บทที่ 138 ทุ่งรกร้าง

บทที่ 138 ทุ่งรกร้าง

ภายหลังกลับจากบ้านของหวังจื่อหมิง อู๋ฝานจึงปล่อยวางเรื่องราวความเป็นจริง เพื่อเตรียมเข้าสู่โลกแห่งเกม

ในโลกแห่งเกม ตอนที่อู๋ฝานปรากฏตัวขึ้นในเต็นท์ รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงจอแจ ทั้งค่ายเต็มไปด้วยเสียงดัง ทุกคนกำลังเก็บสัมภาระของตนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง

แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่จะค่อนข้างข้นแค้นเหมือนดังหนิวเอ้อ ที่ไม่มีทั้งชุดเกราะหรืออาวุธ แต่ก็ยังนำสัมภาระมาด้วยมากมาย เช่นรองเท้า เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวทั้งหลาย

มันคือความแตกต่างระหว่างกองทัพประจำการและกองทัพชั่วคราว

อู๋ฝานจัดระเบียบสัมภาระของตนเอง โดยการสวมใส่พวกมันทั้งหมดเอาไว้ ภายหลังออกจากเทศมณฑลชิงหยวน พวกเขาจะต้องเร่งรีบเดินทางมุ่งสู่แนวหน้าเพื่อขนส่งเสบียง ระหว่างทางยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งอันตราย

ภายหลังออกจากค่าย อู๋ฝานจึงได้เห็นคนจากกองพันที่สามกำลังตั้งแถว เพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทาง

ภายหลังโจวซานพบเห็นอู๋ฝาน เขาจึงส่งสัญญาณบอกให้ไปพบ ก่อนจะโยนคันธนูยาวอันหนึ่งให้ “ลองใช้ดู”

ผู้คนรอบด้านต่างมองอู๋ฝานอย่างนึกอิจฉา สำหรับพวกเขาที่แทบไม่มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ยาว มีดยักษ์ หรือคันธนูพร้อมลูกธนู พวกเขาต่างก็ต้องการกันทั้งสิ้น ขณะนี้โจวซานมอบคันธนูและลูกธนูให้แก่อู๋ฝาน ไม่แปลกหากพวกเขาจะเกิดนึกอิจฉาขึ้นมา

เพียงแต่ พวกเขาไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยคำทักท้วง ไม่ว่าใครที่ผ่านพ้นกับช่วงเวลาการฝึกโหดมาแล้ว ต่างทราบนิสัยของโจวซานกันเป็นอย่างดี หากทักท้วงอาจถึงขั้นถูกสั่งลงโทษ

นอกจากนี้ ศักยภาพที่อู๋ฝานแสดงออกในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็ได้ประจักษ์ เขาถือเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองพันที่สามโดยไม่นับโจวซาน บางคนกระทั่งนึกสงสัยด้วยซ้ำ ว่าโจวซานอาจไม่สามารถเทียบชั้นอู๋ฝานได้

กับผู้แข็งแกร่ง ผู้คนต่างย่อมต้องเกรงขาม

อู๋ฝานทดลองโน้มสายคันธนูและวางลูกธนู ด้วยพละกำลังของเขาไม่ถือว่าเป็นปัญหา คันธนูนี้ไม่ใช่ของดีวิเศษเลิศล้ำ เพราะด้วยวิชาตรวจสอบ มันเป็นอาวุธขั้นเริ่มต้น เพียงแต่อู๋ฝานที่ปัจจุบันไม่มีทั้งคันธนูและลูกธนู ถือได้ว่าเป็นของขวัญที่เหมาะสม

“ไม่เลวเลย” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น

“รับเอาไปใช้” โจวซานกล่าวบอก

โจวซานเองก็ทราบดี ว่าทั้งตัวอู๋ฝานเต็มไปด้วยอุปกรณ์อันยอดเยี่ยม กับธนูยาวธรรมดาเช่นนี้คงไม่สร้างความประทับใจอันใดนัก เพียงแต่ตัวเขาในเวลานี้ถูกเพ่งเล็งจนถูกลดตำแหน่งมาที่นี่ ทำให้ไม่มีคันธนูยาวที่ดีและเหมาะสมมอบให้

