ตอนที่ 62

My Disciples Are All Villains

เห็นได้ชัดแล้วว่าวิหารแห่งความว่างเปล่ามีเป้าหมายที่ชัดเจน

ลู่โจวหันไปมองรอบๆ แต่เขาไม่เห็นจ้าวยู่เลย และแม้ว่าจะยังไม่เห็นจ้าวยู่แต่เขาก็มั่นใจว่าเธอจะต้องอยู่ที่นี่แน่ สถานที่แห่งนี้ที่จัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่ที่สำนักจากฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมมารวมตัวกันแห่งนี้

ในตอนนี้หยวนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอกำลังจ้องมองบรรยากาศโดยรอบอย่างไม่เกรงกลัว

เมื่อลู่โจวเห็นแบบนั้นเขาก็เดินตรวจสอบรอบๆ ตัวต่อไป ในตอนนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งเดินมาหาตัวเขา “นายท่าน นายท่านควรจะถอยไปสักหน่อยจะดีกว่านะ”

“เจียงอาเฉียน? ” การเห็นเจียงอาเฉียนครั้งนี้ทำให้ลู่โจวถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาเคยได้ยินข่าวลือต่างๆ มามากมายเกี่ยวกับชายคนนี้ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะชื่นชอบและหลงใหลในดาบสักแค่ไหน สุดท้ายแล้วชายคนนี้ก็รักชีวิตตัวเองมากกว่าอยู่ดี ลู่โจวไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าชายคนนี้จะปรากฏตัวอยู่ที่พิธีศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้

เจียงอาเฉียนมองไปที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ชุมนุมกันอยู่ที่หน้าลานจัดพิธี พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีสีหน้าที่บูดบึ้ง หลังจากเห็นแบบนั้นเจียงอาเฉียนก็ได้พูดออกมา “นายท่าน ถ้าหากไม่ใช่อาวุธของท่านข้าก็คงไม่มาปรากฏตัวในที่ไร้สาระแบบนี้แน่”

สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงเงียบสงบ เขาไม่มีท่าทีที่จะตอบกลับเจียงอาเฉียนแต่อย่างใด ตัวเขาในตอนนี้ได้แต่มองไปที่กงซวน นักบวชผู้ที่ลงมาใจกลางพิธี

เจียงอาเฉียนในตอนนั้นยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “พวกท่านควรที่จะออกไปตั้งแต่ตอนที่มีโอกาสจะดีกว่านะ…”

“ฮืม? ” ลู่โจวรู้สึกสงสัยในคำเตือนของเจียงอาเฉียน เขารู้สึกว่าเจียงอาเฉียนคนนี้ไม่ได้บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกมา

เจียงอาเฉียนมองไปรอบๆ ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ในไม่กี่อึดใจนักบวชพวกนี้จะปิดผนึกพิธีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ นายท่าน พิธีศักดิ์สิทธิ์น่ะเป็นกับดัก ธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น…”

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกสงสัย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ใช้สีหน้าเรียบเฉยถามกลับไปอยู่ดี “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงกันว่านี่เป็นกับดัก? “

“ถ้าหากท่านยอมขายดาบเล่มนั้นให้กับข้า ข้าจะบอกเจ้าเอง… เจ้าน่ะเพิ่งจะมีวรยุทธอยู่ที่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้เท่านั้น ไม่มีใครที่ช่วยท่านได้หรอก” หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ท่านจะเอาชีวิตรอดได้”

ลู่โจวที่ได้ฟังก็รู้สึกตลกขบขัน เขาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะถามออกไป “ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากที่จะให้ข้าตายแบบนั้นมากกว่านะ? “

