ตอนที่ 132 เดินทางกลับ

คุณหนูโลลิคลั่งเนีย・ลิสตัน

132 ทำงานต่างประเทศที่แว็ง เดอ ครุช วันที่สี่ เดินทางกลับ

 

การแข่งขันกับโครเวนจบลงอย่างรวดเร็ว แต่โชคชะตาที่เชื่อมโยงก็ได้เกิดขึ้นอย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นฉันก็สามารถใช้เวลาอย่างสงบสุขโดยไม่มีเรื่องอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

หากจะมีก็คงเป็น บางครั้งบางคราวโครเวนก็แอบมองมาที่ฉันอย่างเร่าร้อน บางทีคงอาจจะอยากรีแมตช์อีกครั้ง

 

หลังจากนั้น ก็ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวรรดิการบินแว็ง เดอ ครุช พูดคุยเกี่ยวกับเมจิกวิชั่น และสนุกกับเกมกระดานที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศนี้ อื~ม……ล้มเหลวในการทำธุรกิจและสูญเสียเงินหนึ่งร้อยล้านครัม ……ถูกไล่ล่าจากเงินไม่ว่าจะเป็นในเกมหรือในชีวิตจริงสินะ

 

“น่ารักจัง อยากมีลูกแบบนี้บ้างเลย”

 

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูเหมือนฟิเลเดียจะชอบฉัน และตอนนี้เธอก็จับฉันนั่งบนตักและลูบหัวไม่หยุด ถ้าริโนกิสมาเห็นอะไรแบบนี้ คงคลั่งตะโกนยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาดอะไรแบบนั้น โล่งใจที่เธอไม่อยู่ที่นี่ ดีใจมากที่เธอต้องไปรออยู่ที่ห้องแยกต่างหาก

 

“แต่ว่าพอคิดว่าเป็นลูกของแซ็คแล้ว ฉันแน่ใจเลยว่าเขาต้องกลายเป็นเด็กที่ชอบใส่ชุดเกราะเต็มตัวจนส่งเสียงก๊องแก๊งทั้งวันแน่นอนเลยล่ะ”

 

“พูดอะไรกันน่ะ มีโอกาสที่จะเหมือนกับฟิลมากกว่าข้าตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง”

 

“เหรอ? แต่ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกนะ ถ้าลูกจะดูเหมือนกับแซ็คน่ะ?”

 

“แบบนั้นคำตอบก็มีอย่างเดียวเท่านั้น ――มามีลูกกันจนกว่าจะเหมือนกับพวกเราสองคนกันเลยดีกว่า”

 

อืม

 

ยังไงดี ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ตรงกลางระหว่างคู่หมั้นที่กำลังจีบกันอย่างเปิดเผยในระยะใกล้ ทั้งข้างหลังทั้งข้างหน้า รู้สึกเหมือนมีการสัมผัสใบหน้ากันอยู่ด้วย ช่วยทิ้งฉันไปก่อนได้ไหมถ้าจะทำอะไรแบบนี้กัน นอกจากนี้ คริสโต โครเวน และฮิเอโร่ต่างแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้อย่างงดงาม สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์และราชวงศ์จักพรรดิ

 

แต่ว่า ม๊า นั่นไง

ไม่ว่าพวกเขาจะหน้าตาเหมือนใคร ฉันก็คิดว่าไม่มีทางเอาชนะความน่ารักของพี่ชายได้อยู่ดี ฉันแค่ไม่พูดเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ

 

ม๊า ถึงเด็กที่เกิดมาจะไม่มีทางสู้กับพี่ชายได้ แต่ก็ขออธิษฐานให้พวกเขาสามารถมีชีวิตคู่ใหม่ที่ลงตัวที่สุด

 

 

 

ม่านที่ถูกเอาลงทำให้ไม่รู้สึกตัวว่าพระอาทิตย์ตกจากท้องฟ้าอันเงียบสงัดที่หิมะยังคงโปรยปรายไปแล้ว

 

ทันทีควรจะยังคงเป็นตอนเย็น แต่ข้างนอกมืดสนิท

ในช่วงเวลาก่อนอาหารเย็นนี้เอง ในที่สุดฮิเอโร่ก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า「รู้สึกว่าจะอยู่นานเกินไปหน่อยแล้วสิ」ฉันจึงตัดสินใจออกจากตรงนี้ให้ได้เหมือนกัน

