ตอนที่ 152 ญาติผู้ใหญ่ห่างรุ่นจะสปอยล์เด็ก

นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature )

ตอนที่ 152 – ญาติผู้ใหญ่ห่างรุ่นจะสปอยล์เด็ก

 

เด็กหนุ่มหันควับกลับไปมองต้นหลิวใหญ่ตรงหน้า เห็นแค่ว่ากิ่งหลิวอีกหนึ่งกิ่งเด็ดผลไม้สีขาวนวลหนึ่งลูกจากตรงไหนในยอดไม้ไม่รู้แล้วยื่นมาถึงเบื้องหน้าเขา 

ชิ่งเฉินมองอย่างเงียบงันไร้วาจา ต้นหลิวใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวนั้นถึงกับยกกิ่งไม้ขึ้นมาชี้ไปที่ปากของเขา เหมือนกับเป็นมือหนึ่งข้างกำลังทำท่า “เชิญกิน” 

พูดตามตรงชิ่งเฉินสับสนอยู่บ้างจริง ๆ เขาขยับเข้าใกล้ต้นหลิวใหญ่เพราะคิดตามสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำร้ายเขา แต่ว่าการกระทำที่เชิญกินสิ่งของนี่ ทำให้เขาอย่างกับ……ถูกเอ็นดูจนตระหนก? 

ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดในสายตาคนอื่น กลับมาชวนเขากิน! 

ชิ่งเฉินคิด ๆ ดู จู่ ๆ ยิ้มขึ้นมา “คุณอยากจะฆ่าผมจริง ๆ ก็ไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้ จริงไหมครับ”

พูดจบ เขากินผลไม้จนเกลี้ยงในสองสามคำ 

ผลไม้นั้นเหมือนจะไม่มีอะไรที่แตกต่างจนเกินไปกับผลแอปเปิ้ลนัก กินแล้วกลับมีรสชาติสดชื่นชนิดหนึ่ง

ฉากมหัศจรรย์แบบที่พอเข้าปากก็ละลายอย่างในจินตนาการก็ไม่มี อีกทั้งไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรด้วย 

ชิ่งเฉินมองต้นหลิวใหญ่อย่างกังขาอยู่บ้าง อีกฝ่ายกลับไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก         

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มพูดจบแล้วก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป 

แต่เขาเพิ่งจะหมุนตัว ในชั้นในของสถานที่ต้องห้ามนั้นมีลมแรงหอบหนึ่งม้วนเข้ามา ในสายลมมีคนพึมพำอะไรอยู่ คล้ายกับกำลังพูดจา แล้วก็คล้ายกับกำลังร้องเพลง ฟังได้ไม่ชัดเจนว่าสรุปแล้วพูดว่าอะไร แต่ชิ่งเฉินกลับสามารถเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย 

ความรู้สึกชนิดนี้ประหลาดอยู่บ้าง ประดุจมีคนใช้จิตสื่อสารตรงไปยังในใจของเขา         

เสียงนั้นทั้งสนิทสนมทั้งอบอุ่น 

ชิ่งเฉินหันกลับไปมองส่วนลึกของชั้นในด้วยความเข้าใจอย่างกะทันหัน สีหน้าครุ่นคิด “ท่านจะบอกว่า มีคนมาไล่ฆ่าผมแล้ว ผมสู้เขาไม่ได้?”

ลมอบอุ่นอีกหอบหนึ่งวนเวียนอยู่ข้างกายเขา 

ชิ่งเฉินเอ่ยอย่างฉงนว่า “ผมยังเด็ก สู้เขาไม่ได้ก็ปกติมาก……”

ไหงจู่ ๆ เริ่มปลอบใจตัวเองแล้วล่ะ   

เขาคิดดู จากนั้นถามซื่อ ๆ ว่า “งั้นท่านว่าผมควรจะทำยังไงล่ะครับ”

กลับเห็นกิ่งหลิวยกขึ้นมาชี้ไปทางทิศตะวันตกอย่างกับเป็นมือ   

“ท่านให้ผมไปปีนเขาลูกนั้นเหรอครับ” ชั่วขณะนี้ชิ่งเฉินตัดสินใจได้ในที่สุด คนที่คุยกับเขาเกรงว่าจะเป็นเจตจำนงของบรรพบุรุษสักคนสินะ อีกฝ่ายหลับใหลอยู่ที่นี่ แต่ว่าคุ้มครองรุ่นเยาว์ดั่งผู้อาวุโส   