“ไม่ ไม่ ไม่…แม้ว่าข้าอยากที่จะจับดาบเล่มนั้นมากแค่ไหน แต่ข้าน่ะให้ความสำคัญกับชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นใด ข้าน่ะเป็นคนที่มีความเป็นคนยุติธรรมมากพอ ข้าจะหาวิธีรับดาบเล่มนั้นมาจากท่านอย่างยุติธรรมเอง ในตอนนี้ท่านลองมองดูรอบตัวของท่านซะสิ… เจียงอาเฉียนหันไปทางซ้ายและทางขวาก่อนที่จะอ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ดูคนพวกนี้ซะสิ พวกมันล้วนแต่เป็นคนที่ดูอายุสั้นด้วยกันทั้งนั้น แต่ท่านน่ะ นายท่านน่ะดูเหมือนกับเป็นคนดี ท่านควรจะใช้ชีวิตให้ยืนยาวจะดีกว่านะ…”

“ข้าน่ะเหรอเป็นคนดี? ” ลู่โจวตกใจกับคำชื่นชมคำนี้

เจียงอาเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม “ดาบเล่มนั้นน่ะเป็นสมบัติล้ำค่า ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของดาบ ข้าไม่อยากเห็นดาบเล่มนั้นตกอยู่ในมือของคนชั่วแถวนี้น่ะ”

เจ้านี่มันมีตรรกะแบบไหนกัน?

ลู่โจวลูบเคราของเขาก่อนที่จะตอบกลับไป “แถวนี้น่ะมีเหล่ายอดฝีมืออยู่มากมาย…คนจากวิหารแห่งความว่างเปล่าจะจัดการกับพวกเขาได้อย่างงั้นหรอ? “

เจียงอาเฉียนส่ายหัว เขาชี้ไปยังสำนักฝ่ายธรรมะและสำนักบริสุทธิ์ “นายท่านเฝ้ามองพวกเขาซะสิ…ผู้อาวุโสจากสำนักฝ่ายธรรมะและสำนักบริสุทธิ์ล้วนไม่ได้อยู่ที่นี่ ที่นี่คนที่มีวรยุทธสูงที่สุดคงจะเป็นยอดฝีมือลำดับที่สามจากวิหารปีศาจ…เจ้านั่นน่ะทำอะไรไม่ได้หรอก”

เมื่อลู่โจวมองไปที่สัญลักษณ์ธงทั้งสองฝั่ง ตัวเขาก็พบกับความจริงเข้า ในตอนนี้หลายที่นั่งจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ว่างเปล่า

เจียงอาเฉียนได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าพวกนี้จะต้องถูกกำจัดโดยเหล่ายอดฝีมือแน่ และถ้าหากเจ้าพวกนี้โชคดีมากพอเหล่ายอดฝีมือก็คงจะเหลือศีรษะของพวกมันเอาไว้ดูต่างหน้า”

ลู่โจวมองไปที่เจียงอาเฉียน ‘เจ้านี่ดูเหมือนจะมีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารอย่างงั้นสินะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้านี้สามารถสร้างชื่อเสียงในโลกแห่งยุทธภพได้’

ในตอนนั้นเองที่ใจกลางแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์ กงซุนกำลังโค้งคำนับเหล่าสาวกที่มาจากสำนักฝ่ายธรรมะอยู่ ตัวเขาขออภัยในเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง “จ้าวยู่น่ะถือเป็นวายร้ายที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า…เธอน่ะก่อกรรมทำเข็ญมาแล้วอย่างมากมาย เมื่อหลายปีก่อนปรมาจารย์กงหมิงต้องตายจากไปก็เพราะฝีมือของเธอคนนี้ วิหารแห่งความว่างเปล่าของพวกเราจะส่งจ้าวยู่ไปชำระบาปกับพระพุทธองค์เพื่อที่จะให้เธอกลับชาติมาเกิดเป็นคนดีให้ได้เอง”

เหล่าสาวกของฝ่ายธรรมะต่างก็ลุกขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความโกรธ “นางนั่นน่ะก็เป็นเหมือนกับศัตรูของพวกเราด้วย วิหารแห่งความว่างเปล่าของพวกเจ้าน่ะไม่เคยที่จะสนใจเรื่องทางโลกมาก่อนเลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงปรากฏตัวและทำเป็นเหมือนกับผู้เมตตาอย่างงั้นกันล่ะ? พวกเจ้าน่ะมันก็ได้แต่พูดดีเท่านั้น! ” ชายคนนั้นพูดจบก็ได้ถ่มน้ำลายลงพื้น

