ตอนที่ 134 แขกสูงศักดิ์มาเยือน

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

เมืองฝานฮัวกลายเป็นจวนพักตากอากาศจวนอ๋องจิ้ง จะเปิดอย่างเป็นทางการในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ มีคณะงิ้วที่เชิญมาจากเมืองหลวง เป็นคณะมีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินต้าหุ้ย เพื่ออาศัยโอกาสนี้ทำให้ชาวบ้านได้ฉลองกันครึกครื้นสักครั้ง เส้นทางหลวงเข้าสู่เมืองฝานลั่วเส้นทางตรงหนึ่ง เส้นทางอ้อมหนึ่ง ในช่วงนี้มีแต่คนและรถม้าไปมาขวักไขว่ไม่ขาดสายมาพักหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นแขกที่มาเพื่อชมเมืองฝานฮัวที่ปรับปรุงจนเล่าลือกันว่างามราวกับดินแดนเทพเซียน แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มาชมงิ้วคณะใหญ่ที่หาชมได้ยากในชีวิตนี้ให้เต็มอิ่ม

ดังนั้นเพื่อรักษาระเบียบความสงบในช่วงครึ่งเดือนนี้ หลังหารือกับหยางจิ้งจือ หลินซือเย่าก็ให้ซือชงพาศิษย์จากหอกว่างชื่อโหลวที่ไม่มีภารกิจ ตั้งศาลาทุกสามจั้งห้าจั้งยืนประจำการสองคนหนึ่งกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาทะเลาะวิวาทของชาวบ้านที่อาจเกิดได้บ้าง พร้อมทั้งจับตาดูแลเรื่องความสะอาด เช่นว่าหาเจอใครทิ้งขยะไม่เป็นที่ หรือบ้วนน้ำลายไปทั่ว ก็จะเข้าไปขอให้หยุดการกระทำนั้นและตามคนมาจัดการทำความสะอาด หากเจอคนที่ชอบเด็ดดอกไม้หรือลงทะเลสาบไปจับปลาจับกุ้ง ก็จะรีบเข้าไปห้ามและเตือนด้วยวาจา คนที่ฝ่าฝืนจะถูกส่งออกจากเมืองฝานฮัวทันที

แน่นอนว่าตอนเข้าเมืองฝานฮัว ปากทางเข้าก็ต้องมีหน่วยบริการ มีสาวใช้กับคนงานชายรวมสองคนประจำการให้บริการ หลักๆ ก็คือเตือนแขกที่เข้ามาในเขตจวนพักตากอากาศอ๋องจิ้งว่าต้องระวังอะไรบ้าง และมอบของขวัญเป็นที่ระลึกให้ชิ้นหนึ่ง แก้วไม้หนึ่งใบและถุงผ้าหนึ่งใบ หน้าประตูศาลยังมีน้ำชาตั้งไว้บริการ เอาแก้วไปใส่น้ำดื่มเองได้ ส่วนถุงผ้ามีไว้ใส่ขยะของแขกที่มา คนที่มาดูงิ้วส่วนใหญ่มักนำเอาของกินเล่น เช่นเม็ดแตง ผลไม้แห้ง เปลือกและเม็ดไม่อาจโยนทิ้งไม่เป็นที่ แต่ใส่ไว้ในถุงก่อน พอเต็มแล้วก็เอาไปทิ้งในถังไม้ใส่ขยะใบใหญ่ที่หน้าประตูศาล

นี่เป็นวิธีคิดแปลกใหม่ที่หยางจิ้งจือคิด พอเช่นนี้ก็ทำให้แขกทุกคนที่มารู้สึกได้ถึงความใส่ใจของจวนพักตากอากาศฝานฮัว และช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดงดงาม

……

พอลงจากรถม้าใหญ่หรูหราก็เงยหน้ามอง ด้านหน้าแขวนป้ายไว้ว่า ‘จวนพักตากอากาศฝานฮัว’ บนเสาศิลาทางเข้าที่ไร้ประตู เซวี่ยลี่จูงเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ และมีเจี้ยนเหิงกับเจี้ยนเยว่สององครักษ์อารักขาตามไม่ห่าง อมยิ้มเดินเข้าจวนพักตากอากาศ

“เดิมคิดเพียงว่าเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ คิดไม่ถึงจะอลังการขนาดนี้” เซวี่ยลี่ยิ้มพยักหน้า

“จวนอ๋องจิ้งรักลูกสาวมาก” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์รับคำอย่างเห็นด้วย

