บทที่ 106.2 รักษา แผนการของเณรน้อย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

“เจ้ารออยู่ข้างนอกก่อน” คล้ายว่าชายหนุ่มจะเป็นองครักษ์เช่นกัน เขาขวางเถ้าแก่รองไว้นอกประตูด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง แล้วปล่อยกู้เจียวเข้าไปด้านใน

ในขณะที่องครักษ์หนุ่มกำลังจะสาวเท้าเข้าไปนั้น จู่ๆ กู้เจียวก็บอกเขาว่า “เจ้าก็รออยู่ข้างนอกด้วย”

องครักษ์หนุ่ม “…”

ไม่รอให้องครักษ์หนุ่มได้ตอบโต้ นางก็ปิดประตูเสียงดังโครมทันที!

องครักษ์หนุ่ม “…”

เถ้าแก่รองกลั้นขำจนจะทนไม่ไหวแล้ว

ยิ่งคบค้าสมาคมกับกู้เจียวก็ยิ่งพบว่านางเข้าข้างพวกเดียวกันเป็นอย่างมาก พอได้เข้าข้างก็ไม่มีขอบเขต

ภายในห้องมีฉากบังลมกางกั้น นอกฉากบังลมมีคนรับใช้คอยรับใช้อยู่สองคน

คนรับใช้ที่ยังหนุ่มอายุกลับไม่น้อยแล้ว พอๆ กันกับกู้ฉังไห่และกู้ฉังลู่ ทว่าบนกลับให้ความรู้สึกเคร่งขรึมและอ่อนโยนเป็นพิเศษ ไม่ค่อยเหมือนบุรุษธรรมดาทั่วไป

ในขณะที่กู้เจียวใกล้จะเดินอ้อมฉากกั้นมานั้น คนรับใช้หนึ่งในนั้นก็ยื่นมือมาขวางนางไว้ “โปรดหยุดก่อน”

“จะทำอะไร” กู้เจียวถาม

คนผู้นั้นหยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะปิดตานางไว้

กู้เจียวปัดมือเขาออก เอ่ยเสียงเรียบว่า “ปิดตาข้าไว้แล้วข้าจะตรวจคนไข้อย่างไร”

คนรับใช้เอ่ยว่า “เจ้าจับชีพจรเอาก็ได้”

กู้เจียวเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หมอโบราณให้ความสำคัญกับการมอง ดม ถาม และคลำจับชีพจร แค่จับชีพจรอย่างเดียวนั้นเจ้าเห็นข้าเป็นหมอเทวดาหรือไร”

คนรับใช้ขมวดคิ้วมุ่น ในขณะที่กำลังจะตวาดอะไรใส่นั้น คนด้านหลังฉากบังลมก็เอ่ยเสียงแหบแห้งขึ้นว่า “ให้นางเข้ามา”

คนรับใช้รีบค้อมกายไปทางฉากบังลมทันที “ขอรับ”

กู้เจียวอ้อมฉากบังลมมาถึงข้างเตียง

บุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ในม่านมุ้ง เผยออกมาแค่มือผอมแห้งข้างหนึ่ง

กู้เจียวนั่งลงบนม้านั่งก่อนจะจับชีพจรให้เขา

“แม่นางต้องการดูอะไร ดูไปก็ได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางทำท่าจะเลิกม่านขึ้น

จู่ๆ กู้เจียวก็จับข้อมือเขาเอาไว้ “ไม่ต้องหรอก สิ่งที่ข้าจะดูไม่ใช่หน้าของเจ้า”

คนใหญ่คนโตเช่นนี้ มองหน้าเขาไปนางยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ

กู้เจียวใช้ม่านมาบังหน้าเขาไว้ เผยให้เห็นตำแหน่งตั้งแต่บั้นเอวลงไป

หลังจากตรวจดูแล้ว ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นก็พลันแดงเรื่อขึ้น

กู้เจียวสีหน้าราบเรียบดั่งผืนน้ำ

บุรุษผู้นั้นกระแอมขึ้น “ขอถามแม่นางหน่อย ข้าป่วยเป็นอะไรหรือ”

กู้เจียวมองฉากบังลมแวบหนึ่ง บุรุษผู้นั้นนึกขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “พวกเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ แม่นางแค่ว่ามาก็พอ”

“อ้อ” คนป่วยยังไม่สนใจ เช่นนั้นนางที่เป็นหมอก็ยิ่งไม่ต้องพะว้าพะวงอะไรแล้ว

“กามโรคน่ะ” กู้เจียวบอกไปตามตรง

“เหลวไหล!” คนรับใช้นอกฉากบังลมคนหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาถลึงตาใส่กู้เจียวอย่างเดือดดาล “นายท่าน…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกบุรุษบนเตียงตวาดเสียงดุดันว่า “หุบปาก! ถอยไป!”

