บทที่ 139 ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 139 ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย

บทที่ 139 ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย

“สักหนึ่งอาทิตย์น่าจะเพียงพอขอรับ” ผู้ช่วยเอ่ยคำตอบ

“แล้วเสบียงกับหญ้าจากแนวหลังจะส่งมาถึงเมื่อไหร่?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถาม

“หากเร็วที่สุด ก็น่าจะราวห้าวันขอรับ อย่างช้าก็สัปดาห์หนึ่ง” ผู้ช่วยกล่าวตอบ

“มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมใช้เวลานานขนาดนั้น?” หลี่เต๋อหมิงขมวดคิ้ว

ด้วยฐานะขุนพลเฒ่าในกองทัพ หลี่เต๋อหมิงทราบดี ว่าระหว่างการสู้รบ เรื่องราวไม่คาดคิดย่อมเกิดขึ้นได้ตลอด เมื่อใดเกิดเรื่องราวไม่คาดคิดเช่นนั้นขึ้น เสบียงและหญ้าที่จะมาถึงในห้าหรือเจ็ดวัน อาจกินเวลายาวนานกว่านั้น ขณะที่เสบียงและหญ้าที่นี่จะไม่มีทางอยู่รอดได้นาน

“สาเหตุเป็นเพราะเสบียงและหญ้าจำเป็นต้องใช้เวลาสะสม นอกจากนี้ บุคคลที่รับหน้าที่ขนส่งเสบียงและหญ้ายังเป็นอาสาสมัครชั่วคราวจากหมู่บ้านและเมืองทั้งหลาย พวกเขาเหล่านั้นเพียงเข้ารับการฝึกฝนในระยะเวลาอันสั้นขอรับ” ผู้ช่วยรายงานตอบกลับ

“เหอะ! ก่อนจะเคลื่อนพลมาที่นี่ เสบียงและหญ้าถือว่ามีความสำคัญลำดับแรก! มันเป็นเรื่องที่แม้แต่ทหารชั้นล่างสุดของกองทัพก็ยังทราบ แต่พวกราชสำนักกลับไม่ทราบ! โดยเฉพาะกับพวกเสนาบดีอย่างโจวเหยียนเฟิง ทั้งที่เป็นถึงเสนาบดีรับหน้าที่ดูแลเรื่องการเสบียง แต่ตอนที่ร้องขอเสบียงก่อนจะเริ่มเดินทัพ มันกลับบ่ายเบี่ยงหาข้ออ้าง หากไม่ใช่เพราะคำขององค์เหนือหัว มันก็คงยังยืนกรานไม่ยินดีจะมอบเสบียงอาหารให้ ตอนนั้นย้ำไปแล้วว่าเสบียงที่มันให้มานั้นไม่พอ จึงขอให้มันรวบรวมสะสมต่อไป แต่กลับไม่คิดเอาจริงเอาจัง ขณะนี้ทางแนวหน้าต้องการเสบียง มันก็ยังหามาเติมได้แทบไม่ทันเวลา ใช้ไม่ได้เสียจริง!” หลี่เต๋อหมิงสบถร่ายยาวออกมา

“ทางฝั่งฝ่ายสำนักปกครองทำเกินไปจริง ๆ ขอรับ” ผู้ช่วยร่วมเห็นพ้องไม่พอใจ “พวกมันถึงกับถ่วงมือถ่วงเท้าขนาดนี้”

แท้จริงแล้ว ผู้ช่วยทราบดีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร มันไม่ใช่ข้อพิพาทระหว่างหลี่เต๋อหมิงกับฝ่ายสำนักปกครอง แต่เป็นข้อพิพาทระหว่างกลุ่มขุนพลแห่งกองทัพกับกลุ่มขุนนางแห่งสำนักปกครอง

อาณาจักรเหยียนเฟิงเป็นดินแดนแห่งปราชญ์บัณฑิตมาโดยตลอด ครั้งบรรพชนก่อตั้งอาณาจักร ก็จงใจสะกดข่มอำนาจขุนพลแห่งกองทัพ เพราะตัวบรรพชนเหล่านั้นเองก็เคยเป็นขุนพลมาก่อน ทว่าอาณาจักรนั้นก่อตั้งขึ้นจากการก่อกบฏของพวกเขา ดังนั้นจึงหวาดเกรงขุนพลผู้อื่น หวาดเกรงว่าพวกเขาจะกระทำเรื่องราวเช่นที่เคยกระทำในครั้งอดีต

