ตอนที่ 109 หลักฐาน

ผู้บัญชาการพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ทุกคนตกอยู่ในความประหลาดใจ ทว่าเสวียนฉือยังคงรอยยิ้มบางๆ ไว้บนหน้าเหมือนเดิม “อาตมารอฟังอยู่”

“ข้าซักถามมาหลายต่อหลายคน เมื่อยี่สิบปีก่อนวัดหลิงอู้ไม่ได้มีสภาพเหมือนตอนนี้ ตอนนั้นวัดหลิงอู้เป็นเพียงวัดบนเขาธรรมดาๆ วัดหนึ่ง มีพระจำนวนสองสามรูปอาศัยการบิณฑบาตผ่านไปวันๆ ตอนที่อาจารย์เสวียนฉือออกบวชก็อายุเกือบสามสิบปีแล้ว ถ้าเทียบกับพระที่บวชมาตั้งแต่เล็ก ในใจเจ้าอาวาสท่านแทบจะไม่มีฐานะอะไรเลย…” เสียงของผู้บัญชาการดังสะท้านไปทั่วหล้ายามวิกาล มันส่งผ่านเข้าไปในหูของทุกคนที่กำลังฟังอยู่ในขณะนี้อย่างชัดเจน

ภายใต้ค่ำคืนที่แสงสลัว สีหน้าของเสวียนฉือยังคงนิ่ง ไฟที่ถูกจุดไว้ตลอดทั้งคืนส่ายวูบวาบไปมาตามสายลม ทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ผู้คนจึงเดาอารมณ์เขาไม่ออก

เจียงซื่อหลับตาลงแล้วสูดจมูกขึ้นเบาๆ

สายลมได้พัดพาเอากลิ่นความชื้นเข้ามา เห็นทีพรุ่งนี้ฝนจะตก

และอาจจะเป็นฝนห่าใหญ่ด้วย

ผู้บัญชาการจ้องเสวียนฉือไม่วางตา “ตามประสบการณ์ของข้า ส่วนมากเหยื่อที่ตายในคดีฆาตกรรมกับฆาตกรจะมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างแน่นอน ถ้าหาไม่เจอทันที แสดงว่าอาจจะปิดบังไว้อย่างดี และพอข้าไต่ถามได้ความว่าก่อนที่ท่านจะออกบวช เดิมท่านเป็นคนเมืองนี้ เงื่อนงำมันจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ท่านเป็นสหายกับอารองของหลิวเซิ่งที่เป็นเหยื่อ!”

“อมิตาพุทธ คนหนุ่มสาวจากทุกๆ ครอบครัวในเมืองชิงหนิวล้วนเป็นสหายที่ดีต่อกัน นี่เป็นสิ่งที่ท่านปะติดปะต่อได้หรือ”

“แค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว” ผู้บัญชาการแสยะยิ้ม “หลายปีที่ท่านออกบวช ท่านเป็นคนที่อยู่ล่างสุด ทั้งงานสกปรกและงานหนักพวกศิษย์พี่ต่างก็มอบให้ท่านเป็นคนทำ ส่วนเจ้าอาวาสได้แต่มองดูอย่างเงียบๆ ซึ่งนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา ความสนิทสนมและการมีความสามารถ ต้องมีพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นถึงจะถูกให้ความสำคัญ พอท่านสุดจะทน จึงได้เอ่ยกับเจ้าอาวาสว่าท่านสามารถทำให้วัดหลิงอู้เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงได้…”

ในที่สุดเสวียนฉือก็สีหน้าเปลี่ยน เขาตะเบ็งเสียงออกมา “อมิตาพุทธ ไม่ว่าท่านจะตำหนิอาตมาอย่างไร อาตมารับได้ทั้งนั้น ขอท่านอย่ามาใส่ความว่าร้ายเจ้าอาวาสวัด!”

สิ้นเสียงของเสวียนฉือ พระท่านต่างหันไปมองผู้บัญชาการอย่างไม่พอใจ

ผู้บัญชาการหัวเราะออกมาเบาๆ “อาจารย์เสวียนฉือกลัวอะไรหรือ ข้าก็แค่บอกว่าท่านบอกวิธีที่จะทำให้วัดหลิงอู้รุ่งเรืองกับเจ้าอาวาสวัด ไม่ได้พูดว่าเจ้าอาวาสวัดไปทำเรื่องอะไรสักหน่อย”

“หรือว่าท่านเป็นเทพเจ้า ถึงได้หยั่งรู้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนอาตมาเคยพูดสิ่งใด”

“เรื่องนี้ไม่ต้องพึ่งเทพเจ้า แค่ถามก็ได้แล้ว” ผู้บัญชาการมองออกไปทางหนึ่ง “ท่านอาจารย์เสวียนอัน ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่”