“ผิด เรียกว่ารักลูกสาวจากภรรยาเอกมากพิเศษ ดูท่าหากต้องการแสดงการความจริงใจ พวกเราก็แอบกดดันไม่น้อยนะเนี่ย” เซวี่ยลี่พูดไปก็เลิกคิ้วมองออกไปไกล

“ลี่ เจ้าคงไม่ได้คิดเลียนแบบกั๋วกงกระมัง…” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เห็นเซวี่ยลี่กล่าวเช่นนี้ ก็อดคิดถึงเหลียงเสวียนจิ้งหรืออานกั๋วกงแผ่นดินต้าหุ้ยที่เพื่อทำให้ลูกสาวอยู่สุขสบาย ถึงกับซื้อทั้งเมืองฝานฮัวกับเขาละแวกใกล้ๆ รวมเป็นอาณาเขตจวนพักตากอากาศจวนอ๋องจิ้ง

“มีอันใดไม่ได้!” เซวี่ยลี่ไม่คิดเช่นนั้น พ่อแม่คนอื่นทำได้ ทำไมเขาทำไม่ได้! จะว่าไปเมืองฝานฮัวสวยงามน่าหลงใหลเพียงใดก็เป็นพื้นที่อาณาเขตอ๋องจิ้ง ลูกชายตั้งครอบครัวที่นี่ แม้ไม่ได้แต่งเข้า แต่พวกตนมาเยี่ยมลูกชายสะใภ้กับหลานทั้งสองที่นี่ ก็เหมือนเข้าเขตจวนอ๋องจิ้ง ดูแปลกๆ ไม่ได้การๆ จะให้เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้ทนรับได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรต้องหาทางสร้างอะไรที่นี่บ้าง แม้ยากจะมาพักสักครั้ง แต่ก็ดีกว่ามาเป็นแขกจวนพักตากอากาศจวนอ๋องจิ้งอย่างไร้สถานะ

“เฮ้อ ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ ระวังลูกชายไม่สนเจ้า” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์อดเหลือบตามองสามีอย่างเสียไม่ได้ รู้ว่าโรคใจแคบเขากำเริบอีกแล้ว สำหรับนาง ขอเพียงลูกชายมีชีวิตที่มีความสุข เรื่องอื่นๆ ไยต้องคิดมากให้ปวดหัวด้วย

“เขาถือสิทธิ์อะไรไม่สนข้า? ข้าไม่ใช่ว่าคิดเผื่อเขาหรือ” เซวี่ยลี่พอได้ยินว่าภรรยาไม่เห็นด้วยกับที่เขาคิด ก็โมโหฮึดฮัดแสดงอารมณ์เอาแต่ใจ

พอเฟิ่งรั่วเอ๋อร์เห็นท่าทางเขาก็อึ้งไปพลางยิ้มส่ายหน้า ทั้งขำทั้งโมโห “ลี่ เขาไม่ใช่เด็กแล้ว นับประสาอันใดกับการที่เขายังมีวิทยายุทธ์สูงส่งที่คนทั่วไปยากจะต้านทานได้ เขารู้ว่าจะจัดการเช่นไรจึงจะดีกับครอบครัวเขาที่สุด หากเจ้าคิดถึงความสุขลูกชายจริง ก็อย่าได้ยื่นมือมาเข้าแทรกตามอำเภอใจ แม้มีความคิดก็ควรหารือกับลูกชายก่อนค่อยตัดสินใจ หากลูกชายเราไม่เห็นด้วย เราก็ต้องฟังเขา”

“นี่ข้าคิดเพื่อเขานะ เป็นถึงรัชทายาทเซวี่ยหมิง มาขลุกอยู่แผ่นดินต้าหุ้ยไม่ยอมกลับก็แล้วไป ยังมาอยู่ในพื้นที่ของภรรยา นี่มัน…มันยังมีความเป็นลูกผู้ชายอีกหรือ”

“ลี่ หากเจ้ายังไร้เหตุผลอีก ข้าก็จะอยู่ที่นี่ ไม่กลับไปแล้วนะ” เฟิ่งรั่วเอ๋อร์เห็นเขาเริ่มพูดยาวไม่รู้ความแล้วก็ปั้นหน้าบึ้งตึง แสร้งทำพูดจาแรงโมโหใส่เขา

“เจ้ากล้า!” พอเซวี่ยลี่ได้ยินก็ตาถมึงทึง สตรีผู้นี้ตั้งแต่หาลูกชายเจอ เอะอะก็จะทิ้งเขาแล้ว บอกแล้วว่าฉลองวันไหว้พระจันทร์ก็จะกลับ ในวังไม่อาจไม่มีเขาอยู่นานได้ ถึงกับใช้คำว่า ไม่กลับ มาขู่เขา!