เด็กหนุ่มคำนับต่ำไปทางชั้นในหนึ่งที “ขอบคุณครับท่าน”

พูดจบก็วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปทางทิศตะวันตก         

ชิ่งเฉินเคยถามหลี่ซูถงว่า เวลาไหนจึงจะไปปีนเขาลูกนั้น ท้ายที่สุดแล้วครั้งนี้พวกเขามาเพื่อปีนเขานะ

แต่หลี่ซูถงพาเขาทำความคุ้นเคยกับสถานที่ต้องห้าม มักจะพูดว่ายังไม่ถึงเวลา     

ชิ่งเฉินถามว่าทำไมยังไม่ถึงเวลา

หลี่ซูถงตอบว่า : ถึงเธอจะเชี่ยวชาญทักษะแล้ว แต่ยังขาดจุดพลิกผันหนึ่งจุด การปีนเขาลูกนั้นถึงที่สุดแล้วสิ่งที่พึ่งพาไม่ใช่ทักษะ ทว่าเป็นความกล้าที่จะเดินหมากโดยไม่เสียใจภายหลัง 

ตอนนั้นชิ่งเฉินพูดว่า ครูครับ ท่านแปลให้หน่อยว่าอะไรที่เรียกว่าความกล้าที่จะเดินหมากโดยไม่เสียใจภายหลัง   

หลี่ซูถงยิ้มทว่าไม่พูด     

ตอนนี้ชิ่งเฉินเข้าใจแล้ว ที่แท้คือขาดคนไล่ฆ่าตนเอง……

……

หลังจากชิ่งเฉินไปจากต้นหลิวใหญ่ต้นนั้นไม่นาน

หลี่ซูถงเอาสองมือไพล่หลังเดินทอดน่องไปยังใต้ต้นหลิว

ศพพวกนั้นล้วนถูกมดกินจนกลายเป็นกระดูกแห้งแล้ว คราบเลือดบนพื้นก็ถูกวัชพืชและรากไม้ดูดซับจนไร้ร่องรอย     

“พวกคุณยื่นของให้เขากินตรง ๆ แล้วยังชี้เวลากับทางไปให้เขา นี่มันขี้โกงนิดหน่อยนะ” หลี่ซูถงเอ่ยอย่างปลง ๆ “ดีที่บนโลกนี้ไม่มีของที่ชะล้างไขกระดูกอย่างในเรื่องเล่าอะไรนั่น ไม่งั้นพวกคุณจะไม่ปลิดมายกให้เขาไปพร้อมกันเลยเหรอ”

ในป่าไม้ไม่มีใครตอบหลี่ซูถง เขาอย่างกับกำลังพูดคุยกับอากาศว่างเปล่าเหมือนแต่ก่อน         

มีเพียงกิ่งของต้นหลิวใหญ่ต้นนั้นที่ไหวไปไหวมา ดูท่าจะภาคภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง 

หลี่ซูถงถอนหายใจ “ปีนั้นผมก็ไม่ได้รับการปฏิบัติประเภทนี้เลยนะ พวกคุณวัน ๆ พูดว่ายุติธรรมเที่ยงธรรม ผลคือสองมาตรฐานขนาดนี้ ช่วยเขาโกงเหรอ”

“แต่ว่า บนดินแดนของตัวเอง โกงนิดโกงหน่อยก็เหมือนจะไม่เป็นไรนะ!”

“พูดตามตรง ผมคิดไม่ถึงจริง ๆ จะว่ามีคนสามารถใช้กฎเกลียดพวกยึดไมค์ของท่านอาจารย์มาฆ่าคนได้ เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว……”

“แต่ทุกคนก็เห็นแล้วนะ นักเรียนที่สามารถใช้กฎฆ่าศัตรูเยอะขนาดนี้ด้วยฐานะของคนธรรมดา สถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 นี้ก็เพิ่งเห็นครั้งแรกสินะ”

พูดถึงตรงนี้ หลี่ซูถงจู่ ๆ มองไปยังที่ห่างไกล ถามด้วยสีหน้าภาคภูมิว่า “ทุกคน สกิลการรับนักเรียนของผม แกร่งกว่าทุกคนอยู่สักหน่อยใช่รึเปล่า”

