บทที่ 141 การต่อสู้อันดุเดือด

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 141 การต่อสู้อันดุเดือด

บทที่ 141 การต่อสู้อันดุเดือด

อู๋ฝานที่ได้เห็นโจวซานนำกลุ่มคนมาร่วมเปิดฉากสังหาร จึงเกิดนึกโล่งอก

หากเทียบเปรียบกับหัวหน้ากองพันคนอื่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าโจวซานมีสายตากว้างไกลกว่ามาก

“ตายซะ!” อู๋ฝานบุกทะยานถึงข้างตัวหมาป่า ทิ่มแทงมันด้วยกระบี่ยาวศิลาดำในมืออย่างรุนแรง

ค่าความว่องไวสิบห้าหน่วย ทำให้อู๋ฝานสามารถทิ่มแทงดาบได้อย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวศิลาดำในมือทิ่มแทงใส่หมาป่าเนตรสีชาดประหนึ่งกระแสลำแสงที่ไหลบ่า

เพียงแต่ แม้การเคลื่อนไหวของอู๋ฝานจะรวดเร็ว แต่หมาป่าเนตรสีชาดรวดเร็วยิ่งกว่า!

ขณะดาบของอู๋ฝานทิ่มแทงเข้าใส่ หมาป่าเนตรสีชาดทะยานตัวถอยกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโจนสองครั้งต่อเนื่อง กลับเข้าไปรวมกลุ่มกับฝูงหมาป่า

“วู๊!”

หลังจากหมาป่าเนตรสีชาดรวมฝูง พวกมันเงยหัวขึ้นหอนอีกครั้ง

ถัดจากนั้น หมาป่าตัวอื่นจึงเริ่มบุกเข้าสังหารอู๋ฝาน โจวซาน และพรรคพวก ดวงตาสีแดงของพวกมันลุกโชนทอประกาย เปี่ยมล้นด้วยความดุร้ายกระหายเลือด

“ปึก!”

กระบี่ยาวในมือของอู๋ฝานแทงใส่ร่างหมาป่าเนตรสีชาดที่พุ่งทะยานเข้าหาอย่างรุนแรง คมกระบี่ยาวสามารถผ่าเปิดร่างของพวกมันจนแยกออกจากกัน กระบี่ถูกย้อมไปด้วยสีเลือด เนื้อหนังของหมาป่าเนตรสีชาดถูกฉีกกระชากออก

“วู๊!”

หมาป่าเนตรสีชาดร้องออกด้วยความเจ็บปวด มันไม่ได้ถอยหนีหรือสะดุ้ง ชั่วพริบตากรงเล็บของมันยื่นยาวหมายจะฉีกกระชากร่างของอู๋ฝาน

“ตึง!”

กระบี่ยาวของอู๋ฝานต้านรับบริเวณหน้าอก สกัดกรงเล็บของหมาป่าเอาไว้ได้ทัน จนเกิดเสียงการปะทะระหว่างเล็บกับโลหะดังลั่น

อู๋ฝานยื่นเท้าออกมาอีกครั้ง เตะเข้าใส่หน้าท้องของหมาป่าเนตรสีชาด ส่งร่างของมันกระเด็นลอยลิ่วไปไกล

แม้ว่าจะส่งร่างหมาป่าเนตรสีชาดถอยกลับได้ แต่อู๋ฝานก็เสียโอกาสในการไล่ตามล่าราชาหมาป่าเนตรสีชาด บอสมอนสเตอร์ได้ซ่อนตัวอยู่กลางฝูง หากอู๋ฝานต้องการสังหารมัน ก็มีแต่ต้องสังหารฝูงหมาป่าเหล่านี้ให้หมดสิ้นเสียก่อน

ทราบว่ารีบร้อนก็ไปไม่ได้อะไร อู๋ฝานจึงอดกลั้นจัดการกับหมาป่าเนตรสีชาดปลายแถว

ช่วงเวลานี้ หนิวเอ้อและคณะคนของกองพันที่สามได้เปิดศึกเข้าพัวพันกับฝูงหมาป่าแล้ว การศึกจึงดำเนินไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านในชั่วพริบตา

หนิวเอ้อและพรรคพวกเชื่อฟังคำสั่งการของอู๋ฝาน จัดตั้งค่ายกลวงล้อมหลังชนกัน ไม่เปิดช่องให้แยกจากกันแม้แต่น้อย ในมือของพวกเขาถืออาวุธมีคมที่อู๋ฝานสร้างและมอบให้ ดังนั้นจึงไม่หวาดเกรงแม้ต้องต่อสู้กับหมาป่าเหล่านี้ทั้งฝูง

