บทที่ 140 พบเจอมอนสเตอร์

บทที่ 140 พบเจอมอนสเตอร์

เพียงไม่นานหลังตั้งค่ายพักแรม อู๋ฝานจึงกลับสู่โลกความเป็นจริง ตัวเขาค่อนข้างดีใจที่ไม่มีความจำเป็นขนาดต้องเดินทางในยามค่ำคืน หากไม่แล้ว ความลับของตัวเขาคงถูกเปิดโปง

เช้าวันที่สอง ก่อนทุกคนจะออกเดินทาง อู๋ฝานก็กลับมาได้ทันเวลา

หลังจากตรวจสอบรถม้าบรรทุก ทุกคนจึงออกเดินทางกันอีกครั้ง อู๋ฝานนั่งบริเวณมุมขอบของรถม้าทางด้านหน้า สายตามองทุกสิ่งอย่างรอบด้านด้วยความเบื่อหน่าย

ทั้งคณะเดินทางอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นเองที่ปรากฏเสียงอึกทึกดังขึ้นจากทางด้านหน้า หน่วยที่อยู่ด้านหน้าค่อนข้างมีสภาพโกลาหล ทั้งคณะลำเลียงเสบียงจึงต้องหยุดชะงักลง อู๋ฝานกระโดดลงจากรถม้า และมองออกไปทางด้านหน้า

“เสี่ยวลิ่ว ไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น” อู๋ฝานบอกกับเจิ้งเสี่ยวลิ่ว

เจิ้งเสี่ยวลิ่วเร่งรีบตรงไปทางด้านหน้า ก่อนจะเร่งร้อนกลับมาในอึดใจ

“หัวหน้า หน่วยทางด้านหน้าพบมอนสเตอร์” เจิ้งเสี่ยวลิ่วบอกอู๋ฝาน

“มอนสเตอร์?” ดวงตาอู๋ฝานทอประกาย “ไป! พวกเราไปชมกัน”

อู๋ฝานที่ใช้เวลาอยู่ในค่ายรับการฝึกซ้อมเกินกว่าหนึ่งสัปดาห์ จึงไม่เคยมีโอกาสได้สังหารมอนสเตอร์แม้สักตัว ขณะนี้ได้ยินว่ามีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น เขาย่อมไม่อาจอดใจได้ไหว

ปัจจุบัน ผู้บัญชาการค่ายวิหคได้ขอให้กลุ่มคนที่ติดอาวุธในแต่ละกองพันออกไปเป็นแนวหน้า ส่วนผู้ที่ไม่มีอาวุธให้ถอยไปแนวหลัง

อู๋ฝานและหน่วยล้วนแล้วแต่มีอาวุธกันทุกคน ดังนั้นเวลานี้ พวกเขาจึงถือเป็นแนวหน้าไปโดยปริยาย

[หมาป่าเนตรสีชาด: เลเวล 15]

มันเป็นเพียงสัตว์ป่าทั่วไป แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากพลังงานอสูร จึงกลับกลายเป็นมอนสเตอร์ที่ดุร้าย

มอนสเตอร์ที่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน จะมีพลังโจมตีสูง ความว่องไวสูง แต่มีพลังป้องกันต่ำ วิธีการโจมตีหลักนั้นเน้นที่ฟันและกรงเล็บ มอนสเตอร์ที่อยู่เป็นฝูง เมื่อใดพวกมันพบเจอเหยื่อ พวกมันจะทุ่มเทสุดตัวไม่ตายไม่เลิกรา

ขณะอู๋ฝานมาถึงแนวหน้า เขาได้ใช้วิชาตรวจสอบกับมอนสเตอร์เรียบร้อย พบว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องการอย่างเหมาะสม

“เลเวลสิบห้า? ไม่ได้สูงอะไรมาก แต่การอยู่เป็นฝูงออกจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง โชคดีที่เราไม่ได้อยู่ลำพัง” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเอง

ระหว่างทางจากหมู่บ้านเร้นลับมายังเทศมณฑลชิงหยวน อู๋ฝานได้พบเจอมอนสเตอร์เลเวลมากกว่าสิบมากมาย แม้ว่าตัวเขาเลเวลเพียงแค่สาม แต่ด้วยอุปกรณ์สวมใส่ที่ดี จึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ สังหารมอนสเตอร์ที่เลเวลเกินกว่าสิบด้วยตัวคนเดียว แต่ต้องไม่ใช่การพบเจอเป็นฝูง

ขณะที่หมาป่าเนตรสีชาดเป็นจำพวกที่อยู่เป็นฝูง หากลำพังอู๋ฝานพบเจอพวกมันเข้า เขาก็คงมีชะตาคือตกเป็นเหยื่อถูกสังหาร นับเป็นโชดดีที่ปัจจุบันมีพรรคพวกมากมายอยู่ด้วย