 

“ถ้างั้นก็อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ ข้าได้เนื้อซอร์ดเดียร์มาด้วย อร่อยมากเลยล่ะ”

 

“ขอบใจสำหรับความหวังดี เป็นคำเชิญที่ดึงดูดใจมาก แต่เนียน่าจะอยากกลับเร็ว ๆ แล้ว สำหรับวันนี้ต้องขอตัวก่อนแล้วน่ะ”

 

ฮิเอโร่ปฎิเสธขอเสนอของซัคเฟิร์ดอย่างสุภาพ

 

“เอ๊ะ? นายจะพาเด็กคนนี้ไปด้วยงั้นเหรอ?”

 

ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรจริงไหม แล้วก็อยากให้เลิกกอดฉันได้แล้ว

 

“เด็กคนนั้นก็ยุ่งเหมือนกัน พรุ่งนี้เธอต้องกลับไปที่อาร์ตัวร์แล้ว เธอต้องไปเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้น”

 

อุมุ อันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษสำหรับการกลับบ้านหรอก แต่กำหนดการถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ฉันก็อยากจะทำอะไรสักอย่างกับสภาพในตอนนี้ก่อนที่ริโนกิสจะมาเห็นเข้า ฉันได้ลำบากแน่ถ้าเธอมาเจอเข้า

 

“แย่จังเลย คืนนี้ฉันตั้งใจจะให้มานอนด้วยกันแท้ ๆ”

 

ฉันไม่เห็นได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลย แม้ว่าฟิเลเดียจะดูเหมือนเจ้าหญิงผู้เงียบขรึม แต่เธอก็มีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความซุกซนอย่างน่าประหลาดใจ

 

“เรื่องนั้นขอไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ โกกิเกงโย ฟิเลเดียซามะ ซัคเฟิร์ดซามะ “

 

ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นจากตักของเธอ และหลุดพ้นจากคู่รักที่จู๋จี๋กันในระยะกระชั้นชิด แล้วก็บอกลาหญิงสาวที่ไม่คิดปิดบังใบหน้าที่ไม่เต็มใจ กับชายหนุ่มที่ดูผิดหวังเล็กน้อย

 

――ฉันมั่นใจว่าคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว แต่ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น

 

“ครั้งต่อไปที่พวกเราได้เจอกัน ฉันจะท้าเธอให้มาแข่งกันอีกครั้ง ฉันจะฝึกฝนรอจนกว่าจะถึงเวลานั้น”

 

ว่าแล้ว เกิดโชคชะตาที่เชื่อมโยงอย่างที่คิดไว้……ฉันพยักหน้าให้คำพูดของโครเวน โดยคิดว่าไม่มีทางเกิดครั้งหน้าหรอก

 

“จ๊า ข้าจะไปส่งแล้วกัน แล้วก็ขอติดกลับหอพักด้วยเลย”

 

ดูเหมือนคริสโตจะไปด้วยเหมือนกัน

 

――และด้วยเหตุนี้ วันที่ไม่คาดคิดกับตระกูลฮาสกิตันก็สิ้นสุดลง

 

 

 

ฉันมาเจอริโนกิสที่รออยู่ หลังจากร่ำลากับซัคเฟิร์ดและคนอื่น ๆ ที่มาส่งอีกนิดหน่อย พวกเราสามคนก็ขึ้นเรือเล็กที่นั่งตอนขามา เจ้าชายกับเจ้าชายนั่งลงในทิศทางมองไปข้างหน้า ฉันจึงต้องนั่งฝั่งตรงข้ามพวกเขา

 

――เพราะฉันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา ฉันจึงสามารถการแสดงออก และ สีหน้าของพวกเขาได้ชัดเจนมาก

 

“งานเป็นไปตามที่หวังใช่ไหม ฮิเอโร่”

 

หืม?

 

“อ้า ลิ่มถูกตอกเข้าไปจนแน่นแล้ว การมาเยียมของเนียนี่จังหวะเหมาะเลยล่ะ”

 

หืมหืม?