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธฝ่ายธรรมะต่างก็หัวเราะออกมาอย่างอึกทึก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้คนจากวิหารปีศาจก็ยังคงเงียบเฉยอยู่ดี

ลู่โจวเหลือบมองไปรอบๆ ที่นั่งลำดับสองของวิหารปีศาจ ที่นั่งของซู่จินฉานว่างเปล่า และเพราะการตายของซู่จินฉานทำให้คนจากวิหารปีศาจทั้งหมดล้วนแต่รู้สึกเกลียดชังต่อจ้าวยู่ที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่วิหารปีศาจส่งยอดฝีมือลำดับที่สามมาแทน ลู่โจวไม่เคยที่จะเห็นคนๆ นี้มาก่อนและในความทรงจำที่เขามีเองก็จำชายคนนี้ไม่ได้เช่นกัน บางทีคนคนนี้อาจจะไม่สำคัญจนทำให้จีเทียนเด๋ารู้สึกสนใจก็เป็นได้

ในตอนนั้นเองนักบวชกงซุนก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาจ้องมองไปรอบๆ ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “ท่านเจ้าอาวาสของข้าไม่ได้ให้ข้ามาที่นี่เพื่อขอความเห็นชอบของพวกเจ้าหรอกนะ ข้าน่ะมาที่นี่ก็เพื่อที่จะแสดงเจตนารมณ์ในการตัดสินใจของท่านเจ้าอาวาสก็เพียงเท่านั้น ยังไงวิหารแห่งความว่างเปล่าจะต้องพาตัวจ้าวยู่ ศิษย์จากศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับไปให้ได้อยู่ดี”

ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้น “เอาล่ะดูเหมือนเจ้าจะต้องใช้กำลังบังคับเธอไปล่ะนะ” ดาบยาวในมือของชายคนนั้นเต็มไปด้วยคลื่นพลัง

ฝูงชนที่ยืนอยู่ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในตอนนี้

เจียงอาเฉียนเหลือบมองไปที่คนคนนั้นก่อนที่จะส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “ในที่สุดศัตรูที่คู่ควรก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วสินะ เคล็ดวิชาพระสูตรแห่งสมาธิที่ยิ่งใหญ่ของพวกนักบวชจะดีแต่ปากไหมเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้ใช้พลังลมปราณโลหิตคนนั้น ข้าจะปรบมือให้เลยถ้าหากผู้ฝึกยุทธคนนั้นจทำให้นักบวชเฒ่าใช้พลังถึง 3 ใน 10 ส่วนได้”

ลู่โจวเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปอย่างใจเย็น ถ้าหากเรื่องในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจ้าวยู่ ตัวเขาก็คงจะไม่คิดที่จะมาเกี่ยวข้องแน่ๆ

ในทางกลับกันหยวนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นกับพลังที่อยู่ตรงหน้ามาก เธอกำลังปรบมือพร้อมกับเหล่าศิษย์สาวกจากฝ่ายธรรมะ ดูเหมือนว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นเองจะมีวรยุทธสูงส่งเช่นเดียวกัน

ในตอนนั้นเองชาวยุทธที่ปรากฏตัวขึ้นก็ได้ปล่อยคลื่นพลังลมปราณจากดาบไปยังกงซุน

คลื่นพลังได้ลอยไปหากงซุน ในตอนนั้นเองร่างของเขาก็เปล่งแสงสีทองออกมา คลื่นพลังปรากฏขึ้น มันเป็นคลื่นพลังที่ล้อมรอบตัวของเขาเอาไว้ คลื่นพลังนั้นมีความสูงราวๆ 10 ฟุต!