“โฮก!!…” หมาป่าเนตรสีชาดและคณะขนส่งลำเลียงประจันหน้ากัน เพียงแต่ยังไม่ได้เกิดการปะทะโดยทันที พวกมันยังคงเอาแต่เห่าหอน

ภายหลังติดเชื้อพลังงานอสูรเข้าไป พวกมันจึงยิ่งดุร้าย และมีความกล้าได้กล้าเสียมากยิ่งขึ้น แม้เผชิญหน้ากับอู๋ฝานและคณะ พวกมันก็ไม่มีท่าทีคิดถอยแต่อย่างใด

ที่บริเวณตรงหน้าฝูงหมาป่าเนตรสีชาด มันปรากฏตัวที่ขนาดใหญ่กว่า ดวงตาดุร้ายยิ่งกว่าตัวอื่นในฝูง ไม่ใช่แค่ดวงตาของมันเป็นสีแดง แต่ทั้งใบหน้าของมันเป็นสีแดงทอประกาย ดูไปแล้วค่อนข้างแปลก และเสียงเห่าหอนที่ดังจากปากของมันคล้ายจะเป็นคำสั่งการต่อฝูง

[ราชาหมาป่าเนตรสีชาด: เลเวล 20]

[ผู้นำฝูงมอนสเตอร์ที่ดุร้ายและโหดเหี้ยม มันสามารถบัญชาการเหล่าหมาป่า ทักษะเสียงหอนหมาป่า สามารถเพิ่มขวัญกำลังใจของฝูงหมาป่า เพิ่มพลังการต่อสู้ให้ฝูงหมาป่า และสามารถเรียกอัญเชิญหมาป่าตัวอื่นมาได้]

สมกับเป็นทักษะของบอสมอนสเตอร์!

อู๋ฝานตกใจ ตอนที่ได้เห็นผลลัพธ์หลังใช้วิชาตรวจสอบ ตะโกนเสียงดังทันที “ไม่ดีแล้ว พวกมันกำลังเรียกรวมพวกหมาป่ามาเพิ่ม ต้องรีบฆ่าพวกมันให้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”

คณะขนส่งลำเลียงถูกฝูงหมาป่าขัดขวางเส้นทางอย่างกะทันหัน ตอนแรกพวกเขาแตกตื่นไปบ้าง ภายหลังพบเห็นพวกมันไม่เริ่มโจมตีจึงเกิดผ่อนคลาย กระทั่งนึกสงสัยว่าหมาป่าพวกนี้ไม่กล้าพอสังหารพวกตน ทำได้เพียงเห่าหอนข่มขวัญ

หากพวกมันไม่เปิดฉากต่อสู้ ก็ไม่มีใครคิดอยากต่อสู้ด้วย ที่เผชิญหน้าอยู่คือฝูงมอนสเตอร์ ทั้งยังค่อนข้างดุร้าย ขณะที่พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มอดีตเกษตรกรที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง หากทำพลาดคือเสียชีวิต และไม่มีใครในที่นี้อยากบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ดังนั้น พวกเขาจึงทำเพียงเผชิญหน้าค้ำยันกับพวกหมาป่าที่นี่ โดยคาดหวังว่าพวกมันจะกลัวจนหลบหนีไปเอง

ขณะเวลานี้เอง ที่อู๋ฝานพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนถึงกับทำทุกคนตื่นตกใจ

“เจ้าเป็นใคร ถ้าหากไม่รู้อะไรจงอย่าพูดจาไร้สาระ”

“ถึงอยากก็ทำไม่ได้! ฝ่ายพวกเรามีอาวุธน้อยเกินไป ขณะที่พวกมันปราดเปรียวรวดเร็ว ขยับเมื่อไหร่ ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการมีผู้ต้องเสียชีวิต”

“อยากทำจงทำเอง ข้าไม่ขอร่วมด้วย”

ท่ามกลางผู้คนรอบด้าน ไม่ใช่ว่ามีเพียงแต่คนในหน่วยของอู๋ฝาน แต่ยังมีคนจากกองพันอื่นรวมอยู่ด้วย

หนิวเอ้อและคณะในปัจจุบันเชื่อฟังคำพูดของอู๋ฝาน ดังนั้นจึงไม่คิดปฏิเสธคำของเขา เพียงแต่คนของกองพันอื่นไม่ได้เชื่อใจในตัวอู๋ฝานถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะกับสถานการณ์อันตรายถึงตายเช่นตอนนี้ พวกเขายินดีที่จะเชื่อการตัดสินใจของตนเองกันเสียมากกว่า

อู๋ฝานเผยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเมินเฉยกลุ่มคนไม่รู้ความเหล่านี้ พร้อมกับนำเอาธนูยาวที่โจวซานมอบให้ออกมา โน้มสายคันธนู ตั้งลูกธนู ทั้งกระบวนการเกิดขึ้นในเวลาเพียงอึดใจ

“ฟุ่บ!”