“เอาละ ข้าไม่กล้า ดังนั้นท่านพี่อย่าโมโหไปเลย รีบเข้าไปดูหลานรักที่บ้านกันดีกว่า ไม่เจอกันครึ่งปี ไม่รู้ว่าโตแข็งแรงกันถึงไหนแล้ว!” เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ไหนเลยไม่รู้ใจเขา รีบเปลี่ยนบทสนทนารั้งแขนเขายิ้มกว้าง เดินเข้าหมู่บ้านไป

“ทั้งสี่ท่านมาจวนพักตากอากาศฝานฮัวเป็นครั้งแรก? ของที่ระลึกโปรดเก็บไว้ รถม้าต้องหาที่จอดพักให้อาหารม้าไหม หากต้องการ ห้าสิบเหรียญทองแดงต่อวัน” เซียงหลันสาวใช้เฝ้าปากทางหมู่บ้าน สีหน้ายิ้มแย้มมองพวกเซวี่ยลี่สี่คนพลางถาม

“อ้อ? จอดรถม้าต้องจ่ายเงิน?” เซวี่ยลี่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว ผู้ใดคิด? แค่นี้ก็ต้องเอาเงิน?

“ใช่ นี่คือระเบียบจวนพักตากอากาศ รถม้าภายนอกเข้าจวนพักตากอากาศ ทั้งหมดต้องจ่ายห้าสิบเหรียญทองแดงต่อวันเป็นค่าอาหารและค่าดูแล” เซียงหลันสีหน้านอบน้อม ระเบียบนี้เป็นหยางจิ้งจือเสนอขึ้นทำให้พวกอารักขาความปลอดภัยคิดได้ เซียวเหิงคิดว่ามีเหตุผล ช่วงคณะงิ้วเริ่มแสดงกันวันที่หนึ่งก็กำหนดระเบียบต่างๆ ในเขตจวนพักตากอากาศขึ้น

“หากมาหานายพวกเจ้าก็เหมือนกัน?” ระเบียบพวกนี้ทำให้เซวี่ยลี่รู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ จึงได้ยกม้านั่งมาไว้ด้านหลังสาวใช้ให้เฟิ่งรั่วเอ๋อร์ลงนั่งพัก ทำท่าเหมือนจะคุยยาว

“ทั้งสี่ท่านไม่ใช่มาชมสวนดูงิ้ว?” เซียงหลันกับหลินฟางคนงานชายข้างๆ สบตากันก่อนจะถามอย่างละเอียด

“อืม…กล่าวเช่นนี้แล้วกัน พวกเราเป็นญาติกับนายเจ้า มาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่นี่ ต้องให้ท่านทั้งสองไปรายงานไหม” เซวี่ยลี่ที่ไม่เคยพูดจาเกรงอกเกรงใจกับบ่าวรับใช้ ถึงกับเอ่ยปากหารือสนทนากับสาวใช้ ทำให้เจี้ยนเหิงกับเจี้ยนเยว่ที่อารักขาอยู่ข้างกายไม่เข้าใจ เฟิ่งรั่วเอ๋อร์อมยิ้มมองพวกเขา พยักหน้ารับน้ำชาที่อีกฝ่ายส่งมาให้จิบอย่างมีความสุข

“ญาติ?” เซียงหลันแอบงุนงงในใจ มองอีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับคนจากจวนอ๋องจิ้ง เช่นนั้นยังจะเป็นญาติผู้ใด หรือว่าเป็นญาติทางฝ่ายของท่านเขย

“ในเมื่อเป็นแขกจวนพักตากอากาศ ก็ตามเซียงหลันมาทางนี้” เซียงหลันเดินอ้อมโต๊ะออกมาคำนับให้คนทั้งสี่ กล่าวขึ้นพร้อมกับกำชับหลินฟางข้างๆ ว่า “ข้าจะรีบกลับมา อย่าลืมเตือนให้แขกที่มาระวังระเบียบที่กำหนดไว้ด้วย” หลินฟางส่งสายตาบอกให้นางวางใจ เซียงหลันส่งยิ้มบางให้พวกเซวี่ยลี่ตามนางเข้าไป

“ระเบียบที่กำหนดไว้คืออะไร” เซวี่ยลี่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