มันคือข้อเท็จจริงในอาณาจักรเหยียนเฟิง ที่สถานะของปราชญ์บัณฑิตสูงกว่า ขณะที่สถานะขุนพลแห่งกองทัพต่ำต้อยกว่า แม้สถานะทัดเทียมกัน แต่ยามขุนพลเผชิญหน้ากับปราชญ์สำนักปกครอง พวกเขาก็จะด้อยกว่าครึ่งขั้น หรืออาจจะเต็มขั้น กล่าวคือผู้ที่ด้อยกว่าไม่มีสิทธิ์มีปากมีเสียง

อำนาจของราชสำนักก็อยู่ในมือของสำนักปกครองมาโดยตลอด ขุนพลแห่งกองทัพมีสิทธิ์มีเสียงในราชสำนักน้อยนิด ในใจของจักรพรรดิและข้าราชบริพาร ขุนพลกองทัพเป็นเพียงแค่ผู้นำทัพทหารออกไปสู้ศึก ส่วนด้านการปกครองประเทศ พวกเขาคือผู้มีความสำคัญสูงสุด ดังนั้นเหล่าปราชญ์บัณฑิตจึงวางตัวเป็นผู้ควบคุม

เพียงแต่ หลายปีที่ผ่านมาสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย

หลายปีที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ของราชสำนักค่อนข้างฟอนเฟะ มีทหารกบฏเกิดขึ้นในพื้นที่ แม้ว่าสยบพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ได้สำเร็จ ทว่าไม่ช้าก็ต้องเกิดขึ้นที่อื่น และวนเวียนซ้ำเช่นนั้นเรื่อยไป

นอกจากนี้แล้ว อิทธิพลของโลกอสูรยังเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะพลังงานอสูรหรือคนของโลกอสูร พวกเขาคอยรุกล้ำโลกมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาครั้งใหญ่บนแผ่นดิน และปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ก็เพียงใช้กำลังทางการทหาร

นอกจากนั้น ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรเหยียนเฟิงและอาณาจักรใกล้เคียงก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น

ปัจจัยทั้งหลายรวมกัน ทำให้สถานะและอำนาจของขุนพลกองทัพในอาณาจักรเหยียนเฟิงเติบโตขึ้น

กลุ่มสำนักปกครองที่ตลอดมาสะกดข่มสะกดกลุ่มกองทัพเอาไว้ ย่อมไม่ยินดีได้เห็นขุนพลคนใดขึ้นมามีบทบาทอำนาจทัดเทียมเสมอพวกตน พวกเขาไม่ต้องการได้เห็นขุนพลคนใดมีสถานะสูงส่งขึ้น เพราะมันอาจเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา

ดังนั้นแล้ว ปัญหาระหว่างกลุ่มสำนักปกครองและกลุ่มกองทัพจึงยิ่งทวีความรุนแรง บ่อยครั้งที่ระหว่างสองฝ่ายจะเกิดปัญหาดึงเชิงต่อกันจนเกิดเรื่อง

และครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายสำนักปกครองจงใจลากถ่วงขุนพลแนวหน้า ด้วยปัญหาทางด้านเสบียงและหญ้า ที่ลำเลียงจัดส่งช้าจนเกินคาดคิด

แน่นอนว่า ทางฝ่ายสำนักปกครองย่อมไม่กล้าปฏิเสธการนำส่งเสบียงและหญ้าแก่ขุนพลแนวหน้า หากไม่ทำแล้วเรื่องราวนี้ทราบถึงจักรพรรดิขึ้นมา พวกเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“แล้วทหารชั่วคราวพวกนั้นมันเป็นเรื่องบ้าอะไร?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าที่ราชสำนักยังเหลือกำลังทหารอีกมากมายหรือยังไง? เพราะอะไรถึงต้องเรียกสมัครกองทัพสำรองพวกนั้น?”

“เหมือนจะเป็นเพราะว่า ไม่นานมานี้ราชสำนักเกิดความไม่สงบขึ้น มีการก่อกบฏเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ดังนั้นองค์เหนือหัวจึงส่งกองกำลังออกไปปราบปราม ส่วนกองทัพที่ยังเหลือก็ไม่อาจส่งออกไปเดินทัพโดยบุ่มบ่ามได้” ผู้ช่วยกล่าวตอบ

หลี่เต๋อหมิงอยู่ที่ทุ่งรกร้างแห่งนี้มายาวนาน และแทบไม่เคยสนใจเรื่องราวของพื้นที่อื่น จนเพิ่งจะได้ทราบก็ตอนนี้

ภายหลังได้ยินคำของผู้ช่วย เขาจึงแค่นเสียงเย็นชาตอบรับ “ทั้งหมดไม่ใช่ผลงานของพวกสำนักปกครองหรือยังไง หากไม่ใช่เพราะท่าทีที่บิดเบี้ยวของพวกมัน มีหรือคนมากมายจะเอาตัวไม่รอดได้ถึงขนาดนั้น? แทนที่จะเพิ่มจำนวนประชากรมีแต่จะลดลง องค์เหนือหัวสมควรตัดศีรษะพวกมันเสียให้หมด”