คนรับใช้กัดฟัน ถอยไปด้านหลังฉากบังลม

“ล่วงเกินเข้าแล้ว ขอแม่นางโปรดอภัยด้วย” น้ำเสียงและลมหายใจของบุรุษกลับไม่ได้มีความหวาดกลัวมากนัก ทว่าเห็นได้ชัดทีเดียวว่าเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย

“เจ้าเองก็คงรู้อยู่แล้วกระมัง” กู้เจียวถาม

บุรุษผู้นั้นพยักหน้าอย่างเศร้าโศก

เคยมีหมอมาตรวจให้แล้ว และเคยบอกว่าเขาเป็นกามโรคเช่นกัน แต่เขาไม่อยากเชื่อมาโดยตลอดก็เท่านั้น

เขาไม่เคยเกลือกกลั้วกับดอกไม้งามด้านนอกเลย จะเป็นกามโรคได้อย่างไร

กู้เจียวไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากนัก นางแค่บอกวิธีการแพร่เชื้อของกามโรคแก่เขาเพียงสองสามวิธีเท่านั้น ส่วนเรื่องติดเชื้อมาได้อย่างนั้นก็ให้เขาไปครุ่นคิดเอาเอง

กู้เจียวเอ่ยต่อว่า “อาการป่วยของเจ้าเป็นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ระยะที่สองเข้าไปแล้วด้วย หากยังไม่รักษาอีกจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว”

กามโรคระยะแรกกับระยะที่สองยังค่อนข้างรักษาได้ง่ายอยู่ แม้ว่าระยะสุดท้ายจะควบคุมเอาไว้ได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั้นกลับไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้

บุรุษผู้นั้นเงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “แล้วแม่นางรักษาข้าให้หายได้หรือไม่”

กู้เจียวเหลือบตามองเขา “รักษาไม่ได้ข้าจะเข้ามาทำอะไร“

บุรุษผู้นั้นนิ่งอึ้ง “จะ…เจ้ารักษาได้จริงๆ หรือ”

กู้เจียววางตะกร้าใบเล็กลง “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ทางที่ดีเจ้าให้พวกเขาออกไปก่อน พวกเขาเอาแต่ตื่นตูมอยู่ที่นี่ จะกระทบต่อการรักษาของข้า”

บุรุษผู้นั้นมองฉากบังลมพลางเอ่ยเสียงเคร่งว่า “ได้ยินหรือยัง ออกไปให้หมด”

“นายท่าน!”

“อยากให้ข้าพูดเป็นครั้งที่สองรึ”

“ข้าน้อยมิกล้า”

ทั้งสองคนทั้งเป็นห่วงทั้งจนปัญญาเดินออกไป

“เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันออกมาเล่า” องครักษ์หนุ่มถาม

คนรับใช้หนึ่งในนั้นเอ่ยว่า “นายท่านให้พวกข้าน้อยออกมาขอรับ พวกข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ แต่นางเป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้น อ่อนแอไร้กำลัง แค่มองก็รู้แล้วว่าไร้วรยุทธ์ ไม่มีทางทำอะไรนายท่านของพวกเราได้แน่…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ องครักษ์หนุ่มก็กำหมัดแน่นบุกเข้าห้องไป ทว่ายังไม่ทันจะเปิดประตูออกจนสุด ก็ถูกกู้เจียวเตะออกมาด้วยความรวดเร็ว!

องครักษ์หนุ่มเหมือนกระสอบทรายที่ถูกยิงทิ้ง ชนกระแทกกับต้นไม้เสียงดังตุ้บ แล้วห้อยคว่ำลงบนกิ่งไม้

องครักษ์หนุ่มบ้วนใบไม้เละออกจากปาก นะ…ไหนบอกว่าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไง

กู้เจียวลงกลอนประตู แล้วหยิบเพนิซิลลินเข็มหนึ่งออกมาจากกล่องยาใบน้อย “ส่งมือมาให้ข้า”

บุรุษผู้นั้นมองหัวเข็มแปลกประหลาดโดยมีม่านกั้นอยู่ ก็เกิดความกลัวขึ้นมาพิกล “เจ้าจะทำอะไร”

กู้เจียวเอ่ยว่า “ฉีดยาให้เจ้า หากอยากหายก็ฟังคำข้าเสีย”

บุรุษผู้นั้นแสดงออกว่าตัวเองไม่อยากเชื่อฟัง

กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริงว่า “เฮ้อ ข้าเป็นหมอของโรงหมอ คนทั่วทั้งโรงหมอต่างถูกคนรับใช้ของเจ้าคุมตัวไว้หมดแล้ว เจ้าคิดว่าข้าทำร้ายเจ้าแล้วข้ายังจะสามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัยรึ”

บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่ากู้เจียวพูดมีเหตุผล แต่เขาก็ไม่ได้สงสัยว่ากู้เจียวจะมีเจตนาร้ายแอบแฝง เขาแค่กลัวเข็มเท่านั้นเลยจริงๆ!

