ตอนที่ 108 แรงจูงใจ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 108 แรงจูงใจ

เนื่องจากข่าวร้ายของลูกชาย นายหญิงจึงรู้สึกสะเทือนใจ ความรู้สึกมันอัดอั้นอยู่ในอกจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าที่ซีดเผือดแดงก่ำขึ้นมาภายในชั่วพริบตาเดียวราวกับถูกคนบีบคอ

“อาซ้อ ท่านเป็นอย่างไร” ผู้บัญชาการลอบบถอนหายใจออกมาเงียบๆ สภาพของหญิงที่อยู่ตรงหน้ากำลังค่อยๆ สิ้นลมหายใจลง เขาทำได้เพียงแค่เสียใจอยู่ในใจ

นางเบิกตาโพลง ใบหน้าที่แข็งทื่อสั่นระริก นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายชี้ไปทางเสวียนฉือ

ทุกคนต่างมองไปที่เสวียนฉือด้วยสายตาประหลาดใจ

สถานการณ์แบบนี้ เสวียนฉือยังคงรักษาบุคลิกที่น่านับถือของการเป็นพระอาจารย์ไว้พร้อมกับเดินไปข้างหน้า พนมมือมองไปที่นาง จากนั้นก็เอ่ยบทสวด “อมิตาพุทธ โยมมีเรื่องอยากจะพูดกับอาตมาหรือ โยมวางใจเถิด ขอแค่คนที่ทำร้ายลูกของโยมเป็นคนในวัด ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสจะต้องลงโทษสถานหนักให้อย่างแน่นอน!”

นายหญิงริมฝีปากสั่นเทิ้มราวกับมีอะไรอยากจะพูด ทว่าทันใดนั้นร่างกายกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว มือที่ยื่นออกมาตกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง

“อาซ้อ!”

นายหญิงเบิกตาโพลงนอนแผ่หลาอยู่บนแคร่ สิ้นลมหายใจลงแล้ว

ผู้บัญชาการและคนอื่นๆ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาพลางมองไปยังนายหญิงที่ขาดใจตายลง พระท่านต่างท่องบทสวดออกมา “อมิตาพุทธ”

“ท่านป้า ท่านป้า ฟื้นขึ้นมาเถิด…” สาวรับใช้โผเข้ามาด้านข้างหน้าแล้วร้องไห้โฮออกมา

นางยังไม่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับฆาตกรออกมาจากปากเอง ดูเหมือนว่ามันจะทำให้คดียากขึ้นอีก

ผู้บัญชาการจ้องไปที่เสวียนฉือ

“อมิตาพุทธ ถ้าเกิดโยมต้องการให้ช่วยอะไร อาตมาและพระทั้งวัดก็ยินดีให้ความร่วมมือ” เสวียนฉือเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดเลยว่าที่นางชี้ตัวเขาเมื่อกี้ ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวเลย

ทว่านี่ก็ไม่แปลก เสวียนฉือเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ถ้าไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเขาเป็นฆาตกร ก็อย่าได้คิดว่าผู้บัญชาการกับคนพวกนี้จะได้ออกไปจากประตูวัดหลิงอู้

วัดหลิงอู้ที่เจริญรุ่งเรืองมาเกือบ 20 ปี เสือร้ายที่อยู่ปักหลักมานาน นายพรานธรรมดาๆ ไม่อาจโยกย้ายมันออกไปได้หรอก

“ไปเรียกชาวบ้านที่อยู่นอกประตูวัดเข้ามา ข้ายังต้องไต่ถามเพิ่มอีก” ผู้บัญชาการออกคำสั่งกับผู้ตรวจการจ้าวด้วยท่าทีนิ่งมาก

สักพักชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็หลั่งไหลกันเข้ามา พริบตาเดียวลานไต่ถามคดีก็เต็มไปด้วยผู้คน

แม้ความมืดจะย่างกรายเข้ามา มันก็ไม่อาจหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็นของพวกชาวบ้านได้ ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ยากที่จะคาดเดา อย่างแรกเลยก็คือตระกูลหลี่ที่อยู่เมืองข้างๆ วิ่งมางมศพถึงที่นี่ จากนั้นก็งมออกมาเป็นนายน้อยตระกูลหลิวที่เปิดร้านขายผ้าในเมืองอีก แล้วตอนนี้แม่ของหลิวเซิ่งก็ถูกคนปลิดชีพไป

ถ้าพลาดเรื่องสนุกๆ แบบนี้ไป เห็นทีคงจะเสียใจไปอีกสามสิบปี!