ในฐานะขุนพลอาวุโสแห่งกองทัพ หลี่เต๋อหมิงมีความขัดแย้งกับข้าราชการสำนักปกครองอย่างลึกล้ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีต้องสู้รบมาด้วยโดยตลอด และเขาแทบไม่มีความประทับใจอันดีใดต่อปราชญ์บัณฑิตหนอนหนังสือเหล่านั้น

“เพียงแต่ แค่การขนส่งเสบียงและหญ้า ต่อให้ใช้กองทัพสำรองที่รับสมัครมาเป็นการชั่วคราว มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถึงขนาดนั้น” หลี่เต๋อหมิงกล่าวตอบ

อย่างไรแล้วขนการส่งเสบียงและหญ้าก็ไม่ใช่การออกไปสู้ศึกในสมรภูมิรบ มันแทบไม่จำเป็นต้องมีความสามารถในการต่อสู้ ทั้งยังไม่ต้องการความแข็งแกร่งอะไรมากมาย การเกณฑ์แรงงานมาเพื่อใช้ขนส่งทางกองทัพถือว่ามีความเหมาะสม

“ท่านขุนพล พวกเราควรส่งคนไปพบพวกเขาดีหรือไม่?” ผู้ช่วยเอ่ยคำถาม “ไม่นานมานี้ ทางราชสำนักก็ไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก”

“ก็ควรทำ แต่เจ้าคิดว่าพวกเรามีกำลังทหารสำรองพอให้ระดมไปได้งั้นหรือ?” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยถาม

พวกเขาในปัจจุบันแทบจนมุมต่อโลกอสูรมาค่อนข้างยาวนานแล้ว กำลังเสริมจากทางฝั่งโลกอสูร เป็นเหตุให้หลี่เต๋อหมิงแบกรับแรงกดดันที่แนวหน้าอย่างหนักหนา ขณะเดียวกัน พวกเขายังต้องคอยป้องกันคนของอาณาจักรอื่นบุกเข้ามาลอบกัดเล่นงาน ดังนั้นหลี่เต๋อหมิงจึงไม่อาจระดมกำลังพลโดยบุ่มบ่ามเพื่อการอื่นได้

ผู้ช่วยพยักหน้าตอบรับเป็นการเข้าใจ “ครั้งนี้ไม่น่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นขอรับ”

พวกเขาทำได้เพียงคิดเห็นเช่นนั้น เพราะไม่มีทางที่พวกเขาจะระดมกำลังทหารออกไปพบหน่วยขนส่งลำเลียงเสบียง แม้ว่าขณะเดียวกันนั้นความต้องการเสบียงจะเป็นเรื่องราวเร่งด่วน แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงคาดหวัง ว่าการขนส่งเสบียงมายังที่นี่จะไม่เกิดอุบัติเหตุใดขึ้น

อู๋ฝานและคณะ เดินทางอยู่หนึ่งวัน จนกระทั่งดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ทั้งคณะจึงหยุดเดินทางและเริ่มตั้งค่ายพักแรม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

ยุคสมัยนี้ถนนหนทางไม่มีแสงไฟ อีกทั้งผู้คนมากมายยังต้องเผชิญกับความมืดที่แทบไม่อาจมองเห็นอะไรอื่นได้ นอกจากนี้ ระหว่างทางยังมีสัตว์ป่าและมอนสเตอร์ดุร้ายที่อาจปรากฏตัว ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่มีการเลือกเดินทางในช่วงกลางคืนอย่างเด็ดขาด

ผู้บัญชาการค่ายวิหค ได้แสดงท่าทีอันชัดเจนว่าไม่คิดเดินทางในยามค่ำคืน

แท้จริงแล้ว หลี่เต๋อหมิงที่อยู่แนวหน้าค่อนข้างร้อนรนเรื่องเสบียงและหญ้า เพียงแต่คนที่นำเสบียงและหญ้าจากแนวหลังไปส่งนั้น หาได้มีความร้อนรนแต่อย่างใดไม่

บรรยากาศของทั้งค่ายวิหคค่อนข้างผ่อนคลาย เพราะเบื้องบนสั่งการมาเพียงว่า ให้นำเสบียงไปส่งถึงที่หมายภายในหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นผู้บัญชาการค่ายวิหคจึงไม่คิดเร่งร้อน ถึงขนาดยอมเสี่ยงเดินทางในช่วงเวลาค่ำคืนอย่างแน่นอน