จากการฝึกซ้อมของแต่ละหน่วย ทำให้ได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกองพัน

ผู้คนของกองพันที่สามรวมตัวตั้งแถวอย่างรวดเร็ว ขณะที่กองพันอื่นยังคงสะเปะสะปะตั้งแถวเชื่องช้า พูดคุยพลางหยอกล้อ ท่าทีผ่อนคลายสุขสบาย แตกต่างจากกองพันที่สามอย่างเห็นได้ชัด

ผู้คนในกองพันที่สามมองเหยียดคนของกองพันอื่น และรู้สึกได้ว่ากลุ่มอื่นไม่มีความเป็นระเบียบเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าการฝึกซ้อมของโจวซานมีประโยชน์อย่างชัดเจน

เพียงแต่ ผู้คนจากกองพันอื่นไม่คิดเห็นอะไรกับกองพันที่สามมากนัก พวกเขาเป็นเพียงทหารชั่วคราว จำเป็นต้องฝึกฝนให้หนัก ลำบากลำบนหนักหนาถึงขนาดนั้นด้วยหรือ? อย่างไรแล้ว ภายหลังสามเดือนนี้ผ่านพ้นไป พวกเขาก็ต้องกลับบ้าน

จนเกือบครึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งค่ายวิหคจึงรวมตัวกันครบถ้วน รวมแล้วมีห้ากองพัน มีผู้คนจำนวนเกินกว่าหนึ่งพันคน ขณะนี้จึงมุ่งหน้าออกจากเทศมณฑลชิงหยวนสู่การเดินทางไกล

อู๋ฝานเดินอยู่หน่วยกลาง ทั้งค่ายวิหคค่อนข้างแร้นแค้น มีเพียงหัวหน้ากองร้อยที่มีม้าเป็นพาหนะควบขี่ อีกทั้งยังไม่ใช่ม้าศึกคุณภาพดีแต่อย่างใด ส่วนคนอื่นนั้น ทำได้เพียงต้องพึ่งพาสองขาเพื่อเดินไป

การเดินทางขนส่งเป็นงานที่น่าเบื่อ ระหว่างทางทุกคนจึงมักพูดคุยผ่อนคลายความเบื่อหน่าย ในเวลาเช่นนี้แม้แต่โจวซานก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนหยุดสนทนา เพราะหากทุกคนเงียบ มันก็จะยิ่งดูเงียบเหงาจนเกินไป

จนกระทั่งถึงช่วงบ่าย กลุ่มคนจึงมาถึงเทศมณฑลอีกเมืองหนึ่ง ที่นี่มีการจัดเตรียมอาหารรอไว้นานแล้ว และภารกิจของอู๋ฝานกับค่ายวิหค คือการนำเสบียงเหล่านี้ส่งไปให้ถึงแนวหน้า

ตามปกติแล้วภารกิจขนส่งเสบียงจะไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้กับพวกอู๋ฝาน แต่ยังมีกลุ่มอื่น พวกเขาจะเดินทางโดยใช้หลากหลายเส้นทาง มุ่งสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน พวกเขาก็เป็นหน่วยขนส่งเสบียงเช่นอู๋ฝานและพรรคพวก ที่รับหน้าที่เป็นทหารชั่วคราวเช่นเดียวกัน

เสบียงถูกบรรจุลงใส่รถบรรทุกขนย้าย พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อ

จนกระทั่งถึงช่วงเย็น ฟ้ามืด ทั้งคณะจึงหยุดเดินทาง ประจำอยู่กับที่ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น การเดินทางยังคงราบรื่นผ่านพ้นไปด้วยดี

อาณาจักรเหยียนเฟิง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทุ่งราบรกร้าง

เดิมที่รกร้างแห่งนี้มีภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก มันตั้งคาบเกี่ยวอยู่บริเวณสี่ชายแดนของอาณาจักรเหยียนเฟิง อาณาจักรเฟิงเยี่ย อาณาจักรเทียนจี และอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย ดังนั้นมันจึงตกเป็นสถานที่ซึ่งมักเกิดปัญหาการทวงถามถึงความเป็นเจ้าของ แต่ละอาณาจักรต่างมองเป็นพื้นที่ของตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเกิดเป็นความขัดแย้งอยู่บ่อยครั้งในนานาอาณาจักร เพราะปัญหาเรื่องสิทธิ์การครอบครองนั้นไม่เคยตกลงกันได้