กู้เจียวคว้าเอาข้อมือเขามาอย่างเด็ดขาด นางมีวิธีจัดการกับคนไข้ดื้อๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียว บุรุษผู้นั้นกระทั่งปฏิกิริยาก็ยังไม่ทันจะตอบโต้ กู้เจียวก็ลงเข็มเรียบร้อยแล้ว

บุรุษผู้นั้นมองตุ่มเล็กๆ บนข้อมือ “…หืม”

ยาที่ดีที่สุดในการรักษากามโรคนั้นคือเพนิซิลลิน น่าเสียดายที่สมัยโบราณไม่มีเพนิซิลลิน ดังนั้นการรักษาที่ต้นเหตุจึงยุ่งยากมาก ทั้งยังมีตัวอย่างการรักษาน้อยนิด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดบุรุษคนนี้จึงรู้สึกว่าตัวเองไร้ความหวัง

ทว่าโรคนี้มาอยู่ในมือกู้เจียวแล้ว จึงไม่ใช่โรคที่ไม่มีทางรักษาหายได้

ผลลัพธ์การลองเข็มแสดงออกมาแล้วว่าเขาไม่แพ้

กู้เจียวจึงชูหลอดเข็มเดินมาหาเขา “ทนหน่อยนะ”

บุรุษผู้นั้นแค่เห็นว่าเข็มเล่มนี้ใหญ่กว่าเมื่อครู่หลายเท่าก็ตกใจจนมือเท้าวาดกวาดไปทั่ว!

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นชายตำแหน่งสูงมีอำนาจใหญ่โตเพียงใดล้วนอาจกลัวเข็มกันได้ทั้งนั้น!

“โอ๊ย…” บุรุษผู้นั้นกัดหมอน ข่มกลั้นความทรมานที่น่ากลัวที่สุดมาจนถึงตอนนี้

กู้เจียวเก็บของเรียบร้อยแล้ว เอ่ยกับเขาว่า “กักตัวให้ดี อีกเจ็ดวันค่อยมาใหม่”

ทางด้านผู้ดูแลโจวหลังจากเจรจากับเซียวลิ่วหลังแล้ว ก็ส่งนกพิราบส่งจดหมายกลับมาที่บ้านตระกูลหลินในเมืองทันที

นายท่านหลินทราบมาว่าเซียวลิ่วหลังยินยอมสอนลูกชายของตน แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ลูกชายไปขอร้องว่าต้องการเรียนด้วยถึงบ้าน นายท่านหลินไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับตัวลูกชายมาส่งให้ทันที

ด้วยเหตุนี้ยามบ่ายที่ดวงตะวันเจิดจ้าวันหนึ่ง หลินเฉิงเยี่ยที่ขาวหยวกอ้วนพลีก็มาปรากฏตัวตรงหน้าประตูสำนักบัณฑิตเทียนเซียง

หลินเฉิงเยี่ยใบหน้าอ่อนเยาว์ อายุยี่สิบเอ็ดแล้วชัดๆ แต่ดูแล้วกลับเหมือนสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น

เขาหอบถุงหนังสืออันหนักอึ้ง ทั้งตึงเครียดทั้งกระวนกระวายถามว่า “ทะ…ที่นี่ใช่หรือไม่” เขาเป็นคนพูดติดอ่าง ข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ ยิ่งตื่นเต้นตึงเครียดก็ยิ่งติดอ่าง

ผู้ดูแลโจวแอบส่ายหน้า เป็นเด็กที่รู้ความแล้วนะ แต่ก็ยังจะติดอ่างอีก ไม่รู้ว่าเข้าเรียนแล้วจะถูกคนหัวเราะเยาะรังเกียจเอาหรือไม่

ถูกต้อง หลินเฉิงเยี่ยโตจนป่านนี้แล้วยังเชิญอาจารย์ซีสีมาที่บ้านมาโดยตลอด เพราะกังวลว่าหากเขาไปโรงเรียนแล้วจะโดนคนหัวเราะเยาะเอา

ยามนี้ช่วยไม่ได้แล้ว แม้หลินเฉิงเยี่ยจะสอบได้ซิ่วไฉ แต่ก็เป็นแค่เจิงเซิงคนหนึ่งเท่านั้น หากอยากจะโดดเด่นท่ามกลางนักเรียนหลิ่นเซิงมากมาย เขายังต้องพยายามมุมานะอีกมาก

“ที่นี่ล่ะ” ผู้ดูแลโจวเอ่ยกำชับด้วยน้ำใสใจจริงว่า “อีกเดี๋ยวเซียวซิ่วไฉออกมาแล้ว จำคำพูดที่ข้าบอกกับท่านชายหกได้หรือไม่”

“จะ…จำได้” หลินเฉิงเยี่ยพยักหน้า “พะ…พูดให้น้อย!”

ผู้ดูแลโจวพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ถูกต้อง พูดให้หน่อย แบบนี้จะได้ไม่มีใครรู้ว่าท่านชายหกติดอ่าง”

“อืม” หลินเฉิงเยี่ยก้มหน้าลง