พระมีอายุรูปหนึ่งเดินออกมา “อมิตาพุทธ ปีนั้นเสวียนฉือพูดกับเจ้าอาวาสเช่นนี้จริงๆ อาตมากับลูกศิษย์ลูกหาอีกสองสามคนล้วนได้ยินด้วยกันทั้งหมด”

“เสวียนอัน…”

พระชราพนมมือหันมาทางเสวียนฉือพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องจะจำศิษย์พี่อย่างข้าที่กวาดพื้นมากว่าสิบปีได้”

การปรากฎตัวของพระชราทำให้ชาวบ้านที่มุงดูค่อยๆ เบิกตาโพลงด้วยความสงสัย ส่วนพระในวัดก็เริ่มอยู่ไม่สุข มีพระส่วนหนึ่งมองมาทางเสวียนฉือด้วยแววตาที่แปลกไปจากเดิม

“ไม่ถึงหนึ่งปี วัดหลิงอู้ก็มีชื่อเสียงแพร่หลายดั่งที่กล่าวไว้ และต้นตอแรกสุดที่ทำให้ชาวบ้านทุกสารทิศแห่กันเข้ามานั่นก็คือพ่อกับแม่ของหลิวเซิ่งที่ไม่มีลูกอยู่นานหลายปี จู่ๆ ก็คลอดหลิวเซิ่งออกมา…เด็กอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่งที่ใครพบใครเห็นก็รักใคร่เอ็นดู!”

พอผู้บัญชาการเปิดโปง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มขึ้นมา เจียงจั้นยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากโดยพลัน แล้วทำท่าหวาดกลัว “แม่เจ้า หรือว่าหลิวเซิ่งจะเป็นลูกของเสวียนฉือ”

ทันทีที่พูดออกมา พระท่านต่างก็ส่งสายตาอาฆาตมองมาอย่างรวดเร็ว ซื่อไห่ที่อารมณ์ร้อนที่สุดก็ยิ่งอดไม่ได้ เขาตะเบ็งเสียงลั่นพลางโผเข้ามาหาเจียงจั้น

เจียงจั้นหลบไปอยู่ข้างหลังอวี้จิ่นอย่างไว เมื่อเห็นซื่อไห่ถูกสกัดไว้ จึงมองไปที่เจียงซื่อด้วยความน้อยใจ

เจียงซื่อทำหน้าจนปัญญา “พี่รองพูดไม่คิด”

อะแฮ่ม อะแฮ่ม ผู้บัญชาการกระแอมเสียงขึ้นเพื่อดึงความสนใจจากทุกคนกลับมา “พ่อและแม่ของหลิวเซิ่งแต่งงานกันมากว่าสิบปีแล้วเหตุใดถึงไม่มีบุตร นั่นก็เพราะท่านพ่อของหลิวเซิ่งเป็นหมัน! ถ้าไม่ใช่เสวียนฉือบังเอิญรู้เข้าพอดี ก็ต้องเป็นเพราะเขากับอารองของหลิวเซิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าที่คนภายนอกเห็น แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากจึงยากที่จะยืนยันได้ ถึงอย่างไรก็ตามวิธีที่ท่านทำให้วัดหลิงอู้มีชื่อเสียงขึ้นมามันตกไปอยู่ที่พ่อกับแม่ของหลิวเซิ่ง ตอนนั้นตระกูลหลิวยากจนมาก อารองของหลิวเซิ่งถึงขนาดไปขอสตรีแต่งงานไม่ได้ ท่านก็เลยไปหาอารองของหลิวเซิ่งแล้วยุยงให้เขาไปลงมือกับพี่สะใภ้ หลังจากสำเร็จทางฝ่ายหญิงกลับเลือกที่จะกล้ำกลืนฝืนทน หญิงชายมีเรื่องอย่างว่าด้วยกันอยู่หลายครั้งโดยไม่มีการขัดขืน ไม่นานแม่ของหลิวเซิ่งก็ตั้งท้อง จากนั้นอารองของหลิวเซิ่งก็สั่งให้ไปจุดธูปขอพรที่วัดหลิงอู้”

ผู้บัญชาการถอนหายใจออกมาเบาๆ “แม่ของหลิวเซิ่งตั้งท้องก่อน การจุดธูปขอพรเกิดขึ้นทีหลัง แล้วเหตุใดมันจะไม่ตรงกับที่ขอล่ะ”

ทันทีที่ลั่นวาจาออกไป ฝูงชนต่างก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น “ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ต่างพูดกันว่าวัดหลิงอู้ศักดิ์สิทธิเกินไปแล้ว ถ้าดูตามวันที่ตระกูลหลิวขึ้นไปจุดธูปขอพร หลังจากนั้นไม่นานตระกูลหลิวก็มีหลิวเซิ่งทันที”