“อรหันต์กายาทองคำอย่างงั้นหรอ? “

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศ ในตอนนั้นเองชาวยุทธที่ปรากฏตัวคนนั้นก็ได้ถอยห่างออกไป ชาวยุทธคนนั้นได้พลิกตัวกลางอากาศจนเกือบจะเสียหลักก่อนที่จะร่วงหล่นสู่พื้น ดาบในมือของยังคงเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลัง ทั้งแขนและขาของเขาชาไปทั้งตัว

กงซุนได้พนมมือข้างเดียวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ท่านชาวยุทธ เหตุใดกันที่ท่านต้องถือโทษโกรธแบบนี้ด้วย? ยังไงซะเจ้าวายร้ายนั่นมันก็มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า ท่านน่ะได้พ่ายแพ้ให้กับปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือทั้ง 10 ในสงครามครั้งก่อน แม้แต่ผู้นำสำนักกระบี่สวรรค์อย่างลู่ฉางเฟิงเองก็ต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง ท่านเพียงแค่มอบเจ้าปีศาจชั่วนี่ให้กับวิหารแห่งความว่างเปล่าของพวกเรา ถ้าหากทำแบบนั้นแล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะปลอดภัยไปด้วย”

ถ้าหากจะตีความสิ่งที่กงซุนพูด ตัวเขากำลังจะพยายามบอกใบ้ให้กับเหล่าชาวยุทธว่าจะมีสักกี่คนกันที่หยุดจีเทียนเด๋าได้?

“เจ้าน่ะมันก็แค่คนปากดีหัวโล้น ถ้าหากเส้นทางความถูกต้องไม่สามารถจัดการอะไรเจ้าจีเทียนเด๋าได้ เจ้าคิดว่าวิหารแห่งความว่างเปล่าจะสามารถทำได้อย่างงั้นหรอ? “

กงซุนที่ได้ฟังแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “ท่านเจ้าอาวาสของพวกเราน่ะคอยเฝ้าฝึกยุทธอย่างสันโดษมาโดยตลอด และเพราะแบบนั้นท่านเจ้าอาวาสของพวกเราจึงมีวรยุทธแกร่งกล้าเป็นอย่างมาก ยังไงซะพวกเราจะต้องจัดการกับปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นได้แน่”

คำพูดของกงซุนคล้ายกับการโยนหินหนึ่งก้อนสะเทือนไปทั่วทั้งแม่น้ำ ชาวยุทธทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาในทันที ชาวยุทธทั้งหมดต่างรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของวิหารแห่งความว่างเปล่า กงหยวนเป็นผู้ที่สามารถใช้พลังอรหันต์กายาทองคำโดยที่มีพลังเทียบเท่ากับพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งหกแห่งร้อยวิถีได้เมื่อ 10 ปีก่อน เหล่าชาวยุทธทั้งหมดไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ายอดฝีมือขนาดนั้นจะเก็บตัวฝึกฝนตัวเองจนมาถึงตอนนี้

ในตอนนั้นเองใครบางคนที่มาจากสำนักบริสุทธิ์ก็ได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะโค้งคำนับให้ ในตอนนั้นเขาก็พูดกับกงซุนไปตรงๆ “ถ้าหากปรมาจารย์กงซุนสามารถจัดการกับปรมาจารย์มหาวายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ทางสำนักบริสุทธิ์ก็ยินดีที่จะมอบเจ้าปีศาจจ้าวยู่ให้กับพวกเจ้าเอง”

ผู้คนที่มาชุมนุมต่างตกตะลึง

สำนักบริสุทธิ์และสำนักฝ่ายธรรมะอื่นๆ ต่างก็มีความเชื่อในสิ่งเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามคนที่มีอำนาจมากพอกลับไม่ได้อยู่ในตอนนี้ ถ้าหากพวกเขาที่อยู่ที่นี่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ แล้วพวกเขาเหล่านี้จะอธิบายให้กับศิษย์สาวกทั้งหลายที่ตายไปแล้วได้ยังไง?