เพียงแต่ คนอื่นที่เหลือของกองพันที่สามไม่ได้มีโชคดีถึงเพียงนั้น มีเพียงอาวุธของโจวซานที่เป็นระดับทองแดง ส่วนของคนอื่นในกองพันที่สามล้วนเป็นอาวุธชั้นเลว อย่างมากก็เป็นอาวุธขั้นเริ่มต้น อย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงกองทัพสำรอง ที่ฝึกฝนเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ประสิทธิภาพการต่อสู้จึงไม่อาจสูงล้ำขนาดคาดหวังอะไรได้

ดังนั้นแล้ว ภายหลังเริ่มเปิดศึกกับหมาป่าเนตรสีชาด คนของกองพันที่สามจึงบาดเจ็บในเวลาไม่นาน แต่นับเป็นโชคดีที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิต

อู๋ฝานคอยเฝ้ามองทางด้านโจวซานอยู่ตลอด จึงได้พบว่าความแข็งแกร่งของโจวซานหาได้อ่อนด้อยไม่ อีกฝ่ายสะบัดมีดยักษ์ในมือประหนึ่งมันมีชีวิต เคล็ดวิชาที่ใช้งานร่วมยังยืดหยุ่นและว่องไว สภาวะพลังยอดเยี่ยม ไม่บ่อยนักที่การลงมีดครั้งหนึ่งจะทำหมาป่าเนตรสีชาดบาดเจ็บได้

ในส่วนของหัวหน้ากองร้อยคนอื่นแห่งกองพันที่สามซึ่งโจวซานคัดเลือก พวกเขาสมกับเป็นทหารที่เคยผ่านสมรภูมิสู้รบ ประสบการณ์การต่อสู้สูงล้ำ เคลื่อนไหวรวดเร็วคล่องตัว แม้ว่าจะไม่ดุดันเท่าโจวซาน แต่พวกเขาก็สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบขณะต่อกรกับหมาป่าเนตรสีชาด

ทางฝั่งของกองพันที่สาม เพราะการดำรงอยู่ของอู๋ฝาน โจวซาน และหัวหน้ากองร้อยทั้งสามคน พวกเขาจึงยังไม่เพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้ต่อหมาป่าเนตรสีชาด พวกเขาคอยเคลื่อนไหววนรอบพื้นที่สู้รบ หากเกิดเรื่องราวคับขันจะเข้าสนับสนุน จึงทำให้ผู้คนของกองพันที่สามสามารถคงสภาพการต่อสู้กับหมาป่าเนตรสีชาดเอาไว้ได้

เพียงแต่ อู๋ฝานยังคงมีความร้อนใจเพราะหมาป่าเนตรสีชาดส่วนหนึ่งยังคงเงยหน้าหอนภายใต้การปกป้องของหมาป่าส่วนใหญ่

ทางหนึ่ง เสียงหอนของพวกมันสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจและกำลังสู้รบของหมาป่าเนตรสีชาดที่กำลังต่อสู้ได้ อีกทางหนึ่ง มันคือการเรียกหมาป่าเนตรสีชาดที่อื่นให้มารวมตัวกันที่นี่ เมื่อใดที่กำลังสนับสนุนของพวกมันมาถึง จะยิ่งมีหมาป่าเนตรสีชาดจำนวนมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ทางฝั่งอู๋ฝานและพรรคพวกจะยิ่งอันตราย

“พวกเจ้ามัวรีรออะไรอยู่กัน? รีบลงมือเร็วเข้า!” อู๋ฝานร้อนรนตะโกนบอกกับสมาชิกกองพันอื่น

ปัจจุบัน มีเพียงต้องให้คนของกองพันอื่นเข้าช่วยเหลือสังหารหรือขับไล่หมาป่าเนตรสีชาดโดยเร็วที่สุด พวกเขาจึงจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ หากปล่อยไว้จะยิ่งทำให้หมาป่าเนตรสีชาดมารวมตัวกันมากขึ้น ถึงเวลานั้น ต่อให้คนของกองพันอื่นเข้าช่วยเหลือ ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะฝูงหมาป่าเนตรสีชาดที่รวมตัวกันได้อีก

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาวุธ พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาที่ได้รับการฝึกฝนอันน้อยนิดเสียด้วยซ้ำ

เพียงแต่ คำของอู๋ฝานไม่ได้นำพาให้คนของกองพันอื่นรุดหน้าเข้าช่วยเหลือ บางส่วนกระทั่งถอยเท้ากลับเสียด้วยซ้ำ

