บทที่ 113 ความหึงหวงของฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หนานกงเลี่ยตัวสั่นสะท้านพร้อมกับขนลุกไปทั้งตัว เขาไอเบาๆ สองสามครั้ง “ช่วงนี้มีคนในตระกูลจำนวนมากที่คิดจะก่อกบฏ แล้วบรรดาลูกน้องของพวกเขาก็อยู่ในความสับสน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถึงกับกล้าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ต่อหน้าเจ้าโ แต่พวกเขาก็กำลังจับตาดูว่าเจ้าเป็นเช่นไร และรอคอยโอกาสที่จะลงมืออยู่”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังอย่างสุขุมและไม่ได้พูดอะไร ขณะที่แขนเสื้อยาวของเขานั้นกำลังลอยอยู่ ก็ดูเหมือนว่าด้านข้างของเขาจะมีเงาร่างหนึ่งซ้อนทับอยู่

ดูเหมือนว่าหนานกงเลี่ยจะเห็นในสิ่งที่เขาไม่ควรเห็น ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง พร้อมกับก้าวถอยหลังยาวๆ…

“เจ้า…” ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาของหนานกงเลี่ย สายตาของเขาค่อยๆ เคลื่อนออกจากร่างที่ซ้อนทับอยู่ แล้วเขาก็มองไปที่ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เมื่อคืนนี้ กิเลนอัคคีไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเอง แต่เจ้าเป็นคนเรียกมันมาอย่างนั้นหรือ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ หนึ่งครั้ง ปลายนิ้วของเขาแตะหน้าผากของตนเองนิ่ง ท่าทีของเขายังดูสง่างามราวกับเป็นขุนนางก็ไม่ปาน

หนานกงเลี่ยยิ้ม และเผยให้เห็นความร้ายกาจ “ปกติแล้วเจ้าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น แต่เพราะผู้หญิงคนนั้น เจ้าถึงกับต้องเรียกกิเลนอัคคีมา อาเจวี๋ย อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่านางเป็นแค่เหยื่อของเจ้าเท่านั้น”

“ถ้าไม่ใช่แค่นั้น แล้วจะทำไมเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าต้องการจะทำนายอนาคตและหลอกผู้คนอีกหรือ อ้อ ใช่ การเคลื่อนไหวของดาววิหคแดงเช่นนั้นหรือ”

เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่าย หนานกงเลี่ยก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “ข้าเพียงแค่กังวลว่าเจ้าจะเล่นสนุกมากเกินไปจนลืมเรื่องสำคัญ ในเมื่อกิเลนอัคคีกลับมาแล้ว ก็หมายความว่าพลังปราณในร่างกายของเจ้าก็กำลังจะกลับมาทั้งหมดในเร็วๆ นี้แล้วไม่ใช่หรือ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจหัวข้อการสนทนานี้ และเลื่อนมือซ้ายออกไปเล็กน้อย แขนเสื้อยาวนั้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างงดงามเป็นพิเศษ ในขณะที่เกราะกำบังนั้นหายไป ขันทีซุนที่ยืนอยู่ด้านนอกท้องพระโรง ก็มองเห็นแต่ความว่างเปล่า

ไป๋หลีเจียเจวี๋ยกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอยก่อนจะจมดิ่งลง “เชิญท่านปรมาจารย์เข้ามา”

หา “ปรมาจารย์เฒ่าคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” หนานกงเลี่ยหันหน้าไปพึมพำเบาๆ “เขาควรจะยุ่งอยู่กับการแข่งขันประลองยุทธ์ที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ไม่ใช่หรอกหรือ” ว่ากันว่าเวลามีคนเข้าไปหาท่านปรมาจารย์คนนี้ เขาก็มักจะพูดว่า ‘ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ว่าง’ แต่ทำไมตอนนี้ เขาถึงมาปรากฏตัวที่วังแห่งนี้เล่า

หนานกงเลี่ยเกิดคำถามเหล่านี้อยู่ในใจขณะที่เขาหมุนตัวไป ก่อนจะพบกับปรมาจารย์ที่ถูกมัดตัวไว้ราวกับเป็นเนื้อย่าง