“ขอเชิญชาวบ้านทั้งหลายเดินเข้ามา เนื่องจากแม่ของหลิวเซิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสิ้นลมหายใจไปเช่นกัน ชีวิตของทั้งสองคนสำคัญมาก ข้าจึงต้องถามเรื่องบางอย่างกับชาวบ้านทั้งหลายอีกสักหน่อย” ผู้บัญชาการพูดจบก็กระซิบคุยกับลูกน้องอีกสองสามคำ แล้วเดินเข้าไปในห้องโดยเอามือไขว้หลังไว้

ไม่นานลูกน้องของเขาก็ชี้เรียกบุรุษผู้หนึ่งจากฝูงชนออกมา

ชายผู้นั้นแปลกใจมาก “นายท่าน ข้าน้อยอาศัยอยู่ทางตะวันตก รู้จักกับหลิวเซิ่งเพียงแค่ผิวเผิน นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรเลยขอรับ”

“เรียกเจ้าเข้าไปก็ต้องเข้าไป พูดมากเสียจริง!”

เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจการ เอ่ยเสียงแข็ง ชาวบ้านก็ประพฤติตัวดีขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความกระวนกระวาย

คนต่อมาเดินเข้าไปตามลำดับต่อๆ กันไป เจียงจั้นเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพวกเขาเรียกคนเข้าไปเรื่อยเปื่อยกันนะ”

“คงอยากทำลวกๆ พอเป็นพิธี” เจียงซื่อจ้องไปที่ประตูทางเข้าแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

เมื่อกี้แม่ของหลิวเซิ่งชี้ไปที่เสวียนฉือมันก็น่าสงสัยมากพอแล้ว แต่เนื่องจากเขาอยู่ในตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ฉะนั้นจึงอาศัยแค่การชี้ตัวของนางมาตัดสินคดีความไม่ได้ ตอนนี้ผู้บัญชาการจึงต้องการข้อมูลเพิ่มจะได้โจมตีทีเดียว

ทว่าอย่างไรก็ตาม จะจัดการกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงในเมืองชิงหนิวแบบนี้ การถามข้อมูลจากปากของชาวบ้านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้วีธีการถามอย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ คงจะเป็นการถามเพื่อให้ชาวบ้านที่ถูกถามสบายใจ

ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา โคมไฟที่แขวนเป็นสายอยู่ตามชายคาระเบียงส่องแสงสว่างสีนวลแผ่ออกมา ลมเย็นในค่ำคืนของฤดูร้อนทำให้รู้สึกสบายตัวกว่าในตอนกลางวันเล็กน้อย มีเพียงแต่ยุงที่น่ารำคาญ เสียงตบยุง เพี๊ยะ เพี๊ยะ ดังออกมาจากฝูงชนบ่อยครั้ง

ในที่สุดประตูห้องก็เปิดออก ผู้บัญชาการก้าวออกมา

ความเหนื่อยหล้าผุดขึ้นมาบนหน้าผาก ทว่านัยน์ตากลับใสแจ๋ว

ไม่นานเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นผู้น้อยก็ยกเก้าอี้ออกมาวางที่กลางเรือน ผู้บัญชาการนั่งลงแล้วกวาดสายตาไปที่ทุกคนอย่างช้าๆ เขาสบตากับผู้บัญชาการแล้วกระแอมขึ้นเบาๆ “เสวียนฉือ เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ”

เสวียนฉือไม่มีท่าทีตื่นตระหนก “อมิตาพุทธ อาตมามีความผิดอะไรหรือ”

พระท่านต่างจ้องเขม็งปานจะเข้าไปกัดกินผู้บัญชาการ ฝูงชนก็ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่

เนื่องจากชาวบ้านเข้ามาทีหลังจึงไม่มีใครรู้เรื่องที่แม่ของหลิวเซิ่งชี้ไปที่เสวียนฉือ

ผู้บัญชาการแผดเสียงดังขึ้น “แม่ของหลิวเซิ่งชี้ไปที่ท่านก่อนจะสิ้นใจ หรือว่าอาจารย์เสวียนฉือจะปฏิเสธ”

“อาตมาไม่ปฏิเสธ”

“หรือท่านลืมแล้ว ข้าต้องการให้แม่ของหลิวเซิ่งชี้ตัวฆาตกรที่ทำร้ายลูกชายของนาง นางถึงได้ชี้ไปที่ท่าน เมื่อครู่ทุกคนก็เห็น”

เสวียนฉือยิ้มออกบางๆ “นางชี้อาตมาเนื่องจากไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นผู้ใด ฉะนั้นจึงชี้มายังอาตมาที่เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสเพราะอยากได้คำชี้แจง”