ลูกธนูพุ่งตรงออกไปใส่หัวของหมาป่าตัวหนึ่งด้วยความเร็วอันสูงล้ำ

เพียงแต่ แม้ว่าฝูงหมาป่าเหล่านี้เงยหน้าเห่าหอนเสียงดัง แต่ความระมัดระวังรอบด้านของพวกมันไม่ได้ถดถอย ดังนั้นตอนที่ลูกธนูของอู๋ฝานยิงเข้าหา มันจึงขยับตัวหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว เพียงกระโดดหนึ่งครั้ง มันก็หลบเลี่ยงลูกธนูได้

หมาป่าตัวนั้นใช้ดวงตาสีแดงของมันจับจ้องอู๋ฝาน ปากของมันอ้ากว้างเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันดิบเถื่อน เป็นฟันสีขาวเลอะด้วยคราบน้ำลาย ดวงตาของมันทอประกายแสงอันเย็นยะเยือกจับจ้องมองมา

อู๋ฝานสีหน้าไม่เปลี่ยน เขาหันไปกล่าวกับหนิวเอ้อและคณะ “ตามข้าออกไปโจมตี! ตั้งวงค่ายกลอย่าแยกห่างจากกัน”

กระทั่งหนิวเอ้อและคณะก็ยังหวาดกลัวเช่นกัน สีหน้ายิ่งซีดเผือดลง อย่างไรนี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ ขณะที่ในอดีตเคยได้ยินคำเล่าขานถึงความดุร้ายของมอนสเตอร์มามากมาย ปัจจุบันเกิดหวาดกลัวขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

เพียงแต่ พวกเขาก็ยังกัดฟัน ติดตามอู๋ฝานก้าวเท้าเดินออกไปเบื้องหน้า ทั้งหมดเพียงเพราะเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม

“เหอะ มาจากกองพันไหนกัน แส่หาความตายโดยแท้ อย่าลากพวกเราเสี่ยงไปด้วย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าไปยั่วยุพวกมัน!”

“คนพวกนี้บ้ากันไปแล้วหรือยังไง!?”

การกระทำของอู๋ฝานและหน่วย เป็นเหตุให้คนของกองพันอื่นไม่เข้าใจ นอกจากคนเหล่านี้จะต่อว่าอู๋ฝานแล้ว ยังคิดว่าที่พวกเขากำลังกระทำคือการยั่วยุมอนสเตอร์ จนสุดท้ายอาจทำร้ายผู้คนทั้งหมด

“ทุกคนจากกองพันที่สามจงฟัง ใครที่มีอาวุธจงติดตามหน่วยที่สี่บุกโจมตีใส่พวกหมาป่า ไม่มีที่ให้ถอย!” เสียงของโจวซานดังขึ้น

เห็นได้ชัด ว่าโจวซานเลือกที่จะเชื่อในการตัดสินใจของอู๋ฝาน!

“โจวซาน เจ้าเป็นบ้าอะไรไปแล้ว? คนใต้บัญชาของเจ้าก่อเรื่อง ไฉนเจ้ายังร่วมก่อเรื่องไปด้วย?”

“โจวซาน ให้คนของเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!”

“ที่พวกเราต้องทำก็เพียงแค่เผชิญหน้าพวกมัน ข่มขวัญให้พวกมันถอยหนี ไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรทั้งนั้น”

หัวหน้ากองพันอื่นต่างไม่พอใจต่อคำสั่งการของโจวซานอย่างเห็นได้ชัด

โจวซานมองกลุ่มคนเหล่านี้อย่างเหยียดหยันพลางตอบคำกลับ “ข่มขวัญพวกมันจนหนีไป? เกรงว่าหากพวกเรารอคอยต่ออีกสักนิด จะเป็นพวกเราที่ถูกพวกมันฉีกกระชากร่างกลับกลายเป็นอาหาร! พวกเจ้ามันสายตาแคบสั้นสิ้นดี!”

สิ้นคำกล่าว โจวซานจึงออกนำหน้าสังหารฝูงหมาป่า แม้ว่ามีบางคนในกองพันที่สามไม่เข้าใจเจตนาการกระทำของอู๋ฝานและโจวซาน แต่พวกเขาก็ยังติดตามร่วมลงมือโจมตีโดยพร้อมกัน