ตอนที่ 143 คลอเคล้า
หนีหย่าจูนกัดฟันสูดปากด้วยความเจ็บ โม่หลินเองก็ขยับมุมปากพยายามกลั้นขำ ก็นึกว่าเขาจะเป็นพวกนักสู้ที่น่านับถืออะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่พวกลูกคุณหนูอ่อนปวกเปียกเอาแต่ใจนี่เอง เมื่อกี้นี้ที่ทุบประตูจนเกิดรอยร้าวได้ก็คงจะแค่ฟลุ๊คสินะ
“บอกตามตรงคุณชายหนีทำฉันทึ่งมากเลยนะคะ บานประตูนี่สร้างจากไม้วอลนัทที่แข็งที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะทำให้เกิดรอยร้าวได้ทั้งๆที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลย ฉันคงต้องมองคุณใหม่แล้วสินะ”
หนีหย่าจูนคิดไม่ถึงเลย ว่าคนตรงหน้านี่นอกจากนิสัยจะเฉยชาแล้วยังปากร้ายอีกต่างหาก
ให้ตายสิ ภาพลักษณ์ชายแกร่งมากความสามารถของเขาได้พังทลายลงต่อหน้าโม่หลินไม่มีชิ้นดีเลย
หนีหย่าจูนกัดลอดไรฟัน พลางโก่งตัวลงเล็กน้อย บ้าเอ้ย เจ็บชะมัดยาด!
โม่หลินพยุงเขาอย่างเอือมระอา และเดินพาเขาเข้าไปในห้องพัก
ไม่นานก็มีพยาบาลเข้ามาเช็ดเลือดทำความสะอาดแผลที่หลังมือให้
ตามด้วยหมอกระดูกและข้อที่ขนเครื่องมือทั้งเซ็ตเข้ามาในห้อง ก่อนจะเอกซเรย์และฉีดยาให้เขาเสร็จสรรพ
สักพักก็มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลและนายกเทศมนตรีมาสมทบเพิ่ม แค่หนีหย่าจูนจามทีหนึ่งก็ทำเอาพวกเขาสะดุ้งไปแล้วสามที ถ้าบูชาหนีหย่าจูนขึ้นหิ้งได้ก็คงทำไปนานแล้ว
ต่อยหมัดใส่ประตูทีหนึ่งเมื่อกี้นี้ทำเอาข้อนิ้วหักไปสี่ซี่เลย
หนีหย่าจูนทั้งเจ็บมือและเจ็บใจ คอยดูเถอะ ถ้าเขาหายดีเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ เขาจะไปจากเมืองเฮงซวยนี่ทันทีเลย ดวงเขาท่าจะสมพงษ์กับที่นี่จริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอรุณสาดส่องไปทั่วหล้า บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของฮอร์โมน
ณ บนเตียงไซส์ขนาดใหญ่ มีชายร่างแกร่งและหญิงร่างเล็กคู่หนึ่ง หนีซีโย่วนอนหลับตาพริ้ม เธอเหนื่อยอ่อนและปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว บนเรือนร่างมีรอยจูบที่ถูกประทับตราไว้ หางตายังมีร่องรอยของหยดน้ำใส
เธอถูกโล่เจปู้โอบไว้ในอ้อมกอด หนีซีโย่วนอนหลับตาสนิท ต่างจากโล่เจปู้ที่ยังคงลืมตาและไม่มีท่าทีจะง่วง
เขาจดจ้องคนในอ้อมแขนด้วยแววตาอ่อนโยน มือใหญ่ข้างหนึ่งพลางลูบสัมผัสแผ่นหลังเธอแผ่วเบา
หลายปีมานี้ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เธอยอมพักค้างคืนในวัง ทุกครั้งที่เขามีความต้องการ ก็ต้องเป็นฝ่ายไปหาเธอที่ เยว่หยาวาน เองตลอด
และแทบจะทุกครั้ง ที่เขาต้องเป็นฝ่ายบังคับฝืนใจเธอ ทว่าเมื่อคืนนี้ เธอกลับตอบสนองเขาอย่างเป็นไปได้ยาก
โล่เจปู้ลอบคิดอย่างดีใจ ในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยวางความหนักอึ้งที่คับคั่งอยู่ในใจแล้วสักที ครั้งนี้เธอจะยอมเริ่มต้นใหม่กับเขาแล้วจริงๆใช่ไหม?