ภายหลังหลายอาณาจักรได้พบว่าที่แห่งนี้แทบไม่มีค่าอะไร พวกเขาจึงไม่ยินดีสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ วัสดุยุทโธปกรณ์ รวมถึงการเงินไปกับที่นี่ จนกระทั่งมันกลายเป็นพื้นที่รกร้าง คนของโลกอสูรเข้ามาแฝงตัวอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลายาวนาน ถึงขนาดไม่มีใครตระหนักรับรู้ถึงได้ อย่างน้อยก็ไม่ จนกระทั่งผู้คนจากโลกอสูรสร้างเมืองขึ้นที่นี่ เพื่อเป็นหัวเมืองสะพานเชื่อมโลกอสูรกับโลกมนุษย์ จนเป็นเหตุให้ผู้คนเกิดตื่นตัวกันขึ้นมา

เพียงแต่ เพราะสภาพภูมิประเทศของที่นี่ค่อนข้างพิเศษ ไม่ว่าจากอาณาจักรใดก็ต้องเดินทางผ่านทุ่งรกร้าง ดังนั้นทั้งสี่อาณาจักรจึงไม่อาจเชื่อใจอาณาจักรอื่น ต่อให้สี่อาณาจักรเห็นพ้องต้องกันเรื่องการบุกโจมตีใส่คนของโลกอสูรและขับไล่พวกเขาออกไป พวกเขาก็จะต่อสู้จากทิศทางของฝั่งตนเอง โดยการตีเมืองจากโลกอสูรที่มีทิศทางหันไปยังอาณาจักรของพวกเขา และผู้คนต่างอาณาจักรไม่อนุญาตให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเส้นทางเดินทัพของอาณาจักรอื่น

ขณะเดียวกัน เพราะความไม่ไว้ใจภายในสี่อาณาจักร พวกเขาจึงเกิดกังวลว่าอาจมีคนจากอาณาจักรอื่นฉวยโอกาสตอนบุกโจมตีโลกอสูร หลบเลี่ยงสายตาของพวกเขาจนข้ามผ่านทุ่งรกร้างและแทรกซึมเข้าอาณาจักรของตนเองได้สำเร็จ

เพราะเหตุดังกล่าว ศักยภาพการบุกโจมตีผู้คนของโลกอสูรจึงลดลงไปเรื่อย ๆ

ทางฝั่งของอาณาจักรเหยียนเฟิง มีหลี่เต๋อหมิงที่ชำนาญการศึกรับผิดชอบหน้าที่นำกองทัพ

หลี่เต๋อหมิงมีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวนาน ในช่วงแรกเริ่ม เขาออกนำกองทัพเข้าสู้ศึกอยู่หลายครั้ง ต่อกรกับนานาอาณาจักรรอบด้าน รวมถึงคนของโลกอสูรก็เช่นเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้บัญชาการศึกมากประสบการณ์ และเหตุการณ์รุกรานของโลกอสูรในครั้งนี้ ทางราชสำนักจึงส่งเขามา

ปัจจุบันหลี่เต๋อหมิงอายุได้ห้าสิบปี แม้ว่าไม่มีความหาญกล้าดังเช่นวัยหนุ่มแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้มาแทนคือความสงบนิ่ง จากขุนพลผู้เลือดร้อนในเยาว์วัย กลับกลายเป็นขุนพลที่เปรียบดังขงเบ้งในปัจจุบัน

“ในค่ายมีเสบียงและหญ้าเหลืออยู่เท่าไหร่?” หลี่เต๋อหมิงนั่งอยู่ที่เต็นท์หลักของขุนพล ถามผู้ช่วย

ปัจจุบันผู้คนในโลกอสูรค่อนข้างยืนหยัดได้อย่างเหนียวแน่น การศึกจึงยิ่งดุเดือด เสบียงและหญ้าที่ขนส่งลำเลียงมารอบก่อนหน้าไม่เพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้ขนส่งมาจากแนวหลังเพิ่มมากขึ้น