บทที่ 122 เทียมเซียน (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 122 เทียมเซียน (ต้น)

บทที่ 122 เทียมเซียน (ต้น)

กลิ่นอายในร่างของลู่หยวนปั่นป่วนยิ่ง ร่างกายของเขาขยายและหดตัวอย่างต่อเนื่อง พลังมารตกอยู่ในความสงบเช่นกัน

หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม บุตรศักดิ์สิทธิ์ลืมตาขึ้น สีหน้าเหยียดหยันต่อโลกปรากฏ ทำให้บรรยากาศปั่นป่วนพลันสงบลงอย่างสมบูรณ์

[ขอแสดงความยินดี ท่านก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนระดับต้น!]

[พลังของเสิ่นฉงขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับกลางแข็งแกร่งเกินไป พลังของท่านในตอนนี้ไม่สามารถดูดกลืนได้ทั้งหมด จำเป็นต้องผนึกพลังที่เหลืออยู่ไว้!]

ลู่หยวนเพิ่งอยู่ในช่วงเวลาหลอมพลังที่ดูดกลืนมา จึงสามารถสัมผัสได้ว่ารากฐานการบ่มเพาะของคนในขั้นปรมาจารย์ยุทธ์แข็งดั่งหินผา เป็นการยากที่จะหลอมได้โดยไว

โชคดีที่ระบบยังสนับสนุนส่วนของการหลอม จนได้พลังมากพอให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียน

ตอนนี้ระบบผนึกพลังส่วนที่เหลืออยู่ไว้ในจิตเทวะ มันจะถูกนำออกมาได้เมื่อรากฐานการบ่มเพาะของชายหนุ่มพัฒนาอีกครั้ง

เหิงอีเจี้ยนและจงซื่อมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้าวออกไปอย่างพร้อมเพรียง คารวะและกล่าวคำว่า “ขอแสดงความยินดีกับการทะลวงขั้น!”

เมื่อสองเสียงดังขึ้น ลู่หยวนลืมตาขึ้นช้า ๆ ไม่นานร่างมารก็หายไป

ด้วยรูปลักษณ์ ประกอบกับชุดคลุม เขายังคงเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลลู่ผู้สูงส่งไร้เทียมทานคนเดิม

พลังมารที่ล่องลอยในอากาศจากการต่อสู้เมื่อครู่ราวกับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา

ลู่หยวนยกมือขึ้น สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายในร่างกายสงบลงมาก สัมผัสพลังวิถีอันเจือจางวนเวียนอยู่รอบกายา เนื้อตัวคล้ายกับเบาขึ้น

“นี่คือขั้นเทียมเซียนอย่างนั้นหรือ?”

ชายหนุ่มถามอย่างแผ่วเบา เขายกมือขึ้น สัมผัสเทวะพลันระเบิดออก ทั่วบริเวณเริ่มสั่นไหว!

“นี่อะไร?”

บุตรศักดิ์สิทธิ์พบบางอย่างขณะยกมือขึ้นพลิกไปมา มีร่องรอยพลังที่สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่โดยรอบปกคลุมอยู่

สัมผัสกระบี่นี้กินพื้นที่ไปกว้างขวาง เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์

เขาคว้าส่วนหนึ่งของพลังที่เป็นของเจตจำนงกระบี่ ทันใดนั้น เขาก็ขยับสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปัดมือออกไป

ตูม!

ปราณกระบี่พลันพวยพุ่งทั่วท้องนภา… ทะยานออกไปอย่างรุนแรง ฟาดฟันทั่วทั้งปฐพี ในหลุมลึกที่เพิ่งถูกโจมตียังคงมีร่องรอยปราณกระบี่ปรากฏขึ้น

“นี่คือพลังของวิถีกระบี่หรือ?”

[ถูกต้อง! ขอแสดงความยินดี ท่านดึงพลังของวิถีกระบี่จากร่างของเสิ่นฉง!]

[ในตอนนี้ ท่านสามารถใช้พลังของวิถีกระบี่ได้สามในร้อยส่วน!]

[ด้วยสัมผัสกระบี่ ท่านจะสามารถเสาะหาเจตจำนงกระบี่ทั้งหมดในแผ่นดินหยวนหงได้อย่างรวดเร็ว!]