โล่เจปู้จุมพิตหน้าผากเนียนครั้งแล้วครั้งเล่า มือใหญ่ค่อยๆขยับไปยังตำแหน่งอื่นเรื่อยๆ จู่ๆร่างกายเขาก็พลันรู้สึกร้อนรุ่ม เพียงเพราะสัมผัสผิวเนื้อของเธอนั้นละเอียดนวลเนียนเกินไป
โล่เจปู้กลืนน้ำลายลงคอ กำลังจะทำกิจกรรมยามเช้าต้อนรับวันใหม่อีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายที่มือถือบนหัวเตียงของหนีซีโย่วกลับร้องลั่นขึ้นเสียก่อน
เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่ประมาณห้าหกวินาที ก่อนจะถูกฝ่ามือใหญ่กดปิดได้ทันเวลาพอดี
จังหวะที่วางมือถือเธอลง ร่างเล็กในอ้อมกอดก็พลันขยับตัวเล็กน้อย โล่เจปู้ร้องแย่ในใจ ก่อนที่ผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัวจะถูกใครบางคนดึงลากไปทั้งผืน
เขานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงด้วยสภาพเปลือยเปล่า หนีซีโย่วเอาผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมตัว พลางเดินลงจากเตียงโดยไม่แม้แต่จะหันมองหน้าเขา จากนั้นก็ถือกระเป๋าสัมภาระเข้าไปในห้องน้ำทันที
โล่เจปู้ยกยิ้มมุมปาก แล้วลุกออกจากเตียงเช่นกัน ตอนที่หนีซีโย่วออกมาอีกที เธอก็อยู่ในชุดทำงานสีม่วงอ่อนแล้ว ผมลอนนุ่มสลวยสยายลงบ่าและกลางหลัง แสงไฟนวลในห้องส่องกระทบใบหน้าขาวผ่องไร้มลทิน แม้จะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยังคงความสง่างดงามดังวันวาน
อายุไม่เคยเป็นอุปสรรคของเธอเลยแม้แต่น้อย
โล่เจปู้ออกไปแล้ว
หนีซีโย่วเหม่อมองห้องนอนที่ว่างเปล่า
หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่เขาไปหาเธอค้างคืนที่ เยว่หยาวาน เช้าวันที่สองหลังจากที่เธอออกมาจากห้องน้ำ ภาพที่ต้องเผชิญ ก็เป็นห้องนอนที่ว่างเปล่าเหมือนกัน
หนีซีโย่วก้มมองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย จู่ๆก็พลันรู้สึกว่าทุกอย่างมันเหมือนเพียงความฝัน
ระหว่างเธอกับเขา ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
หยดน้ำใสไหลรินลงพวงแก้ม เธอลูบสัมผัสผ้าปูที่นอนที่พวกเขาเคยคลอเคล้ากัน พลางนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ปลายเตียงอย่างเศร้าโศก
มือถือบนหัวเตียงแผดเสียงร้อง เธอหยิบมากดรับ ก่อนเสียงปลายสายจะดังขึ้นว่า:”คุณหญิง เดี๋ยวเมื่อถึงเก้าโมงแล้วจะมีช่างแต่งหน้าและช่างทำผมไปช่วยท่านแต่งตัว ส่วนการประชุมจะเริ่มขึ้นตอนสิบโมงตรง ท่านสามารถไปรับประทานอาหารเช้าหรือฝึกซ้อมกล่าวสุนทรพจน์ก่อนก็ได้ค่ะ ตอนเที่ยงจะมีนัดรับประทานอาหารกับแขกต่างชาติ หลังจากนั้นก็ไม่มีตารางงานอะไรแล้วล่ะค่ะ ระหว่างนั้น คุณหญิงสามารถจัดการเวลาเองได้เลย”
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” หนีซีโย่วตอบเสียงอ่อนล้า พลันล้มตัวลงนอนเสมือนโดนสูบเรี่ยวแรงไปหมดทั้งตัว
มือขวาค่อยๆขยับเคลื่อนไปยังมือซ้าย เธอกำลังจะถอดแหวนวงนี้ออก
“ไม่ชอบเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากตรงหน้าประตู ตามด้วยเงาร่างสูงใหญ่ของใครบางคน พลางดึงผ้าคลุมสีชมพูอ่อนมาคลุมไหล่เธอ:”แอร์ในห้องเย็น คลุมไว้กันหนาวก่อนดีกว่า”
หนีซีโย่วสะดุ้งตกใจ ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากเตียงหันไปมองเขา
ก็นึกว่าเขาไปแล้วเสียอีก!
ดวงตาใสเผยแววบางอย่าง เธอดู”เซอร์ไพรส์”เล็กน้อยกับการมาเยือนของคนตรงหน้า
โล่เจปู้อึ้งชะงัก พลันรู้สึกดีใจลิงโลด
เขาลูบเส้นผมนุ่มของคนตรงหน้าด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม:”ที่แท้เสี่ยวเยว่หยาของฉันก็ติดเสี่ยวเจปู้ของเธอมากสินะ”
เธอซ่อนยิ้ม ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
หนีซีโย่วก้มหน้าลง พลันทำท่าจะถอดแหวนออก
ฝ่ามือใหญ่คว้ามือเล็กไว้ทันที ไม่ให้เธอทำดั่งใจหวัง
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างอึ้งชะงัก ก่อนจะเอ่ยว่า:”ฉันมีประชุม”
คนทั้งโลกรู้กันหมดว่าเธอโสด จู่ๆจะใส่แหวนเพชรวงใหญ่ขนาดนี้ไปร่วมงานประชุมระดับนานาชาติก็คงจะไม่เหมาะสม
โล่เจปู้ยกมือขึ้นทัดปอยผมเธอไว้หลังหู แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า:”ฉันรู้ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยจะไปกับเธอนี่ไง”
“อะไรนะ?” คราวนี้หนีซีโย่วไม่อาจทำตัวนิ่งได้อีกทันที เธอผุดลุกขึ้นยืนพลางมองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น:”คุณคิดจะทำอะไร? อย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณคือใคร!”
“ใช่ ฉันคือกษัตริย์ และก็เป็นสามีของเธอด้วย!” เขาเอ่ยตอบตรงๆไม่มีอ้อมค้อมด้วยท่าทางไม่ยี่หระ:”เยว่หยา ฉันคิดดีแล้ว ยี่สิบปีแรกของฉัน ฉันใช้ชีวิตเพื่อพ่อแม่ หลังจากที่ฉันขึ้นเป็นกษัตริย์จนถึงตอนนี้ ฉันก็ต้องใช้ชีวิตเพื่อประชาชนประเทศหนิง ตอนนี้ ราษฎรสุขสงบ เศรษฐกิจมั่งคั่ง การทหารก็แข็งแกร่ง ประเทศของเราเจริญมั่นคงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ของฉัน ฉันอยากใช้มันกับเธอ ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเธอ เพื่อเราสองคน”
หนีซีโย่วสบมองเขา เข้าใจดีว่าคำขอแต่งงานเมื่อคืนนี้คือความจริง
แต่ว่าไม่ได้ เธอทำไม่ได้! ดวงตาสวยปกคลุมไปด้วยม่านน้ำใส สีหน้าที่สับสนดูเจ็บปวดไม่ต่างจากใจ ทำเอาโล่เจปู้เห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บไปด้วย:”ไม่เอาน่า อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ ฉันยอมใจอ่อนกับเธอได้หมดทุกเรื่องเลย ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!”
โล่เจปู้มองเธอด้วยแววตาหนักอน่น พลางแต้มยิ้มมุมปาก:”ฉันอยากรู้จริงๆนะ ว่าถ้าวันที่พวกเราแก่เฒ่าลงจนผมขาว เสี่ยวเยว่หย่าของฉันจะยังน่ารักเหมือนตอนนี้อยู่หรือเปล่า? แม้กาลเวลาผ่านมา นานหลายปี แต่ทำไมกันนะ? ทำไมเธอยังคงเป็นเยว่หยาคนเดิมในใจฉันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
โล่เจปู้บีบแก้มเธอเบาๆ ก่อนจะดึงเธอมาโอบกอดไว้ในอกปกร่ง:”นั่วยีเตรียมอาหารเช้าให้ไว้แล้ว เราไปกินด้วยกันนะ”