“ไม่ถูก ๆ” หลี่ซูถงส่ายหน้า “ทำไมอย่างกับว่าตัวเองก็เสียหายไปด้วยเลยล่ะ นี่ไม่ได้จะพูดว่าผมสู้เขาไม่ได้นะ……”

“เอาเหอะ ผมไม่คุยกับพวกคุณแล้ว ผู้สืบทอดน่ะผมเจอแล้ว แถมเกรงว่าพวกคุณคาดเดาไม่ได้หรอกว่าเขาจะนำพาความเปลี่ยนแปลงยังไงมาให้การสืบทอดขององค์กรอัศวิน สั้น ๆ คือดีมาก”

“ถัดจากนี้ผมต้องไปทำเรื่องของผมแล้ว”

ไม่มีคนตอบถ้อยคำของหลี่ซูถง         

สถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 ทั้งหมดล้วนเป็นสุสานของเหล่าอัศวิน เขาก็เหมือนกับคนรุ่นหลังที่เผชิญหล้ากับหลุมศพของผู้อาวุโส พูดจาวกวนเรื่อยเปื่อย 

ครู่ถัดมา ในชั้นในของสถานที่ต้องห้ามมีเสียงคำรามของลมโหมดังออกมา หลี่ซูถงฟังเสียงในสายลมอย่างละเอียด สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนไป “อะไรที่เรียกว่าผมไม่ช่วยเขา? เป็นตัวเขาเองที่ไม่ให้ผมช่วย!”

ลมพัดมาอีกหอบหนึ่ง หลี่ซูถงฟังเสียงในสายลมแล้วเอ่ยอย่างโกรธ ๆ ว่า “อะไรที่เรียกว่าบนตัวแม้แต่วัตถุต้องห้ามสักชิ้นยังไม่มี? เมื่อไหร่กันที่วัตถุต้องห้ามกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของอัศวิน ทำไมผมไม่เห็นเคยได้ยิน ตอนแรกนู้นก็ไม่เห็นท่านอาจารย์ผมจะให้ผมเลยนะ! เลิกโวยวายเลย ญาติผู้ใหญ่ห่างรุ่นจะสปอยล์เด็กน้อยได้ง่าย!”

……

นับถอยหลัง 52:00:00

2 ทุ่ม         

ชิ่งพิงต้นไม้หนึ่งต้นหอบหายใจเบา ๆ เขาวิ่งตั้งแต่บ่ายถึงตอนนี้ แต่ยังคงไม่ได้เห็นเงาของภูเขา     

เขาที่ท้องร้องโครกครากล้วงกระเป๋า ข้างในเหลือเพียงช็อคโกแลตหนึ่งชิ้นที่ฉินอีอีแอบยัดเยียดให้ตนเองตอนจากลา 

ยังไม่ทันจะได้กิน ชิ่งเฉินจู่ ๆ ตื่นตัวขึ้นมา ลุกขึ้นวิ่งไปทางทิศตะวันตกต่อไป     

จนกระทั่งวิ่งออกไปหลายกิโลเมตรจึงนั่งลงไปใหม่

เขาหิวเกินไป แล้วยังเหน็ดเหนื่อยเกินทน จนกระทั่งร่างกายเริ่มปรากฏสัญญาณของการล้มพับเล็กน้อย

แต่ทุกครั้งตอนที่เขาคิดจะหยุดกินอะไรสักหน่อย กลับสามารถสัมผัสได้อยู่ตลอดถึงความรู้สึกวิกฤตที่เกาะติดอยู่ข้างหลังทั่วทุกที่         

ขณะนี้ เด็กหนุ่มฉีกกระดาษฟอยล์ที่ห่อช็อกโกแลตออก ช็อกโกแลตที่อยู่ด้านในเกือบจะอุ่นแล้ว   

เขาเคี้ยวอย่างแรง สุดท้ายแม้แต่ช็อกโกแลตเหลวที่ละลายอยู่บนกระดาษฟอยล์ก็ยังเลียเข้าปาก 

จนกระทั่งกินช็อกโกแลตหมด เขาจึงรู้สึกมั่นคงขึ้นมานิดหน่อย         

แต่ของกินนี่ยังไม่พอ     

เห็น ๆ อยู่ว่าก่อนหน้านี้กินผลไม้สีขาวที่ต้นหลิวใหญ่มอบให้ แต่ไหงรู้สึกว่าเจ้าของเล่นนั่นไม่มีประโยชน์สักนิดเลยล่ะ 

