บทที่ 112 ครอบครัวของหลู่ชิง

“หัวหน้าหมู่บ้าน หากปลูกสมุนไพรไม่ขึ้นและมันเทศก็ปลูกไม่ได้เช่นนี้ พวกเราจะไม่อดตายกันหรือ?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น

หลี่โหยว่ไฉ่ไม่พูดอะไร ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าสมุนไพรจะปลูกได้หรือไม่ ? ในขณะที่เขากำลังกังวลถังหลี่ก็พูดขึ้นมา

“ข้ามีข้อเสนอ”

“ฮูหยินเว่ยเชิญกล่าว” หลี่โหยวไฉ่พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าไม่จำเป็นจะต้องปลูกสมุนไพรทั้งไร่ แค่ลองแบ่งพื้นที่ปลูกส่วนหนึ่งเท่านั้น และเลือกสมุนไพรที่เติบโตได้ง่าย” ถังหลี่กล่าว

“ฮูหยินเว่ยพูดถูกแล้ว!” ดวงตาของหลี่โหยวไฉ่เป็นประกาย

“ตอนนี้เป็นฤดูหนาว อย่างไรเสียก็ไม่อาจปลูกพืชผักได้ พวกเจ้าต้องลองปลูกสมุนไพรไปก่อน หากมันไม่ได้ผลผลิตที่ดีนัก ในฤดูเพาะปลูกปีหน้าก็ยังกลับมาปลูกพืชผักเช่นเดิมได้” หญิงสาวกล่าว

“แล้วสมุนไพรที่ปลูกในฤดูหนาวเล่า?” ชาวบ้านสงสัย

“ฮูหยินเว่ยบอกว่าจะรับซื้อ พวกเจ้าก็ลองตัดสินใจดู หากตัดสินใจได้ก็มาหาข้า” หลี่โหยวไฉ่กล่าว

บางคนมองไปที่ถังหลี่อย่างเคลือบแคลงสงสัยแล้วเดินจากไป

บางคนก็เดินเข้าไปขอบคุณถังหลี่และหัวหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็เดินทยอยกลับบ้านไปทีละคน

“ฮูหยินเว่ย ชาวบ้านบางคนก็พูดจาไม่เข้าหู เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย” ชายหนุ่มกล่าว

“ท่านไม่ต้องคิดมาก เราแค่หยิบยื่นโอกาสให้เขาเท่านั้น ถ้าหากเขาไม่รับไว้ก็ลืมไปเสีย” ถังหลี่พูดเสียงเรียบ ต่อให้ตั้งใจดีแค่ไหนก็อาจมีผู้คนคิดสงสัยหวาดระแวงได้เสมอ

หลี่โหยวไฉ่หัวเราะ ชายหนุ่มทุ่มเทสร้างประโยชน์ให้แก่คนในหมู่บ้านลี่เจียมาก เมื่อมีชาวบ้านพูดไม่ดีให้นางได้ยิน เขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา แต่พอได้ยินนางพูดแบบนั้นเขาก็โล่งใจมากขึ้น ถังหลี่พาลูกทั้งสองคนมากล่าวอำลากับหัวหน้าหมู่บ้าน ก่อนจะขอตัวกลับไปที่โรงงานผลิตถุงหอมพร้อมหลันฮวาและหมอซู

“หลันฮวาเอ๋อร์! ข้าให้เจ้า” จู่ ๆ ก็มีบุรุษผู้หนึ่งกระโดดมาขวางหน้าเด็กสาวเอาไว้ พร้อมกับยื่นซาลาเปาขาวใส่มือของนาง คนๆนั้นคือจูเฉิง

เมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นถังหลี่เขารู้สึกประหลาดใจมาก ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมทั้งกล่าวทักทายว่า

“เถ้าแก่เนี้ยถัง!”

