนโยนใส่เตาไฟ แล้วเอ่ยคล้ายไม่ได้ตั้งใจขึ้นว่า “วันนี้ผู้ดูแลโจวบอกว่า หอพักม้าฉีซานเกิดอุทกภัยขึ้นเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว โชคดีที่ข้าไม่ได้ไปในเมือง มิฉะนั้นคงโดนน้ำพัดไปแน่”
กู้เจียว “อ้อ”
เซียวลิ่วหลังเหลือบตามองนาง “เจ้าไม่ตกใจรึ”
กู้เจียวชะงัก “โอ๊ะ!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เซียวลิ่วหลังถามนางว่า “เจ้ารู้ว่าจะเกิดอุทกภัยใหญ่ใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ไม่นี่”
เซียวลิ่วหลังมองนางอย่างลึกล้ำ แล้วก้มหน้าลงหักกิ่งไม้แห้ง “ไปในเมืองครานี้ ข้ากะว่าจะพักที่ตระกูลหลิน”
มือกู้เจียวที่ถือไม้พายอยู่พลันชะงัก “บอกว่าจะไม่พักไม่ใช่หรือ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “บ้านตระกูลหลินสะดวกกว่า อีกอย่างข้าก็ถามผู้ดูแลโจวแล้ว ผู้ดูแลโจวบอกว่า คุณหนูบ้านตระกูลหลินแม้จะงดงาม แต่ก็ออกเรือนกันหมดแล้ว ไม่มีใครโสดอยู่สักคน เจ้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นเลย”
นางกังวลเรื่องคุณหนูตระกูลหลินหรือไร นางกังวลลูกพี่ลูกน้องตระกูลหลินต่างหาก!
โชคดีในครึ่งชีวิตหลังเขาอะไรนั่นน่ะ เขาจะเอาไม่เอากันแน่!
กู้เจียวข่มโทสะไว้ ซ้ำยังไม่อาจโพล่งออกไปได้ ทันใดนั้นใบหน้าดวงน้อยก็ทะมึนขึ้น!
เซียวลิ่วหลังโดนท่าทางอยากระบายอารมณ์ทั้งไม่อยากระเบิดออกมาของนางทำเอาขำจะแย่
เดิมทีบทสนทนายังจะดำเนินต่อไป ทว่ายามนี้เสี่ยวจิ้งคงอุ้มลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งวิ่งตึงตังเข้ามาด้วยความโมโหเสียก่อน “เจียวเจียว! หมาพี่กู้เหยี่ยนกัดลูกเจี๊ยบข้า!”
สุนัขตัวน้อยของกู้เหยี่ยนก็พักอยู่ที่นี่เช่นกัน คนทั้งครอบครัวจึงได้รู้ซึ้งแล้วว่าอะไรคือไก่บินหมากระโดดที่แท้จริง
ขอแค่เจ้าลูกสุนัขตัวน้อยกับลูกเจี๊ยบออกจากกรงพร้อมกัน ก็สามารถกัดกันจนขนหมาขนไก่เกลื่อนพื้นได้แล้ว
ลูกสุนัขตัวโตแต่สู้จำนวนของลูกเจี๊ยบไม่ได้ ซ้ำยังตั้งท่าวางมาดจะกัดกันอีก เมื่อทั้งสองฝ่ายสู้กันขึ้นมาล้วนไม่มีใครกลัวใครเลย
กู้เจียวถามเขาว่า “ลูกเจี๊ยบของเจ้าได้จิกลูกสุนัขของพี่กู้เหยี่ยนเป็นแผลหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงพลันเงียบไป
เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า “กับข้าวห๊อมหอม! จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีการบ้านที่ยังไม่ได้ทำเลย ข้าไปทำการบ้านก่อนนะ!”
คนร้ายที่มาฟ้องก่อนอย่างเณรน้อยบางคนกระโดดโหยงเหยงออกไป มั่นใจได้เลยว่าตนกระโดดได้น่ารักน่าเอ็นดูไร้เทียมทาน เจียวเจียวถูกตนล่อลวงจนหมดหนทางจะถอนตัวขึ้นแล้วลืมโกรธได้แน่
เขากระโดดพลางยัดลูกเจี๊ยบกลับเข้าเล้าไก่ไป จากนั้นก็วิ่งตึงตังจนไร้เงาหายไปในพริบตา!