ชิ่งเฉินหยิบมีดออกมา ขูดเปลือกไม้หนึ่งชิ้นจากลำต้นไม้ยัดเข้าไปในปากตรง ๆ ออกแรงเคี้ยว   

เปลือกไม้กินยากมาก บางส่วนอ่อนนุ่ม บางส่วนกลับแข็งจนทำอย่างไรก็กลืนไม่ลง ได้แต่ถ่มออกมา

ชั่วขณะต่อมาชิ่งเฉินคล้ายจะสัมผัสอะไรได้ หลังจากแอบสาปแช่งในใจก็ลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอดต่อไป   

ผ่านไปไม่นานนัก เฉาเวยที่สะพายเป้ก็ปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง เขามองดูกระดาษฟอยล์บนพื้น ยังมีเปลือกไม้ที่ถูกถ่มออกมา

เฉาเวยมุมปากยกขึ้นนิด ๆ : หาแกเจอแล้ว 

ดวงตาของเฉาเวยในยามราตรีสว่างไสวเป็นพิเศษ นี่เป็นความสามารถทางประสาทสัมผัสอันทรงพลังที่ยาแปลงพันธุกรรมมอบให้เขา 

ยาแปลงพันธุกรรมแบ่งเป็นหลายประเภทมาก ยาแปลงพันธุกรรมทุกประเภทล้วนจะเสริมสร้างร่างกาย แต่นี่เป็นเพียงพื้นฐาน ยกตัวอย่างเช่นยาแปลงพันธุกรรม FDE ที่หลิวเต๋อจู้ฉีดสามารถเสริมความแข็งแกร่งของขา ส่วนที่เฉาเวยฉีดคือเพิ่มกระสาทสัมผัส 

การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรส ดีขึ้น 

ดังนั้น เขาจึงสามารถหาร่องรอยของชิ่งเฉินในสถานที่ต้องห้ามอันกว้างใหญ่นี้เจอเรื่อย ๆ

ตอนที่เขาเตรียมจะไล่ล่าต่อ เฉาเวยค้นพบว่าบนลำต้นถึงกับถูกลอกเปลือกไม้ออกไปหนึ่งชั้น มีคนสลักตัวหนังสือเล็กมาก ๆ ไว้บนนั้น 

“อู้?”

เฉาเวยเงยหน้ามองไปโดยรอบ หาเจอลำต้นที่ลอกเปลือกไม้ออกไปอีกต้นเจออย่างรวดเร็ว บนนั้นสลักตัวหนังสือเล็ก ๆ อีกตัว : เฉา 

เขาฉงน “เฉาอู้?”*

ไม่ถูก     

ตอนที่เขากำลังจะอ่านตัวหนังสือสองตัวนี้กลับหลัง ปากกลับหยุดลง   

เฉาเวยหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา กฎที่เขารู้มากกว่าที่คนอื่นจินตนาการเอาไว้มาก 

เพื่อการเดินทางนี้ เขาเคยจงใจไปที่ตลาดมืดมาหนึ่งรอบ ซื้อกฎใหม่ที่เกี่ยวกับสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 มาสองข้อ : ไม่สามารถฆ่าคน, ไม่สามารถพูดสบถ 

ในใจเฉาเวยเกิดความกังขาเศษเสี้ยวหนึ่ง : เด็กหนุ่มนั่นถึงตอนนี้แล้วถึงกับยังพยายามจะใช้กฎฆ่าตัวเองให้ตาย 

เห็นชัด ๆ ว่าอีกฝ่ายน่าจะอับจนแล้ว แต่ยังสามารถวางกับดักให้ตนเองในสถานการณ์ที่ต้องเคี้ยวเปลือกไม้หรือ 

นี่เป็นคนธรรมดาจริง ๆ เหรอ 

……………………………………….

* ตัวอักษรที่ชิ่งเฉินเขียนคือ เฉา (曹 ตัวเดียวกับแซ่เฉาของเฉาเวย) กับอู้ (握) แปลว่าคว้าจับ ในขณะที่มีคำพ้องเสียงว่า อู้เฉา (卧槽) ซึ่งเป็นคำสบถความหมายคือ F-word

 

ตอนที่ 153 ไล่ล่า!