จูเฉิงคือคนงานที่ไป๋เย่าถังของเถ้าแก่จาง เขามีหน้าที่จัดส่งสมุนไพรมาที่โรงงานทำให้ชายหนุ่มคุ้นเคยกับถังหลี่อย่างดี

รวมถึงเขารู้อีกด้วยว่าเป็นถังหลี่ที่ได้ช่วยหลันฮวาเอาไว้ จูเฉิงรู้สึกขอบคุณนางจากใจ เขาหยิบขนมบางอย่างออกมาจากห่อผ้าของเขาและส่งให้กับเอ้อร์เป่าและซานเป่า ทั้งสองรับมันไว้พร้อมกับขอบคุณอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท

ตอนนี้เอ้อร์เป่ากำลังจะฟันน้ำนมหลุด มารดาจึงห้ามไม่ให้เขาทานของหวาน เด็กชายรับขนมมาถือเอาไว้ในมือ

ถังหลี่พาทั้งสองคนเข้าไปในโรงงานถุงหอม ก่อนจะพูดคุยกับป้าเกาจนทราบว่าทั้งจูเฉิงและหลันฮวาได้ตกลงปลงใจจะแต่งงานกันแล้ว

“ฤกษ์ยามที่กำหนดไว้คือวันที่แปดเดือนสิบสอง” ป้าเกากล่าว

“ยินดีด้วย ข้าจะมาดื่มเหล้ามงคลในงานของพวกเขาแน่นอน!” ถังหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ดียิ่ง! เจ้ากับเว่ยฉิงต้องมานะ” ป้าเการีบเชื้อเชิญนาง

หากไม่ใช่เพราะถังหลี่ นางก็ไม่รู้ว่าชีวิตของนางจะเป็นเช่นไร นางกับหลันฮวาได้ทำงานที่โรงงานผลิตถุงหอมได้รายได้มากมาย เมื่อท้องหิวในครัวก็มีหมั่นโถวนึ่งร้อน ๆ มีข้าวสวยและเนื้อเสมอไม่ต้องทนหิวต่อไป อีกทั้งหลานสาวของนางยังได้พบบุรุษที่ดีและไว้ใจได้

สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณถังหลี่แต่เพียงผู้เดียว

“หากพ่อของหลันฮวาเอ๋อร์ยังอยู่ เขาคงจะต้องดีใจแน่…” ป้าเกาถอนหายใจ

ตอนนี้มีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งนี้ก็ยังเป็นเรื่องเดียวที่น่าเสียดายสำหรับนาง

หญิงสาวอยู่ที่โรงงานผลิตถุงหอมอีกสักพักใหญ่ จากนั้นจึงเดินทางกลับเข้าเมืองเหยาสุ่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองคน

วันถัดมา

เมื่อถังหลี่ไปที่โรงงาน หลู่ชิงถามหญิงสาวเกี่ยวกับบ้านใหม่ที่ต้องการหา

“ใช่แล้ว ข้าอยากหาบ้านให้พี่สาวของเว่ยฉิงน่ะ” ถังหลี่กล่าว

“เจ้าต้องการบ้านแบบไหน บอกข้ามาได้เลย?”

ถังหลี่บอกลักษณะบ้านที่นางต้องการ

“เจ้ามีบ้านให้ข้าเช่าหรือ?” นางถามอย่างสงสัย

“ข้าไม่มีหรอก แต่ข้าง ๆ บ้านของข้ามีบ้านว่างอยู่ ถังถังเจ้าอยากไปดูไหม แล้วไปที่บ้านข้าเสียหน่อยแม่ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้วเหมือนกัน” หลู่ชิงกล่าว

“ได้สิ ข้าจะไปเยี่ยมแม่ของเจ้าด้วย” ถังหลี่กล่าว

จะว่าไปแล้วนางกับหลู่ชิงนั้นก็รู้จักกันสนิทสนมกันมาสักพักใหญ่แล้ว ถังหลี่ควรไปเยี่ยมฮูหยินสกุลหลู่นานแล้ว แต่เพราะงานต่าง ๆ ที่มากมายทำให้ยังไม่มีโอกาสเสียที