“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ” ในตอนแรก หนานกงเลี่ยรู้สึกตกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างหนักจนน้ำตาแทบไหล มือข้างหนึ่งชี้ไปทางปรมาจารย์ ในขณะที่มืออีกข้างนั้นกุมหน้าท้องของตนเอง “ท่านผู้เฒ่า นี่ท่านถูกจับตัวมาเช่นนั้นหรือ แล้วนั่นคือเสื้อผ้าของท่านหรือนี่… ฮ่าๆ ทำไมมันถึงขาดหลุดลุ่ยเช่นนั้นเล่า”

มุมปากของปรมาจารย์กระตุก และส่งเสียงกรอดในลำคออย่างฉุนเฉียว

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำราวกับว่าตนเองไม่เห็นเหตุการณ์นี้ ก่อนจะออกคำสั่งกับเงาทมิฬที่อยู่ข้างๆ อย่างสุขุมและสง่างาม “แก้มัดให้ท่านปรมาจารย์”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ

ปรมาจารย์จ้องมองพวกเขา กว่าเขาจะได้รับอิสรภาพกลับคืนมานั้นไม่ง่ายเลย และเขาก็กำลังจะสบถออกมา

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ้าปากพูดอีกครั้ง “ตอนนี้ข้าปวดหัวอย่างมาก หมอหลวงเพิ่งวินิจฉัยว่าข้าไม่อาจฟังเสียงดังได้”

หลังจากได้ยินดังนั้น ขันทีซุนก็แทบจะสำลักน้ำลาย หมอหลวงมาที่วังปีศาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฝ่าบาท ถ้าท่านจะโกหก อย่างน้อย ก็ควรอยู่บนพื้นฐานของความจริงด้วยสิ ให้ตายเถอะ

สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่เขาหมุนแหวนหยกดำบนนิ้วมือ “หากข้าได้ยินเสียงดังเกินไป อารมณ์ของข้าจะหงุดหงิด หงุดหงิดมากๆ ดังนั้นท่านปรมาจารย์ควรคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะพูดอะไรออกมา”

เสียงของเขาฟังดูอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น

ปรมาจารย์คิดในใจ ไอ้หมอนี่กำลังข่มขู่เขาอยู่ ฮึ่ย

แต่มารดามันเถอะ หนังศีรษะของเขายังรู้สึกด้านชาอยู่เลย “ข้าไม่มีอะไรจะพูด” ปรมาจารย์ส่ายหน้า และพูดต่อด้วยท่าทีหยิ่งยโส “ข้าจะพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น นั่นคือ ข้าจะไม่บอกเจ้าว่าศิษย์รักของข้าอยู่ที่ไหน”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งริมฝีปากบางของตนเองเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาปรมาจารย์อย่างไม่รีบร้อน เขาจับไหล่ของอีกฝ่ายราวกับกำลังชื่นชม “ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านจะเป็นคนมีศีลธรรมฝังลึกในกระดูกเช่นนี้”

“ฮึ่ม มีอีกหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้” ปรมาจารย์ส่งเสียงฮึดฮัดอีกครั้งอย่างเย็นชา “อะไรกัน ตอนนี้เจ้าจะเปลี่ยนใจ และอยากให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ ข้าบอกเจ้าเลยว่าไม่มีทาง ลูกศิษย์คนปัจจุบันของข้านั้นเก่งมาก ข้าไม่ต้องการเจ้าอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่”

ในขณะเดียวกัน ขันทีซุนก็หมุนตัวมาพร้อมกับเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดออกมา ท่านปรจารย์คนนี้รนหาที่ตายจริงๆ เฮ้อ

เนื่องจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองไม่เห็น สายตาของเขาจึงไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงจ้องมองไปที่อีกฝ่ายเท่านั้น ขณะนั้นเอง มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นอย่างมีเสน่ห์ “ข้าเองก็ไม่ต้องการเช่นกัน แต่ข้าเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ว่าข้าไม่อยากได้ยินเสียงอะไรเลย อาเลี่ย”

“ข้าอยู่นี่” หนานกงเลี่ยวางมือลงบนไหล่ของปรมาจารย์ พร้อมกับยิ้มอย่างชั่วร้าย “ท่านปรมาจารย์ พวกเรามาคุยกันเถอะ”

ดวงตาของท่านปรมาจารย์จ้องมองอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเด็กบ้าเลี่ย เจ้ากล้า! เจ้ากล้าทำกับข้า… นี่ เอ่อ อืม คร่อก”