กงซุนที่ฟังแบบนั้นพยักหน้าเห็นด้วย “นักบวชแก่ๆ คนนี้ขอขอบคุณสำนักบริสุทธิ์จริงๆ วิหารแห่งความว่างเปล่าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน พวกเราจะเป็นคนจัดการกับปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นเอง”

ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงนุ่มลึกดังมาจากด้านหลังของกงซุน “แต่เจ้าน่ะจะต้องขออนุญาตจากข้าก่อนนะ”

กงซวนที่ได้ฟังแบบนั้นได้หันหน้ากลับไปก่อนที่จะพูดสวนกลับกับชาววิหารปีศาจไปในทันที “นักบวชแก่ๆ คนนี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะเจรจา ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะแจ้งให้กับพวกท่านทุกคนรู้ถึงการตัดสินใจในครั้งนี้” กงซุนพูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่น้ำเสียงของเขานั้นเสียดแทงใจดำของคนที่อยู่ที่นั่น

ผู้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ลำดับ 3 ของวิหารปีศาจได้เริ่มขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่จะพูดออกไปอย่างเย็นชา “สมแล้วที่เจ้าน่ะเป็นนักบวชหัวโล้น! วิหารแห่งความว่างเปล่าน่ะคงจะวางแผนแบบนี้ตั้งแต่ที่พิธีศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มจัดตั้งขึ้น พวกเจ้าน่ะทำเป็นเหมือนกับผู้ผดุงความยุติธรรมแต่แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็คิดเล่นสกปรกตั้งแต่แรก” หลังจากพูดจบชายคนนั้นก็ได้หยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไป “วิหารแห่งความว่างเปล่าน่ะมักจะอวดอ้างว่าตัวเองน่ะมองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเท่าเทียมเสมอ นอกจากนี้พวกเจ้าก็ยังจะบอกอีกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก…แล้วทำไมไหนเลยวันนี้ถึงกลับคำซะได้ล่ะ? “

กงซุนยืดแขนขวาของเขาออกไป “แล้วยังไงกันล่ะท่านชาวยุทธ ท่านน่ะจะหยุดนักบวชแก่ๆ คนนี้ได้อย่างงั้นหรอ? “

“สามหาว! ” ชายผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ลำดับสามพูดเสร็จก็ได้สะบัดมือของเขาไปในทันที ในตอนนั้นเองชายชุดดำกว่าหลายคนก็ได้พุ่งตรงไปที่กงซุน

กงซุนในตอนนั้นไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด ตัวเขายื่นมือขวาออกไปอย่างใจเย็น ท่าทีที่แสนใจเย็นของเขาทำให้ชายคนนี้ดูไร้ซึ่งความกลัว

“อรหันต์กายาทองคำ” ในตอนนั้นร่างอวตารสีทองที่มีความสูงกว่า 20 ฟุตก็ได้เปล่งประกายออกมา พลังสีทองได้โอบอุ้มตัวเขามาจากด้านหลัง

เจียงอาเฉียนรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นแบบนั้น “พลังอรหันต์กายาทองคำเป็นพลังที่ผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ได้ มันเทียบเท่ากับพลังอวตารดอกบัวสองกลีบแห่งร้อยวิถี ดูเหมือนว่าเจ้านักบวชหัวโล้นคนนี้จะไม่ใช่นักบวชธรรมดาซะแล้ว…นายท่านพวกเรารีบถอยจะดีกว่า! วิหารปีศาจเองก็เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เช่นกัน ถ้าหากเจ้านักบวชหัวโล้นนั้นยังคงหนักแน่นต่อเห็นทีพวกเราจะต้องโดนลูกหลงอย่างแน่นอน นายท่านเพิ่งจะมีวรยุทธระดับสังหรณ์หยั่งรู้เอง! ” หลังจากพูดจบเขาก็ได้ดึงลู่โจวกลับถอยหลังไปในทันที