ทั้งสองออกจากโรงงานก่อนเวลาเลิกงาน แล้วพากันเดินเข้าไปในตลาดที่อยู่รอบ ๆ บริเวณหน้าร้านเป่าชิงเก๋อ เวลาผ่านไปสักพักถังหลี่ก็มีของมากมายอยู่เต็มมือ

“ถังถัง เจ้าจะเอาอะไรไปมากมายขนาดนั้น หากเอาของมามากขนาดนี้ข้าจะไม่พาเจ้าไปบ้านข้านะ” หลู่ชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง

“อาชิงนี่คือของที่ข้าตั้งใจจะมอบให้แม่ของเจ้า เจ้าอย่าปฏิเสธน้ำใจข้าเลย” ถังหลี่กล่าว

“อืม…เจ้าพูดก็มีเหตุผล” หลู่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

นางไม่สามารถบังคับถังหลี่ได้ ที่ถังหลี่พูดมาเช่นนั้นก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น

“เอาล่ะไปกันเถิด จะได้ทันเวลาอาหารเย็น” ถังหลี่กับหลู่ชิงเดินจับมือกันออกไปหน้าบริเวณปากตรอก

ที่บริเวณหน้าปากตรอกนั้นเอง ทั้งสองคนได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเตร่ราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่ แต่แล้วเมื่อเขาได้เห็นหลู่ชิงเดินมาดวงตาก็วาวโรจน์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“อาชิง!”

สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

“เจ้ามีอันใดหรือ?” หลู่ชิงถาม

“อาชิงนี่สำหรับเจ้า หากเจ้าติดไว้บนผมต้องอย่างงดงามแน่นอน” เขาถือดอกไม้ที่ทำจากไข่มุกก่อนจะยื่นมันให้หลู่ชิง

หญิงสาวไม่ยอมรับมานางแค่นยิ้มให้เขา

“เจ้านำดอกไม้ไข่มุกมาให้ข้าเช่นนี้ มารดาเจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”

“รู้สิ ท่านแม่ให้ข้ามาหาเจ้า นางบอกว่าเจ้าเป็นสตรีที่ดี คู่ควรกับสิ่งของสวยงาม” ชายหนุ่มรีบพูด

“โอ้ เช่นนั้นหรือ? แต่ข้าไม่อยากจะพบเจ้าอีกแล้ว ถังถังเราไปกันเถอะ” หลู่ชิงดึงมือของถังหลี่เดินผ่านชายหนุ่มคนนั้นไป

เขาถึงกับยืนนิ่งไปเลยเมื่อเห็นท่าทางที่หลู่ชิงแสดงออกมา

ถังหลี่รู้สึกได้ทันทีว่าหลู่ชิงอารมณ์ไม่ดี ซึ่งสาเหตุต้องมาจากชายหนุ่มคนนั้นแน่นอน นางจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยปากถามอะไรออกไป

ทั้งสองเดินเข้าไปในตรอก

ตรอกแห่งนี้เป็นตรอกเล็ก ๆ ที่มีบ้านเหมือนตึกแถวอยู่หลายครัวเรือน ย่อมเทียบไม่ได้กับบ้านเดี่ยวของครอบครัวใหญ่ แต่ทุกหลังยังสะอาดและค่อนข้างใหม่ รวมถึงสภาพแวดล้อมของตรอกนี่ไม่เลวร้ายเลย

บ้านของหลู่ชิงอยู่ที่สุดตรอก ประตูบ้านของนางถูกเปิดไว้

“ท่านแม่มีแขกมา” หลู่ชิงตะโกนเข้าไปในบ้าน

สิ้นเสียงเรียกไม่นานนัก สตรีที่มีผมสีดอกเลาเกือบครึ่งศีรษะก็รีบเดินอย่างเร็วออกมาด้านนอกห้อง

“อาชิงเจ้ากลับมาแล้วหรือ? แม่นางคนนี้คือใครหรือ?” สตรีผู้นี้รูปร่างผอม แต่ดูจิตใจดี มีความละม้ายคล้ายคลึงกับหลู่ชิงอย่างมาก

“ท่านแม่ นางชื่อถังถัง ที่ข้าพูดถึงบ่อย ๆ”

ทันใดนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

“ถัง…แม่นางถัง! ข้าได้ยินอาชิงพูดถึงเจ้าบ่อยครั้ง เจ้าเป็นผู้มีพระคุณกับสกุลหลู่ของเราจริง ๆ”

สกุลเดิมของมารดาหลู่ชิงคือหม่า นางหม่ามักจะได้ยินบุตรสาวพูดถึงถังถังบ่อย นางรู้มาว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนมีความสามารถ เพราะหากไม่ใช่นาง เป่าชิงเก๋ออาจจะสิ้นชื่อไปนานแล้ว ที่นางและหลู่ชิงยังมีวันนี้ได้ต้องขอบคุณถังหลี่มาก

“ท่านป้า อาชิงเป็นสหายของข้า ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย” ถังหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สหายก็คือสหาย แต่น้ำใจเจ้าก็สมควรที่จะได้รับการจดจำไว้” นางหม่าไม่เห็นด้วย

“เอาน่า ท่านแม่..ไหน ๆ นางก็มาแล้ว รบกวนท่านทำอาหารตอบแทนน้ำใจนางได้หรือไม่? ” หลู่ชิงพูดขณะจับมือของมารดาไว้

“ได้สิ” นางหม่าพูดจบก็รีบเดินเข้าห้องครัวไปทันที

“มารดาของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา เจ้าอย่าได้ขัดใจนางเป็นดี ” หลู่ชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูบ้าน”

หลู่ชิงจับมือของถังหลี่เดินไปยังประตูบ้านหลังถัดไป บ้านนั้นถูกปิดไว้ หลู่ชิงหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู แล้วเปิดเข้าไปข้างในบ้าน

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มีสองห้อง หนึ่งห้องเล็กและหนึ่งห้องใหญ่ ถังหลี่ดูพอใจกับบ้านหลังนี้มาก นางตั้งใจว่าจะพาเว่ยเสี่ยวเถามาดูก่อนตัดสินใจอีกครั้ง

สำหรับมื้อค่ำวันนี้นางหม่าทำชงโหยวปิ่ง[1]และน้ำแกง

“ถังถังเจ้าลองชิมฝีมือทำอาหารของท่านแม่ข้าสิ”

ถังหลี่หยิบชงโหยวปิ่งขึ้นและกัด ด้านในเป็นไส้เนื้อแกะ แป้งด้านนอกนุ่มและตัวไส้ก็มีกลิ่นหอมมาก

“กลิ่นหอมมาก” ถังหลี่พยักหน้า

“ใช่แล้ว อร่อยใช่หรือไม่ ? ท่านพ่อข้าไปกินอาหารกับลูกค้าบ่อย ๆ แต่ก็ต้องกลับมากินชงโหยวปิ่งของแม่ข้าทุกครั้ง เขาบอกว่าต่อให้เป็นปลาหรือเนื้อจะอร่อยเพียงใดก็สู้ชงโหยวปิ่งที่ท่านแม่ทำไม่ได้เลย”

“เพราะพ่อของเจ้ากินเยอะเหมือนวัวมากกว่า” นางหม่าหัวเราะพลางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความคิดถึง

“ท่านแม่…”

“ไม่ต้องกังวล ๆ เป่าชิงเก๋อยังคงอยู่ บิดาของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ย่อมมีความสุข” นางหม่าพูดก่อนจะตักอาหารให้ถังหลี่อีกชิ้น

ตอนนี้บนจานของนางเต็มไปด้วยชงโหยวปิ่ง ถังหลี่รู้ดีว่านี่คือความหวังดีจากฮูหยินหลู่ แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องแบ่งกินกับหลู่ชิงอยู่ดี

———————

[1] ชงโหยวปิ่ง เป็นโรตีแผ่นไม่บางและไม่หนามาก ห่อด้วยน้ำมันและหอมเขียวสับ นวดให้เข้ากันแล้วเอามาทอดบนกระทะ จนกลายเป็นแผ่นแบน ๆ กรอบ ๆ