ไม่ว่าปรมาจารย์จะเหวี่ยงตัวไปมารุนแรงเพียงใด เขาก็ไม่อาจต้านทานพลังสะกดจิตของปุโรหิตอันดับหนึ่งของเมืองหลวงคนนี้ได้

มือทั้งสองข้างของหนานกงเลี่ยยกลูกแก้วขึ้นมา แล้วแยกหมอกหนาสีขาวออกจากกัน ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่งานประลองเจ้ายุทธ์…”

“งานประลองเจ้ายุทธ์” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยครุ่นคิด ขณะที่พูดคำนั้นซ้ำอีกครั้ง ลึกเข้าไปในดวงตาของเขาเผยให้เห็นอารมณ์ที่ดูเยือกเย็นลงทีละน้อย

แต่หนานกงเลี่ยไม่ได้สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาเหยียดร่างกายของตนเอง ก่อนจะก้าวถอยหลังไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ชายที่หล่อเหลาเป็นอันดับสองของเมืองหลวง คือลูกชายของประธานผู้จัดงานประลองเจ้ายุทธ์ และงานประลองเจ้ายุทธ์ในครั้งนี้ก็แตกต่างจากครั้งก่อนๆ อีกด้วย ก่อนหน้านี้ งานประลองเจ้ายุทธ์จัดขึ้นเพียงเพื่อประเมินว่าคนๆ นั้นมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเจ้ายุทธ์ได้หรือไม่ แต่ปีนี้อู๋ซวง ทายาทของตระกูลเหลียนเฉิงได้สร้างอาวุธที่พิเศษขึ้นมาชิ้นหนึ่ง อาวุธชิ้นนี้ใช้วัสดุที่ดีที่สุดในโลก แต่เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกและการใช้งานของมัน เหมาะสมกับผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่าตอนนี้ บุตรสาวจากตระกูลขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ปรารถนาว่าพวกนางจะมีโอกาสได้เข้าหาและผูกสัมพันธ์กับจิ่งอู๋ซวง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ คนๆ นั้นช่างเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด เขาไม่เคยคิดที่จะเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาใครก่อนเลย นอกจากนี้ แม้แต่คำเชิญจากรัฐบุรุษอาวุโสเขาก็ยังปฏิเสธอย่างนุ่มนวลอีกด้วย งานประลองเจ้ายุทธ์ในปีนี้จะต้องน่าตื่นเต้นอย่างมากแน่”

เพล้ง!

เมื่อหนานกงเลี่ยพูดจบ ก็เกิดเสียงดังขึ้น ถ้วยชาในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแตกเป็นผุยผง เขาคลายมือออกอย่างช้าๆ ทำให้เศษแก้วที่เหลือค่อยๆ หล่นจากฝ่ามือแล้วตกลงบนพื้น

ในขณะนั้นเอง บรรยากาศในท้องพระโรงแห่งนี้ก็เย็นลงอย่างฉับพลัน

แม้แต่หนานกงเลี่ยเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมหลังจากที่อาเจวี๋ยรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว ทำไมจู่ๆ เขาถึงดูเหมือนกับว่ากำลัง… โกรธ

หนานกงเลี่ยจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า ว่าทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินคำว่า ‘งานประลองเจ้ายุทธ์’ นั้น ในใจของเขาก็นึกถึงภาพรถม้าเมื่อเช้านี้ที่หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูเมืองคันนั้น

ในตอนนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย

อยู่ในรถม้าคันนั้น

และสาเหตุที่เขาตามหานางไม่พบ ก็เป็นเพราะว่าจิ่งอู๋ซวงช่วยนางซ่อนตัวนั่นเอง

ดี ดีจริงๆ

เขาลืมไปแล้วว่า ‘จิ้งจอกน้อย’ ตัวนั้นอาจจะไม่มีความสามารถอื่น แต่นางก็รู้วิธียั่วยวนผึ้งได้ดี

“กิเลน” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยือกเย็น

เงาของสัตว์ศักดิ์สิทธ์ที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริงนั้นปรากฏขึ้น ก่อนจะพูดด้วยความเคารพ “ข้าอยู่นี่”

“เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะไปที่เมืองอู่ซิวกัน” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนน้ำแข็งที่ก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง มันส่งเสียงสะท้อนเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน…