ตอนที่ 133 หน้าร้อนเก็บบัว

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

หลินหลงแปดเดือนครึ่งเกาะม้านั่งยาวเดินเองได้แล้ว และหลินเซียวที่โตเท่ากันเอาแต่นั่งอย่างมีความสุขอยู่บนเก้าอี้เด็กที่เถียนต้าฟู่ทำให้พวกเขา ยามนี้กำลังกัดกินผลซิ่งหวานหอมด้วยฟันหน้าสี่ซี่ของเขา

ตอนเด็กของเด็กผู้ชายจะไม่ได้คล่องว่องไวเหมือนเด็กผู้หญิง ความจริงนี้พิสูจน์ชัดจากทารกแฝดคู่นี้

“ข้ามั่นใจว่านางนี่แหละ” ซือทั่วสามเดือนห้าเดือนก็มาเมืองฝานฮัวที ถือเป็นการพักผ่อน ครั้งนี้เลือกประมุขหอเฟิงเหยาคนต่อไปแน่นอนแล้ว

“ซือหลิงไม่รับปากแน่” ซือเล่าพิงเก้าอี้ยาวสบายอารมณ์กล่าวออกมาพลางยกพวงองุ่นม่วงเข้าปาก เห็นหลินเซียวที่เอาแต่ขบผลซิ่งอยู่หันมาจ้องมองเขาตาวาว ก็เลือกองุ่นเม็ดดำและใหญ่ ปอกเปลือกแกะเม็ดแล้วส่งเข้าปากหลินเซียวที่น้ำลายยืดอยู่

“ก็พูดยาก” ซือทั่วยกมุมปากท่าทางมีเลศนัย ตอนแรกเพียงแต่บอกให้ทารกน้อยเลือกเอง ก็ไม่ได้บอกว่าเลือกด้วยวิธีไหนนี่

“หอเฟิงเหยาตอนนี้ไม่ใช่ว่ามั่นคงดีหรือ ร้อนใจเลือกผู้สืบทอดทำไม” ซือเล่าเห็นหลินเซียวสนใจองุ่นในมือเขามากกว่าผลซิ่งของตนเอง ก็หันไปตั้งใจลอกเปลือกให้เขาอีก

“หรือต้องรอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยเลือก จะว่าไปพวกเจ้าวันๆ ได้อยู่จวนพักตากอากาศธรรมชาติงดงามดูแลสุขภาพ ส่วนข้าต้องต่อสู้แลกชีวิตอยู่ข้างนอก เจ้าไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างหรือ” ซือทั่วโต้กลับอย่างเย็นชา

“ข้าไม่มีคุณสมบัติออกไปแล้ว” ซือเล่ายิ้มอย่างไม่รู้สึกผิดสักนิด พลังวัตรเขาไม่ว่าจะฟื้นคืนอย่างไร อย่างมากก็ได้แค่สองส่วนของจุดสูงสุด เขาเป็นเช่นนี้นอกจากเก็บตัวเป็นชาวนาเสพสุขที่นี่แล้ว ยังทำอะไรได้ นักฆ่าหรือ เกรงว่าไม่ทันให้เขาลงมือก็คงถูกกำจัดไปก่อนแล้ว

“ในหอเฟิงเหยาก็ไม่เห็นว่าทุกคนจะเป็นนักฆ่านี่” ซือทั่วใช้หางตามองเขาแวบหนึ่ง หากคนไม่เข้าใจเขา ได้ฟังวาจาหมดหวังเช่นนี้ บางทีก็อาจจะรู้สึกทุกข์ใจแทนเขา เพียงแต่พวกเขารู้ว่าซือเล่าครั้งนี้ไม่ได้คิดคืนยุทธภพแล้วจริงๆ ไม่ได้คิดกลับคืนวงการอีกแล้ว

“อ๋อ? ความหมายของเจ้าคือจะเชิญข้าไปคุมบัญชีการเงินหอเฟิงเหยา? หรือว่าพ่อบ้าน?” ซือเล่าเห็นหลินเซียวกินองุ่นไปทีเดียวห้าลูก ก็ไม่คิดลอกเปลือกให้เข้าอีกแล้ว อุ้มเขาขึ้นจากเก้าอี้เด็ก ให้เขาเรียนรู้ที่จะเกาะม้านั่งยาวเดินโยกเยกแบบหลินหลง “เซียว ชายชาตรีจะสู้น้องสาวไม่ได้หรือ มา พวกเรามาเดินกันทีละก้าวให้ท่านพ่อท่านแม่เจ้าดู…”

เห็นซือเล่าตั้งใจกระตือรือร้นกับหลินเซียวที่เอาแต่จะคลานกลับไปนั่งเก้าอี้เด็ก ซือทั่วก็ส่ายหน้าหมดวาจาจะกล่าว “ซือหลิงให้เงินเดือนเจ้าหรือ ถึงกับมาสอนเซียวหัดเดินโดยไม่สนใจกำลังกายตนเอง”

“ผิด ข้าอยากทำภารกิจนี้เอง เจ้าไม่รู้สึกหรือหากสอนให้เซียวเดินได้จะรู้สึกประสบความสำเร็จมากน่ะ” ในที่สุดซือเล่าก็ทำสำเร็จ ทำให้หลินเซียวเหงื่อท่วมใบหน้าคลานลงพื้น แต่สองมือยังเกาะม้านั่งยาวไว้แล้วก็ไม่ยอมเดินอีกแม้แต่ครึ่งก้าว

“รู้สึกประสบความสำเร็จ? อืม ข้าคิดว่าเด็กคนไหนก็ตาม ถึงอายุแล้ว ช้าเร็วก็เดินได้เอง” ซือทั่วเบ้ปากอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

“เชอะ พวกไม่รู้เรื่องอย่างเจ้าไปยืนข้างๆ โน่นไป อย่ามาขวางทางการฝึกพวกเรา มา เซียว เด็กดี เด็กดี ลงมาลองดูหน่อย! ดูน้องสาวเจ้าเดินดีขนาดไหน สองเท้าเหยียบพื้นแล้วรู้สึกเจ๋งใช่ไหม…”

……

“เมืองหลวงมีข่าวมา ต้นเดือนฮ่องเต้มีราชโองการแต่งตั้งเหลียงเสวียนจิ้งเป็นกั๋วกง ตระกูลเหลียงได้รับพระเมตตายิ่ง ไม่ใช่เห็นแก่เจ้ากระมัง” ซือชงได้รับข่าวมาจากเมืองหลวง พอกล่าวจบก็สัพยอกต่อ

หลินซือเย่าเหลือบมองข้อความไม่กี่แถวในกระดาษ แล้วก็หรี่ตามอง ตอบด้วยอารมณ์นิ่งเรียบแบบปกติที่เป็นว่า “เรื่องดีต่อทั้งสองฝ่าย เขาย่อมยินดีเช่นนี้” แม้ว่าไม่ได้ระบุชัด คนฟังก็รู้ว่าที่เขากล่าวถึงก็คือฮ่องเต้ต้าหุ้ยหลี่เหวินซิว

เรื่องหลินซือเย่าเป็นรัชทายาทเซวี่ยหมิง ขุนนางบุ๋นบู๊แผ่นดินต้าหุ้ยบางทีอาจยังไม่รู้ แต่หลี่เหวินซิวย่อมรู้กระจ่างแล้ว ดังนั้นเพื่อรักษาความสงบสุขแผ่นดินต้าหุ้ย ปกป้องแผ่นดินตระกูลหลี่ของเขาเอาไว้ไม่ให้ล่มสลาย แน่นอนก็ต้องทำเรื่องที่เซวี่ยลี่ฮ่องเต้แผ่นดินเซวี่ยหมิงดีใจ ตอนนี้ที่เซวี่ยลี่คำนึงถึงที่สุดก็ย่อมเป็นหลินซือเย่าที่เมืองฝานฮัวอันไกลโพ้น และหลินซือเย่าก็มีรอยยิ้มให้เพียงซูสุ่ยเลี่ยนคนเดียว ดังนั้นให้ตระกูลเดิมซูสุ่ยเลี่ยนได้รับพระเมตตา หลี่เหวินซิวคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้เซวี่ยลี่ไม่เอาแต่จับจ้องจะกลืนแผ่นดินต้าหุ้ย

“หรือว่าเขาไม่รู้? ทันทีที่เจ้าย้ายบ้านไปจากแผ่นดินต้าหุ้ย พระเมตตาเหล่านี้ก็คงได้แต่ทำให้ตระกูลเหลียงยิ่งใหญ่ จนคุกคามตระกูลหลี่เขาแทน?” ซือชงส่ายหน้า คิดว่าหลี่เหวินซิวโง่เง่าพลางแอบขำ

“เขาไม่โง่ รู้ว่าข้าย่อมไม่ไป” หลินซือเย่ายกมือขยี้กระดาษเป็นผง โปรยลงไปบนกองดินนอกหน้าต่างห้องหนังสือ

“หรือว่าเขาไม่กลัวตระกูลเหลียงจะยกกำลังก่อกบฏ” ซือชงลูบคางไปมา จ้องมองต้นเยว่กุ้ยที่กำลังบานสะพรั่งนอกหน้าต่างพลางคาดเดา

“ตระกูลเหลียงหากคิด ตอนนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินตระกูลหลี่แล้ว” หลินซือเย่าเหลือบมองซือชงแวบหนึ่ง “อย่าลืม คนอย่างเหลียงเอินไจ่ไม่อ่อนแอ ค่อยๆ กลายเป็นองค์กรผดุงความเป็นธรรมที่คนในยุทธภพให้ความเคารพ หากเหลียงเอินไจ่มีใจคิดขึ้นแทนหลี่เหวินซิว ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่จากท่าทีเขา เขาไม่ได้คิดแย่งชิงแผ่นดินตระกูลหลี่ กลับยังช่วยหลี่เหวินซิวจับตาดูขุนนางบุ๋นบู๊ให้อยู่ในความเรียบร้อย”

“พอเจ้าพูดมาเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ยังมีอ๋องเซียงที่เหมือนจะคอยหนุนหลังเหลียงเอินไจ่อยู่ตลอด แปลกมาก เห็นๆ ว่าเป็นท่านอ๋องอิสระเสรีไม่มีอะไรให้ต้องวุ่นวาย แต่กลับแอบตั้งขบวนการลับร้ายกาจ หากไม่ได้คิดแย่งชิงอำนาจ พวกเขาทำเรื่องพวกนี้ก็น่าเสียดายจริงๆ”

“บางที นี่อาจเป็นความเหนือกว่าคนธรรมดาของพวกเขา การจับตาดูเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าหุ้ยก็ยิ่งขยันขันแข็ง ดูแลประชาอย่างดี และพวกเขาก็มีความสุขอิสระเสรี ไม่ต้องมาคอยห่วงว่าขณะกำลังอิสระเสรีอยู่ แล้วจะถูกหลี่เหวินซิวตัดรากถอนโคน” หลินซือเย่ากำลังกล่าวอยู่นั้นก็เห็นเงาร่างสองผู้ใหญ่สองเด็กน้อยในศาลาดอกบัวเมื่อครู่หายไปแล้ว ก็ขยับตัวโดดออกจากหน้าต่างไปทันที “หากไม่มีอะไร เทศกาลไหว้พระจันทร์เสร็จแล้วค่อยกลับเถอะ” ทิ้งวาจาไว้แล้วก็หายไปไม่เห็นเงา

“เชอะ ประตูมีดีๆ ไม่เดิน ชอบเอาแต่โดดหน้าต่าง” ซือชงส่ายหน้าปิดหน้าต่างห้องหนังสือ ค่อยๆ เดินออกจากเรือนสวนไผ่ไปบ้านหลินข้างๆ สิ่งที่ทำให้ซือหลิงเปลี่ยนสีหน้าได้ ไม่ใช่ภรรยาเขาก็คงเป็นเด็กน้อยสองคน แต่ทว่าพอคิดถึงว่าเช้ามาก็ถูกซือเล่าลักพาไปเล่นแล้ว ก็พอเดาความร้อนใจซือหลิงได้อยู่

“เกิดอะไรขึ้น?” หลินซือเย่าถามสีหน้าเคร่งเครียด

“ท่านเขย ท่านเล่าบอกว่าจะพาคุณหนูกับคุณชายน้อยไปสระบัวเก็บฝักบัว บ่าวกำลังจะไปรายงานคุณหนู” ไป๋เหอพอเห็นท่านเขยรั้งนางไว้ก็รีบคำนับกล่าวตอบ

“เก็บฝักบัว? เหลวไหล! พวกเขาอายุแค่แปดเดือน ไม่ใช่แปดขวบ!” พอหลินซือเย่าได้ยินก็สีหน้าซีดเผือด รีบกระโดดไปทางฝั่งใต้ของแม่น้ำ “อย่าเพิ่งไปบอกคุณหนู…”

ไป๋เหออึ้งไป ก่อนจะเข้าใจความหมายของท่านเขย เพราะว่ากลัวคุณหนูได้ยินแล้วจะตกใจ แต่ว่าหากไม่บอกคุณหนู กลับไปคุณหนูรู้เข้า ก็คงโมโหที่นางรู้แต่ไม่ยอมรายงาน เฮ้อ เป็นสาวใช้นี่ไม่ง่ายเลยนะ

สระบัวปลายเดือนเจ็ด ใบบัวแผ่ใบเต็มผืนแม่น้ำ ไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย เหมือนกับเหยียบใบบัวเดินจากฝั่งเหนือไปฝั่งใต้ได้

ระหว่างใบบัวก็ยังมีดอกบัวหลากสี ดอกบัวดอกใหญ่เบ่งบานมากมาย มีทั้งดอกบัวบานและดอกบัวที่ยังตูมอยู่ผสมกัน น้ำในสระบัวใสจนเห็นก้นสระ ใต้ใบบัวผืนกว้างมีฝักบัวอวบขาวซ่อนอยู่ ฝักอวบอิ่มเห็นแล้วทำให้อยากกิน

เรือเล็กไร้หลังคาพร้อมเสียงพายเรือจ๋อมแจ๋มดัง ค่อยๆ ไปถึงจุดลึกของสระบัว

“เป็นอย่างไร คุ้มค่าไหมล่ะ” ซือเล่ากอดหลินเซียวมองไปยังซือทั่วอุ้มหลินหลงตรงหน้าตัวแข็งทื่อมองตาค้าง “ข้าอยากพักผ่อนแบบนี้มาหลายวันแล้ว ท่านอาเหลา ลำบากท่านแล้ว”

“ไม่ลำบากๆ” ท่านอาเหลาที่กำลังตั้งใจพายเรือรีบส่ายหน้า ท่านอาเหลาผู้นี้นอกจากลงนาแล้วก็ไม่มีงานอื่นให้ทำ ตอนนี้มาทำงานเป็นคนสวนให้จวนสามซือบนพื้นที่สี่หมู่ เรียกว่าคนสวน แท้จริงแล้วก็แค่ตัดกิ่งก้านใบ บางครั้งก็ถูกเจ้านายตามไปทำงานอะไรเล็กๆ น้อยๆ เช่นตอนนี้ ถูกซือเล่าลากมาพายเรือ

“เจ้าไม่กลัวซือหลิงโมโห?” ซือทั่วถอนหายใจเบาๆ กล่าวอย่างหมดแรง ความกล้าของซือเล่ากับพลังวัตรเขาต่างกันสิ้นเชิง แม้แต่หนวดเสือก็กล้ากระตุก ตนเองมาเองก็แล้วไป ยังถึงกับพาทารกแฝดอายุแค่แปดเดือนครึ่งมาด้วย

แต่ทว่าซือทั่วสีหน้าตื่นเต้น เหลือแค่ไม่ได้พาสองทารกลงน้ำไปเล่นเท่านั้น แต่ก็อดแยกเขี้ยวนึกในใจไม่ได้ว่า เด็กน้อยแท้จริงแล้วก็ชอบเล่นน้ำที่สุดกระมัง แม้ยังเดินไม่ได้ ยังพูดไม่ได้ก็ตาม

“กลัวอะไร ข้าไม่ได้ทิ้งพวกเขาไม่สนใจเสียหน่อย” ซือเล่ากล่าวอย่างไม่คิดอะไร พลางหักใบบัวมาเป็นร่มบังแดดให้หลินเซียว หยอกหลินเซียวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สองมือกวัดแกว่งคิดแย่งใบบัวมาเล่นเอง ซือเล่าก็ตามใจเขา จากนั้นก็ไปเก็บฝักบัวก้นสระบัวมาแกะเม็ดบัวมาโยนเข้าปาก “อืม สดนุ่มอร่อย เจ้าไม่ลอง?”

“ไม่ละ เจ้าสนุกไปเถอะ” ซือทั่วส่ายหน้า ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าซือเล่ากำลังสนุก กำลังมีความสุข หรือว่าอยู่ที่นี่ครึ่งปีมานี้ทำให้คนเราเปลี่ยนนิสัยได้จริง? ไม่ได้มีแววตาดึงดันกับโลกภายนอกอีกแล้ว ไม่ได้ถือสาอายุเท่าไรอีกแล้ว คิดทำอะไรก็ทำ…

“ไม่ลอง? ย่อมเป็นเจ้าที่เสียใจนะ สระบัวนี้ถูกใจข้ามานานแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าทะเลสาบนั่น ดอกบัวหลายพันธุ์ไม่ว่า ประเด็นสำคัญคือซือหลิงปลูกเอง” ซือเล่าแนะนำอย่างได้ใจ ตอนแรกได้ฟังจากปากซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังชมสระบัวอยู่ รู้ว่าสระบัวนี่ซือหลิงลงมือปลูกด้วยตัวเอง เขาตกใจจนอ้าปากกว้างแทบยัดไข่ลงไปได้ แต่ทว่าพอได้สติก็คิดได้ว่า แม้แต่ทำนาก็ทำแล้ว ปลูกบัวในสระบัวมีอะไรน่าแปลก

“เอ๋? ซือหลิงปลูก?” ซือทั่วแทบไม่อยากจะเชื่อ จ้องมองเม็ดบัวสดที่ซือเล่าโยนเข้าปากทีละเม็ด ยากจะคิดภาพจริง ซือหลิงหน้าตาเย็นชา ปลูกดอกบัว…

“ทำไม มีความเห็น?” หลินซือเย่าหันหลังขึ้นเรือเล็ก ลงไปยืนบนเรืออย่างมั่นคงแล้วก็ถามเย็นชา สองตาจ้องมองซือเล่าไม่กะพริบ

“เจ้ามาพอดี เซียวเอ๋อร์ชอบสระบัวนี้มาก หรือว่าจะโยนเขาลงไปว่ายน้ำเล่นดี”

“แค่คิดก็อย่าได้คิด” หลินซือเย่ารับหลินเซียวมาเพื่อให้ซือเล่าเก็บฝักบัวได้สะดวกยิ่งขึ้น

“อาหารว่างคืนนี้ก็กินต้มเม็ดบัวกันเถอะ” ซือเล่าเสนอขึ้นอย่างไม่กลัวตาย

“ตามใจ” หลินซือเย่าเห็นทารกแฝดไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็หรี่ตามองซือเล่าเก็บฝักบัวอย่างมีความสุข หันไปกล่าวกับซือทั่วว่า “หากไม่รีบอะไรก็อยู่ฉลองวันไหว้พระจันทร์แล้วค่อยกลับ”

“ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เดิมก็มาเพื่อพร้อมหน้า” ซือทั่วยากจะเอ่ยวาจาซึ้งใจเช่นนี้ออกมา

ในเรือหลายคนอุ้มทารกหญิงทารกชาย เก็บฝักบัวก็เก็บไป ยังมีเสียงคุยกันจุกจิกดังมาไม่ขาด มีลมพัดแผ่วมาเป็นระยะ กลิ่นดอกบัวกับเม็ดบัวกรุ่นกำจายแตะจมูก ติดจมูกอยู่เป็นนานไม่จางหาย…