เนื่องจากคำพูดของสาวรับใช้ที่ปรนนิบัติแม่ของหลิวเซิ่ง ซื่อเจี้ยจึงถูกเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นผู้น้อยล้อมอยู่รอบๆ อย่างเงียบๆ ตอนนี้เขามองตรงมาที่เสวียนฉือพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว

เสวียนฉือถอนหายใจยาว “ซื่อเจี้ยเจ้าทำให้อาจารย์ผิดหวังเสียแล้ว! อาจารย์สั่งให้เจ้าไปเชิญแม่ของหลิวเซิ่งมา แล้วเหตุใดเจ้าถึงไปทำร้ายนาง”

ซื่อเจี้ยสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ริมฝีปากสั่นระริกพลางคุกเข่าลงไปกับพื้น “หลิวเซิ่ง…ศิษย์เป็นคนฆ่าหลิวเซิ่งเอง ท่านอาจารย์ส่งศิษย์ไปเชิญแม่ของหลิวเซิ่งมา ศิษย์กลัวว่าเรื่องจะถูกเปิดโปง ก็ ก็เลยต้องทำให้มันจบ…”

ฝูงชนที่ยืนล้อมดูต่างส่งเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาทันที การที่ได้ยินว่าพระในวัดฆ่าคนมันเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้

“เหตุใดเจ้าถึงฆ่าหลิวเซิ่ง”

“ข้า…” ซื่อเจี้ยมองตรงไป พลางใช้มือซ้ายหมุนลูกประคำอย่างรวดเร็ว “เขาทำท่าลับๆ ล่อๆ วิ่งไปที่หลังเขา ข้านึกว่าเขาขโมยของก็เลยไล่ตะเพิดเขา ทว่าใครจะรู้เขาทั้งตีทั้งด่าข้า ตอนนั้นเนื่องจากอารมณ์ชั่ววูบข้าจึงพลั้งมือฆ่าเขา พอเห็นว่าทำผิดมหันต์ก็เลยผลักเขาลงบ่อน้ำ…”

แปะ แปะ แปะ เสียงปรบมือเสียงดังฟังชัดดังขึ้น ผู้บัญชาการทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ไม่นึกเลยว่านักบวชจะเอ่ยวาจาโกหกได้ไหลลื่นถึงเพียงนี้”

เขาหันขวับมองซื่อไห่ “ซื่อเจี้ยใช้มือข้างไหนฉันอาหาร”

“มือซ้ายขอรับ” เนื่องจากตื่นเต้นซื่อไห่จึงพูดออกไปหมดเปลือก พอพูดจบถึงได้รู้สึกหงุดหงิดเลยเอามือลูบศีรษะที่ไร้เส้นผมไปมา

“ข้าเห็นซื่อเจี้ยใช้มือซ้ายหมุนลูกประคำอยู่ตลอด บวกกับที่ซื่อไห่พูด แค่นี้มันมากพอที่จะยืนยันได้แล้วว่าซื่อเจี้ยเป็นคนถนัดซ้าย”

“ใช่ ใช่ แล้วมันเป็นอย่างไร” ซื่อเจี้ยมองไปทางเสวียนฉือเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าเสวียนฉือกลับนิ่ง

“อู๋จั้ว!”

ไม่นานอู๋จั้วก็เดินมาข้างหน้าแล้วโค้งตัวลง “ฆาตกรได้รัดคอเหยื่อจากทางด้านหลัง ที่คอของผู้ตายมีรอยนิ้วมือด้านขวาเข้มกว่าด้านซ้าย ฉะนั้นจึงยืนยันได้ว่าฆาตกรถนัดมือขวา”

“ฆาตกรถนัดมือขวา ทว่าซื่อเจี้ยถนัดซ้าย แสดงว่าฆาตกรคือผู้อื่น ซึ่งคนที่ซื่อเจี้ยปกป้องแล้วยอมรับว่าตัวเองเป็นฆาตกรนั้น สุดท้ายจะเป็นผู้ใดข้าว่ามันคงชัดเจนแล้ว” ผู้บัญชาการจ้องเสวียนฉือเขม็งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ

คงจะเป็นความเคยชินของการเป็นพระ เสวียนฉือใช้มือลูบไปมาที่ลูกประคำเช่นกัน จากนั้นก็ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แรงจูงใจคืออะไร เหมือนที่ท่านเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าเจี่ยงเอ้อร์ไม่มีแรงจูงใจ ดังนั้นจึงถูกขจัดความสงสัยออกไปชั่วคราว ถ้างั้นอาตมาขอถามโยมหน่อยว่าอาตมาที่เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมีเหตุจูงใจอะไรที่ต้องไปทำร้ายญาติโยมธรรมดาคนหนึ่ง”

“แรงจูงใจงั้นรึ ท่านมีสิ!”