 

“ใช่ ไม่มีเวลาไหนที่จะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ฟิลที่เป็นพวกชอบแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบหรือไม่ชอบ แสดงออกว่าชอบก็ถือเป็นเรื่องดี การตอบรับของแซ็คก็ดีเหมือนกัน”

 

“นั่นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเหมือนกัน แต่ก็เป็นการคำนวณผิดพลาดที่ออกมาน่ายินดี”

 

………….ฟุมุ

 

“ทั้งสองคนทำหน้าชั่วร้ายกันจัง กำลังคุยถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ?”

 

ฉันเข้าใจว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง หรือจะบอกทั้งสองคนยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับว่าไม่มีเจตนาที่ซ่อนเอาไว้

ไม่มีใครที่ไม่สงสัยหรอก แม้จะเป็นเด็กก็ตาม

 

ยังไงก็ตาม ฉันไม่ทราบรายละเอียดของแผนการชั่วร้าย ดังนั้นถ้าอยากรู้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองถูกลากเข้าไปใช้ประโยชน์

 

“เรื่องนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดได้ ทว่า เราอาจจะขอให้เธอทำงานให้ในเร็ว ๆ นี้”

 

งาน?

 

“จากนี้จะได้เวลาเปิดฉากแล้ว เรามีความรู้สึกว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”

 

…………

 

อืม ไม่เห็นเข้าใจเลย และเนื่องจากทั้งสองคนดูเหมือนไม่อยากจะพูด ฉันจึงตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเรื่องนี้ไปก่อน

 

 

 

ไว้โอกาสหน้า

ครั้งหน้าที่ได้เจอกัน

 

คำสัญญาที่แทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสัญญาที่ทำขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

งานให้เธอในเร็ว ๆ นี้

จากนี้จะได้เวลาเปิดฉากแล้ว

 

การพูดคุยระหว่างเจ้าชายกับเจ้าชายที่คุยกันด้วยใบหน้าที่ชั่วร้ายทำให้คาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้

 

ไม่นานก่อนที่คำสัญญาที่ไม่ใส่ใจจะได้รับการเติมเต็ม ฉันก็ได้เข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงในแผนการชั่วร้ายของเจ้าชาย 

 

――ใช่แล้ว ลิ่มที่เรียกว่าการนัดพบที่ฉันถูกโยนเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ที่ถูกตอกอย่างรุนแรงและมั่นคงเข้าไปในกำแพงขนาดใหญ่ระหว่างอาณาจักรอาร์ตัวร์และประเทศอื่น ๆ

 

ส่วนหนึ่งของกำแพงที่แข็งแกร่งที่เรียกว่าเขตแดนซึ่งไม่ได้เป็นอะไรนอกจากอุปสรรคต่อการเผยแพร่เมจิกวิชั่น กำลังจะถูกทำลายต่อจากนี้ไป

 

 

 

สิ่งที่ฉันทำคือก้าวเล็ก ๆ

 

ทว่านี่จะเป็นกุญแจสำคัญก้าวแรก ที่จะตามมาด้วยเจ้าชายกับเจ้าชาย และผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ และหลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่รอยแตกขนาดใหญ่ซึ่งจะก่อให้เกิดการพังทลายของกำแพงในเวลาต่อมา

 

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นด้วยก้าวเล็ก ๆ

 

――บางครั้ง บุคคลนั้นเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลย

 

 

 

ยังไงก็ตาม ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรเกี่ยวกับอนาคตได้เลย ในเช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ยังเลวร้าย พวกเราจึงไม่สามารถออกล่าสัตว์อสูรได้ จึงได้ขึ้นเรือเหาะมุ่งหน้ากลับอาณาจักรอาร์ตัวร์กันอย่างรวดเร็ว

 

ด้วยเหตุนี้ งานของฉันในจักรวรรดิการบินแว็ง เดอ ครุชจึงสิ้นสุดลงเช่นนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

น่าเสียดายที่คนทำก้าวแรกเป็นเนียไม่ใช่นีล ไม่งั้นจะได้เล่นมุกนีล อาร์มสตรองแล้ว ฮา 

“นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของชายคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ”

แล้วนีลคุงก็เหยียบกำแพงดวงจันทร์ ฮา