[หากท่านเพิ่มพลังของวิถีกระบี่ที่ใช้ได้ไปถึงสิบในร้อยส่วน ท่านจะสามารถสร้างเจตจำนงกระบี่ของตัวเองขึ้นมา และเป็นผู้ฝึกกระบี่ผู้ครอบงำยุคสมัย!]

[หากท่านเพิ่มพลังของวิถีกระบี่ไปถึงหนึ่งร้อยส่วน ท่านสามารถทะลวงสวรรค์ สั่นสะเทือนคลื่นสมุทรด้วยหนึ่งกระบี่!]

ทะลวงสวรรค์ด้วยหนึ่งกระบี่?!

ทำให้ทั่วท้องทะเลสั่นไหวด้วยหนึ่งกระบี่?!

บุตรศักดิ์สิทธิ์เผยรอยยิ้มในแววตา หากสามารถมีวิถีกระบี่ที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วแผ่นดินหยวนหงนี้ย่อมไม่อาจเทียบเคียงได้!

“ระบบ เปิดข้อมูล!”

[นาม : ลู่หยวน

สถานะ : บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ แห่งเผ่าธารสุญญะแดนเหนือ และ นายน้อยแห่งสำนักอักขระสวรรค์

ฐานการบ่มเพาะ : ขั้นเทียมเซียน ระดับต้น

พลัง: เพลงกระบี่ขั้วสวรรค์ หมัดเทวะแดนร้าง

วิชา : ยันต์สวรรค์บรรพกาล

สายเลือด : มาร

สมบัติศักดิ์สิทธิ์ : หอคอยอสูรสวรรค์

ผู้ติดตาม : เฉาหง ซวี่รั่วหลิง ฉินอี่หาน เป็นต้น]

ลู่หยวนลอบถอนหายใจ แค่เพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับผลประโยชน์มามากขนาดนี้

เขาปิดกระดานข้อมูล พลางเริ่มครุ่นคิดในใจ ตอนนี้ตระกูลเสิ่นอยู่ภายใต้การดูแลของเขาแล้ว

ทว่าทั้งสิบทิศของตระกูลลู่แห่งเผ่าธารสุญญะแดนเหนือไม่ได้ขาดตำแหน่งใด หากตระกูลเสิ่นถอนตัวออกจากสิบตระกูล ย่อมมีตระกูลใหม่เข้ามาแทนที่

ในฐานะสิบตระกูลใหญ่ พวกเขาย่อมมีสถานะและสิทธิ์เป็นของตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น การคัดเลือกก่อนหน้านี้ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ สิบตระกูลใหญ่สามารถส่งลูกหลานไปได้หนึ่งคน ขณะที่ตระกูลอื่นต้องได้รับการตรวจสอบซ้ำไปมา

หากยกผลประโยชน์เหล่านี้ให้กับผู้อื่นจะไม่เป็นการแย่เอาหรอกหรือ?

ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ เพื่อควบคุมตระกูลเสิ่นทั้งหมดให้อยู่ในกำมือไปเลยล่ะ!

ถึงแม้ไป๋ชิวเอ๋อร์จากตระกูลไป๋จะกลายเป็นข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีต่อลู่หยวน และยังมีไป๋หลางซิงที่เป็นผู้อาวุโสและผู้นำตระกูลที่อยู่เหนือกว่าไป๋ชิวเอ๋อร์อีก

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยอมช่วยนาง เพียงเพื่อดำเนินตามแผนหลังจากนั้น รอวันที่เขาสามารถใช้อำนาจของตระกูลไป๋ได้จริงซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี

แต่ตอนนี้ตระกูลเสิ่นไร้ผู้นำแล้ว!

เสิ่นฉงและเสิ่นหุนตายแล้ว!

คนในตระกูลที่เหลือถูกลู่หยวนสังหารเช่นกัน ตอนนี้เหลือเพียงเสิ่นโตวกับเสิ่นซูเหยียนเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นทั้งสองต่างถูกเขาควบคุมด้วยพลังมาร

ตระกูลเสิ่นในตอนนี้ อยู่ในกำมือของลู่หยวนเรียบร้อยแล้ว!

บุตรศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมองเสิ่นโตวผู้อยู่ไกลออกไป ชายวัยกลางคนยืนอยู่ข้างค่ายกลโลหิต ยืนแน่นิ่งด้วยดวงตาหมองหม่น

ลู่หยวนเปิดปากกล่าวกับเหิงอีเจี้ยนและจงซื่อว่า “เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย”

เขาเดินจากไปโดยเอามือไพล่หลัง เสิ่นโตวอยู่ใต้การควบคุมของชายหนุ่มจึงเดินตามไปด้วย

เมื่อผ่านหอคอยที่อยู่สุดขอบของค่ายกลกระบี่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกให้พวกฉินอี่หานออกมา

การต่อสู้นี้อันตรายยิ่งนัก รากฐานการบ่มเพาะของพวกนางน้อยจึงไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด หากปรากฏตัวในสถานการณ์เมื่อครู่ พวกนางจะถ่วงให้ฝ่ายบุตรศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอลง

ลู่หยวนให้พวกนางอยู่ในหอคอย หลังจากเสิ่นฉงปรากฏตัวแล้ว เขาก็หาโอกาสย้ายพวกนางไปที่สุดขอบค่ายกลกระบี่

หลังจากผู้ฝึกกระบี่หญิงเดินออกจากหอคอยแล้ว ฉินอี่หานก็ชำเลืองมองรอบข้างอย่างเฉยชา หุบเขาที่เคยเขียวขจีหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า กลายเป็นซากปรักหักพังราวกับดินแดนรกร้าง

แต่ในดวงตาของนางไม่มีแววสั่นไหว จนกระทั่งสบตากับลู่หยวน คิ้วสีดำขมวดมุ่นพลางถามว่า “เพียงหนึ่งคืน ท่านถึงกับทะยานจากขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ไปเป็นขั้นเทียมเซียนได้เชียวหรือ!”

ฉินอี่หานไม่อยากเชื่อตาตัวเอง

ผู้ฝึกยุทธ์ผู้อ่อนแอมักกล่าวว่าใครที่อยู่ต่ำกว่าขั้นจักรพรรดิยุทธ์ แม้ไม่อาจทราบได้ว่ามีอัจฉริยะกี่คนที่ก้าวข้ามขั้นขนาดเล็กได้ในชั่วข้ามคืน แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ

แต่นี่คือขั้นจักรพรรดิยุทธ์เข้าสู่ขั้นเทียมเซียน!

นี่ยังไม่รวมเรื่องความแตกต่างระหว่างทั้งสอง เพราะการก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียน ทั่วร่างจะเริ่มถูกพลังวิญญาณชำระล้าง เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่าในอนาคต

ยิ่งกว่านั้น ตอนที่ก้าวข้ามยังมีทัณฑ์อัสนีคอยขวางกั้นอยู่ มีคนตายไปเท่าไหร่ในจุดนี้ก็ไม่อาจทราบได้!

จึงเป็นที่กังขาทั่วยุทธจักรว่า ยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิยุทธ์จะสามารถเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนสำเร็จในครั้งเดียวได้หรือไม่

ทว่าลู่หยวนถึงกับก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนระดับต้นได้งั้นหรือ?!

พรสวรรค์นี้ ฉินอี่หานเคยศึกษาจากบุคคลทรงพลังมามากมาย แต่ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน

แต่ว่า…

แบบนี้ก็ดี ชายหนุ่มผู้อ่อนแอเติบโตไวเพียงนี้ ก็หมายความว่าวันที่แก้แค้นจะมาถึงไวขึ้น!

อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวเอ๋อร์กลับไม่ได้คิดแบบเดียวกับผู้ฝึกกระบี่หญิง แต่สนใจแค่เรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็เท่านั้น ทันทีที่ก้าวออกจากหอคอย นางก็รีบเดินไปหาลู่หยวน

ส่วนเทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้กำลังนอนหลับอยู่ เพียงตรวจสอบรอบข้างอย่างละเอียด ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“นายท่านปลอดภัย”

ถึงแม้ทั้งสามนางจะยังอยู่ในหอคอย และได้รับการปกป้องจากค่ายกลจำนวนมาก ไม่ว่าภายนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ส่งผลกระทบกับข้างในไม่มากนัก แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าการระเบิดพลังด้านนอกหอคอยคล้ายกับเป็นจุดจบของดินแดน ชนิดที่แทบจะทำลายล้างโลกทั้งใบ!

ไป๋ชิวเอ๋อร์ทราบดี การต่อสู้ของลู่หยวนจะต้องยากลำบากอย่างแน่นอน