มีคนพูดเสริม “ใช่ เนื่องจากการที่ได้ผลทันตาเห็นแบบนี้ ลูกสะใภ้ของชาวบ้านทั่วทุกสารทิศถึงได้แห่กันมา”

เสวียนฉือมองผู้บัญชาการโดยไม่พูดอะไรออกมา

ผู้บัญชาการพูดต่อ “ซึ่งนี่ก็อธิบายได้ว่า เหตุใดจู่ๆ ตระกูลหลิวถึงได้มีเงินทองมาเปิดร้านขายผ้า อารองของหลิวเซิ่งเป็นคนช่วยท่าน แน่นอนว่าต้องได้รับประโยชน์ไม่น้อย อีกอย่างหลังจากที่ตระกูลหลิวมีเงินทอง เขาก็ไม่ได้ไปแต่งงาน นี่มันเพราะเหตุใดกันล่ะ”

ผู้บัญชาการโยนคำถามออกไปพลางลูบเคราไปมาช้าๆ

มีคนจากฝูงชนตะโกนออกมาคนหนึ่ง “คงต้องเป็นเพราะมีเด็กอ้วนจ้ำม่ำแล้วคนหนึ่ง แถมยังไปหลับนอนกับพี่สะใภ้ได้ทุกเมื่อ คงไม่ต้องการภรรยาแล้ว”

ถึงคำพูดจะดูหยาบคายแต่มันก็มีเหตุผล ทุกคนเข้าใจเรื่องทุกอย่างทันที

ผู้ชายอายุสามสิบกว่า มีทั้งผู้หญิงและลูกชาย แล้วจะไปแต่งงานหาคนมาดูแลตัวเองอีกทำไม

โง่รึไง

ผู้บัญชาการฟังอยู่เงียบๆ ในใจคิด อย่าริอาจดูถูกสติปัญญาของชาวบ้านเชียว!

“แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับหลิวเซิ่งหรือ” เสวียนฉือถามเสียงเรียบ

“มันต้องเกี่ยวอยู่แล้ว! หลิวเซิ่งเป็นลูกคนเดียวของตระกูลหลิว เมื่อได้รับความรักอย่างล้นหลามจึงทำให้กลายเป็นคนที่เอาแต่เสวยสุข ไม่ยอมทำการทำงาน ใช้เงินมือเติบ สองปีก่อน อารองของหลิวเซิ่งป่วยหนัก เขารู้ตัวเองดีว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว จึงกลัวว่าถ้าตายไปหลิวเซิ่งจะผลาญทรัพย์สมบัติของตระกูลจนหมดทำให้ชีวิตรันทด ดังนั้นจึงเผยความลับนี้ออกมา” ผู้บัญชาการมองเสวียนฉือไม่วางตา “เดิมอารองของหลิวเซิ่งนึกว่าตัวเองหาหนทางหาเงินให้หลิวเซิ่งใช้ได้ไม่ขาดมือ ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นการผลักเขาลงเหว!”

เสวียนฉือหมุนลูกประคำถี่ขึ้น สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก

“เขาต่างจากอารองที่ได้รับผลประโยชน์นิดหน่อยก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ได้อย่างสงบ ส่วนหลิวเซิ่งติดการพนัน มันเหมือนหลุมที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม ฉะนั้นการที่เขามาหาท่านที่วัดหลิงอู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อต้องการเงินเพื่อเป็นค่าปิดความลับในตอนนั้น ท่านคงคิดอยากจะฆ่าเขาตั้งแต่แรก จนมาครั้งนี้ จำนวนเงินที่หลิวเซิ่งขู่เอาคงจะมากเกินกว่าที่ท่านจะให้ได้ สุดท้ายก็เลยทำให้ท่านฆ่าเขาเพื่อปิดปาก!”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ แม่นางหลี่ก็ตัวโอนเอนไปมาเพราะระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด

“หลังจากที่หลิวเซิ่งตกลงไปในบ่อน้ำ สิ่งที่ท่านกังวลที่สุดก็คือซื่อคงที่รับหน้าที่เป็นคนรดน้ำ เดาว่าถ้าซื่อคงไม่เจออะไรเข้า ไม่นานพระที่ควรจะรับผิดชอบรดน้ำก็คงจะเปลี่ยนเป็นคนสนิทของท่าน ทว่าเสียดายที่การเปลี่ยนคนจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม ซื่อคงโชคไม่เข้าข้าง ท่านจึงทำได้เพียงฆ่าปิดปากแล้วจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาด…”

“อมิตาพุทธ เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาจากสิ่งที่ท่านไต่ถามมา หลักฐานล่ะ”