บทที่ 112 องค์ชายสามผู้เหนือกว่า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เหล่าประมุขของสี่ตระกูลใหญ่เริ่มโกรธเคืองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา

แม้แต่อดีตฮ่องเต้เอง ยังรู้สึกว่าหลานรักของตนนั้นทำเกินไป ดังนั้นจึงกระแอมเล็กน้อย “เจ้าสาม บอกพวกเราหน่อยเถอะว่าเจ้าคิดว่าอย่างไร”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดสายตาลง ขนตาของเขาโค้งราวกับปีกอีกา นิ้วมือเรียวยาวที่สวมถุงมือสีขาวนั้นวางพักอยู่บนเก้าอี้และกำลังเคาะอย่างเป็นจังหวะ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องอื่นอยู่

ดวงตาของกลุ่มประมุขตระกูลจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด ท่าทีของพวกเขาราวกับกำลังพูดว่า ‘อดีตฮ่องเต้ ดูเขาสิพ่ะย่ะค่ะ ดูเขาสิ’

ขันทีซุนที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องใช้แส้หางม้าที่ถืออยู่ในมือสะกิดนายท่านของเขา

ในที่สุด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

แล้วขันทีซุนก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในทันที “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อดีตฮ่องเต้กำลังเรียกฝ่าบาทอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชาย!” หนึ่งในประมุขจากสี่ตระกูลใหญ่ก้าวเท้าไปข้างหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เรื่องการส่งกองกำลังไปที่สำนักไท่ไป๋นั้น พระองค์ช่วยให้คำอธิบายที่มีเหตุผลกับพวกเราหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเรียบเฉย

ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นทำให้หนังศีรษะของพวกเขาชาวาบ

ชายที่ถูกมองคนนั้นตกใจจนตัวสั่นเทา เขารู้สึกอยากถอยหลังกลับไป แต่ครั้งนี้ พวกเขาเดินเข้าวังหลวงด้วยกัน องค์ชายสามคงไม่กล้าทำอะไรพวกเขาเช่นกัน

“เหอะ” ในขณะนั้นเอง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หัวเราะออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างมาก แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังท่าทีที่สูงส่งโดยกำเนิดของเขาได้ “ตอนนั้น สัตว์อสูรมีปีกจำนวนมากโผล่มาแล้วก็จากไป แม้แต่กิเลนอัคคีก็ยังปรากฏตัวขึ้นเลย ผู้เฒ่าเนี่ยคิดว่าข้าควรมองดูศิษย์ของสำนักถูกพาตัวไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือ”

ประมุขตระกูลคนนั้นตกตะลึง “มัน มันไม่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาทส่งกองกำลังไปจับตัวเฮ่อเหลียน…”

“ผู้เฒ่าเนี่ย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดคำพูดของประมุขตระกูลคนนั้นอย่างสุขุม “หลังจากที่ข้าได้รับข่าวว่าป่าวิญญาณมีบางอย่างผิดปกติไป ข้าก็ส่งกองกำลังออกไป สำหรับการตามหาตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยในภายหลัง ก็เป็นเพียงแค่ถือโอกาสช่วยนางจากเหตุการณ์นี้เท่านั้น”

ประมุขตระกูลคนนั้นรู้สึกมึนงงอย่างยิ่งและหันไปมองทางมู่หรงอ๋อง มันเป็นเช่นนั้นหรอกหรือ แต่มันไม่เหมือนกับข่าวที่เขาได้รับมาเลยแม้แต่น้อย

มู่หรงอ๋องก็ตัวแข็งเกร็งเช่นเดียวกัน รวมถึงซูเจียเฉิงด้วย ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง พวกเขาคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ มากมาย แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าองค์ชายสามจะบอกกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาต้องส่งกองกำลังออกไปเพื่อปราบปราบเหล่าสัตว์ร้ายและปกป้องศิษย์เท่านั้น

อย่างนี้ ยังจะให้พวกเขาสงสัยในตัวขององค์ชายได้อย่างไรกัน!

ประมุขตระกูลทุกคนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดในใจ จนทำให้เสียงดังจากการโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อนก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน

ขันทีซุนฟังการแสดงนี้จากด้านข้างด้วยความรู้สึกต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น เขาก็หันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยแววตาชื่นชมอย่างยิ่ง

คนที่พูดจาโกหกได้อย่างแนบเนียนนั้น มีเพียงแต่ฝ่าบาทของเขาคนเดียวเท่านั้นแหละ!

หนานกงเลี่ย ปุโรหิตที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลงก็กำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงเช่นกัน เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่เขายืนนั้นอยู่ในมุมลับตาเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นว่าหลังจากได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว

เขาไม่เชื่อว่าอาเจวี๋ยจะส่งกองกำลังองครักษ์เงาของตนเองไปเพื่อปกป้องศิษย์เหล่านั้นอย่างแน่นอน

มันเป็นเพียงคำพูดเพื่อหลอกลวงพวกคนแก่หน้าโง่เหล่านั้นก็เท่านั้น ฮ่าๆๆๆ

“อาเลี่ย” ประมุขตระกูลที่ยืนอยู่ด้านข้างหนานกงเลี่ยหันมามอง ภายในจักรวรรดิจ้านหลง เหล่าปุโรหิตและนักบวชต้องคลุมผ้าบังใบหน้า และสวมชุดคลุมที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง

ดังนั้น ประมุขตระกูลคนนั้นจึงมองเห็นเพียงผ้าคลุมหนาๆ และมองไม่เห็นสีหน้าอันแท้จริงของหนานกงเลี่ยในตอนนี้ได้ หากเขาเห็น เขาก็คงไม่คิดที่จะลากหนานกงเลี่ยเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

“ในฐานะที่ท่านเป็นปุโรหิตที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลหนานกง ท่านควรจะพูดอะไรสักคำหรือไม่เล่า”

เดิมที หนานกงเลี่ยแค่มองดูการแสดงเฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว แต่จู่ๆ เขากลับถูกลากตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นนี้ และเขาก็ยังเห็นประกายที่ดูเย็นชาและเยือกเย็นจากคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คนนั้น ดวงตาคู่นั้นราวกับว่าสามารถแช่แข็งให้ทุกคนแข็งตายได้เลยทีเดียว

เขากลืนน้ำลาย แล้วมองไปที่ประมุขตระกูลที่กำลังอ้าปากพูดคนนั้น

ประมุขตระกูลคิดว่าตนเองมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหนานกง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้อีกด้วยว่าตั้งแต่องค์ชายสามสูญเสียพลังปราณของตนเอง ตระกูลของปุโรหิตทั้งหลายก็ไม่เคารพองค์ชายสามเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

ดังนั้น อาเลี่ยจะต้องอยู่ข้างเขาอย่างแน่นอน

หนานกงเลี่ยต้องการจะเข้าข้างเขาจริงๆ เพราะเมื่อหนานกงเลี่ยได้อยู่ข้างอีกฝ่าย ก็จะสามารถบีบคอเขาด้วยมือของตนเองได้นั่นเอง

“ท่านปุโรหิตผู้ทรงเกียรติอยากจะพูดอะไรเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกคำพูดสุดท้ายขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

แผ่นหลังของหนานกงเลี่ยสั่นเทิ้ม พร้อมกับริมฝีปากของเขาที่กำลังยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เขาใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยที่จะเบี่ยงเบนประเด็นที่กำลังพุ่งเป้ามาทางเขา “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลปุโรหิตของกระหม่อมสามารถทำได้เพียงให้คำทำนายเท่านั้น นอกจากงานใหญ่ๆ แล้ว พวกเราขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงอ๋องไม่แปลกใจกับคำพูดของหนานกงเลี่ยเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่สมัยโบราณ เหล่าปุโรหิตก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พวกเขาไม่เคยแข่งขันหรือต่อสู้กับใคร และมักจะมีความคิดที่ขี้เกรงอกเกรงใจ

พวกเขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความผิดพลาดของราชวงศ์ และมักจะหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใหญ่ๆ เสมอ แต่จะยอมรับเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

แต่ในเมื่อหนานกงเลี่ยไม่ได้พูดจาแก้ต่างให้องค์ชายสาม นั่นก็หมายความว่าข่าวที่เขาได้รับมานั้นถูกต้องจริงๆ เหล่าปุโรหิตนั้นไม่ได้จงรักภักดีต่อราชวงศ์เหมือนแต่ก่อน…

วันนี้พวกเขาเข้ามาในวังหลวงแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องผลประโยชน์จากองค์ชายสาม แต่มันก็คุ้มค่า อย่างน้อยที่สุด เรื่องที่สำคัญอย่างมากก็ได้รับการยืนยันแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มู่หรงอ๋องคาดไม่ถึงก็คือ ความคิดของคนเรานั้นมักจะหลอกตัวเองได้บ่อยครั้ง

ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเลี่ยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

ใช่แล้ว เหล่าปุโรหิตไม่ได้จงรักภักดีกับราชวงศ์เหมือนแต่ก่อนจริงๆ

แต่เขาก็มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าความคิดเห็นของตระกูลปุโรหิตนั้น อาจไม่ได้หมายถึงความคิดเห็นส่วนตัวของหนานกงเลี่ยเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลปุโรหิต หนานกงเลี่ยได้เลือกผู้ปกครองจักรวรรดิที่เขาต้องการจะอุทิศตนให้ในอนาคตมานานแล้ว

และผู้ปกครองจักรวรรดิคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง

นี่คือสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลปุโรหิตกับราชวงศ์

ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องนานนับสิบปี ในตอนแรกที่พวกเขาเจอกัน หนานกงเลี่ยยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในบรรดาปุโรหิตนับพันคน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้เลือกเขาให้เป็นศิษย์ของปุโรหิต และผลลัพธ์นั้นก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว…

ปัง!

ในที่สุด ประมุขสี่ตระกูลใหญ่และเหล่าทายาทก็ถอนตัวกลับไป แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็กลับไปยังตำหนักของตนเองเพื่อพักผ่อนด้วยเช่นกัน

ในชั่วพริบตา ประตูหลายชั้นในวังแห่งนี้ก็กลายเป็นเกราะกำบังที่คนภายนอกไม่อาจได้ยินเสียงใดๆ ได้ แม้จะเป็นเสียงลมก็ตาม

ใบหน้าของหนานกงเลี่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ซุกซนและชั่วร้าย มือขวาของเขาจับไหล่ซ้ายของตนเอง พร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม “ฝ่าบาท”

แม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะมีท่าทีไม่ยี่หระ และไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม แต่หนานกงเลี่ยก็ยังคงปฏิบัติในสิ่งที่เขาควรทำ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าสามารถนั่งคุกเข่าลงกับพื้นได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงเลี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีดำเข้มของอีกฝ่าย ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็พบว่าดวงตาลึกล้ำคู่นั้นไม่มีประกายแสงใดๆ เลย

หนานกงเลี่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ และรีบเปลี่ยนท่าทีของตนเองในทันที “ดวงตาของเจ้า!”

“พิษกำเริบอีกแล้ว “ ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นไม่มีอารมณ์ใดๆ ในขณะที่เขาดึงด้านหน้าของเสื้อคลุมขึ้นมา น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบเฉย

หนานกงเลี่ยดวงตาเบิกกว้าง “แล้วเจ้าก็ยังไปพบกับพวกผู้เฒ่าเหล่านั้นอีกหรือ เจ้าไม่กลัวหรือว่าพวกเขาจะรู้ความจริงเข้า แล้วก่อกบฏกันน่ะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะพูดแต่ละคำออกมาโดยไม่ปิดบังความชั่วร้ายของตนเองอีกต่อไป “พวกเขากล้าหรือ”