การต่อสู้ระหว่างกองพันที่สามและหมาป่าเนตรสีชาดดำเนินขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขา ที่ได้เห็นก็คือความแข็งแกร่งของหมาป่าเนตรสีชาด พวกเขาได้เห็นกับตาว่ามีหลายคนจากกองพันที่สามได้รับบาดเจ็บ กรงเล็บและฟันของพวกมันคมกล้า ตราบเท่าที่โดนข่วนแม้สักเล็กน้อยย่อมต้องเกิดบาดแผลเลือดไหลหลั่ง ทำให้ผู้คนจากกองพันอื่นหวาดกลัวหมาป่าเนตรสีชาดจากก้นบึ้งของหัวใจ

เมื่อเห็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้ อู๋ฝานยิ่งเดือดจัด พร้อมกับได้ตระหนักถึงความหมายของถ้อยคำที่ว่า ใจผู้คนนั้นบางเบาประหนึ่งขนนกขึ้นมาทันที

ตัวเขาเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยคนหนึ่งในกองพันที่สาม ถ้อยคำของเขาทำได้เพียงให้คนในหน่วยที่สี่เชื่อฟัง ส่วนคนของกองพันที่สามนั้นไม่คิดฟังเขาแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะโจวซานออกคำสั่ง เกรงว่าคนอื่นในกองพันที่สามจะไม่มีทางเข้ามาร่วมเปิดศึกกับหมาป่าเนตรสีชาดเสียด้วยซ้ำ

ในส่วนคนของกองพันอื่น พวกเขาไม่คิดฟังคำสั่งใครยิ่งกว่า นอกจากนี้ ถ้อยคำที่เอ่ยไป สำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงผายลมที่ผ่านมาเท่านั้น

โจวซานร้อนใจเช่นเดียวกัน เขาเห็นแล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เพียงแต่ตัวเขาไม่สามารถระดมกำลังคนจากกองพันอื่นได้ ด้วยนิสัยอารมณ์ร้ายยิ่งทำให้เขาสบถก่นด่าคนของกองพันอื่น แม้ว่าการทำแบบนั้นไปจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยก็ตาม

ผู้บัญชาการค่ายวิหคคืออวี่เฟย ซึ่งกำลังรับชมเรื่องราวด้วยสายตาเย็นเยือกบนหลังม้า เขายังคงเงียบงัน ไม่เอ่ยคำสั่งถอยหรือโจมตีใด ๆ ทั้งสิ้น

อวี่เฟยไม่ค่อยชอบใจในตัวโจวซานนัก เรียกได้ว่าไม่ชอบหน้าเลยอาจถูกต้องกว่า

อวี่เฟยทราบดีว่าโจวซานถูกส่งตัวมาจากกองทัพเฟยสยง มันเป็นกองทัพที่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมได้ พวกเขามีแต่มือดีชนชั้นหัวกะทิ ดังนั้นพละกำลังของโจวซานจึงถือว่าไม่เลวนัก

ครั้งยังอยู่ที่เทศมณฑลชิงหยวน อวี่เฟยเคยพูดล้อเล่นกับโจวซาน ว่าไม่เห็นมีความจำเป็นต้องฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดจริงจัง กับคนที่มารับใช้กองทัพเป็นการชั่วคราวถึงขนาดนั้น อย่างไรพวกเขาก็ถูกเกณฑ์กึ่งบังคับมาเข้าร่วม ไม่ใช่กองทัพประจำการแต่อย่างใด

เพียงแต่ โจวซานไม่เก็บคำของเขามาใส่ใจ แต่เลือกที่จะเดินตามเส้นทางของตนเอง เรื่องราวจึงเป็นเหตุให้อวี่เฟยไม่พอใจ

อวี่เฟยไม่ได้สงสารชาวนาเหล่านั้น แต่เขามองเพียงว่าตนเองคือผู้บังคับบัญชาของโจวซาน คำที่เขากล่าวไปแล้ว โจวซานควรรับฟังและทำตาม กระนั้นชายคนนั้นกลับเมินเฉยคำของเขา กล่าวว่าตนเองเป็นทหารมานาน และทราบดีว่าต้องฝึกฝนทหารใหม่เช่นไร

ความหมายของถ้อยคำนั้น เป็นการบ่งบอกว่าผู้บังคับบัญชาเช่นเขาไม่รู้จักวิธีการฝึกฝนใช่หรือไม่?