เซียงหลันเล่าเรื่องที่ระหว่างมีคณะงิ้วแสดง แขกที่มาต้องทำอะไรบ้าง พออธิบายละเอียดแล้ว ก็ยิ้มกล่าวว่า “เซียงหลันล่วงเกินแล้ว แม้นายท่านเป็นญาติเจ้านายเรา แต่ก็ต้องทำตามข้อบังคับจวนพักตากอากาศ”

เซวี่ยลี่อมยิ้มพยักหน้า นังหนูนี่รุกถอยเป็นจังหวะไม่เลว กลับไปกวาดสายตามองเจี้ยนเหิงไร้อารมณ์ด้านหลัง แอบนึกในใจ หากมาเป็นภรรยาเจ้าทึ่มนี่น่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมแท้

“ไม่ทราบแม่นางปีนี้อายุเท่าไร” ในเมื่อมีความคิดนี้ แน่นอนย่อมรีบปฏิบัติการ แม้ว่าคำถามจะดูโพล่งไปสักหน่อย แต่ทว่าเซวี่ยลี่คือผู้ใด ฮ่องเต้เซวี่ยหมิงเลยนะ หรือว่าจะต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วย!

“…” เซียงหลันมองตาค้างไม่เข้าใจ ไม่รู้ควรตอบคำถามอย่างไร ในใจเริ่มร้อนใจ อีกฝ่ายดูแล้วก็เป็นคนรู้ธรรมเนียมดี คงไม่ได้คิดรับตนเป็นน้อยกระมัง นางกับชุนหลันเข้าจวนมาพร้อมกัน ดังนั้นอายุก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านปีนี้ไปก็สิบเจ็ดปีเต็มแล้ว ครึ่งปีก่อนจวนพักตากอากาศขาดคน ก็เลยถูกพระชายาเฒ่าส่งมาจวนพักตากอากาศพร้อมกับกับเฟิ่งถิงและซิ่นจือ และคนงานชายอีกสามคน ช่วยชุนหลันดูแลงานจวนพักตากอากาศ วันนี้ กังวลว่าสาวใช้อายุน้อยจะรับมือแขกที่รับมือยากไม่ไหว จึงได้ส่งกลุ่มนางกับหลินฟาง และกลุ่มซิ่นจือกับเจียงฉีมาดูแลทางเข้าจวนพักตากอากาศ คอยต้อนรับและเตือนแขกที่มา

เป็นครั้งแรกที่จวนพักตากอากาศฝานฮัวต้องรับมือชาวบ้านเมืองข้างๆ ที่พากันแห่มาชมงิ้ว ไม่อาจปล่อยให้ทำพังพินาศได้

แม้ว่าเป็นสาวใช้ก็มีความทุกข์ของสาวใช้ แต่นางไม่รู้สึกว่าเป็นภรรยาน้อยจะดีกว่า อย่างน้อยตอนนี้นางก็มีความสุขมากกว่าพวกภรรยาน้อยที่วันๆ ว่างอยู่ในจวนต้องคอยวางอุบายใส่กันแน่นอน นางชอบงานและชีวิตตอนนี้มาก โดยเฉพาะชีวิตครึ่งปีที่จวนพักตากอากาศนี่ ยิ่งทำให้นางมั่นใจจะเป็นสาวใช้ไปชั่วชีวิต อยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต

“แม่นาง?” เซวี่ยลี่มองเซียงหลันที่เหม่อคิดไปไกลอย่างนึกขำ พอสบตากับภรรยาที่ส่งสายตาอึดอัดมา ก็กระซิบข้างหูเฟิ่งรั่วเอ๋อร์ว่า “เจี้ยนเหิงยี่สิบหกแล้ว หากยังไม่หาสะใภ้ให้เขา พ่อเขาในปรภพต้องขึ้นมาคิดบัญชีข้าแน่”

เจี้ยนเหิงและเจี้ยนเยว่คือลูกชายและลูกสาวเจี้ยนชิว องครักษ์อันดับหนึ่งวังหลวงเซวี่ยหมิง เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนต่อสู้กับเซวี่ยอิง เจี้ยนชิวอารักขามีความชอบ ตนเองถูกยาพิษปลิดชีพในตอนนั้น ก่อนตายขอให้เซวี่ยลี่ดูแลลูกชายลูกสาวเขาที่ปีนั้นแค่สามขวบ แต่ตั้งแต่เจี้ยนเยว่หายตัวไปหนึ่งเดือนเมื่อสิบปีก่อนตอนออกปฏิบัติภารกิจนอกวัง พอกลับวังหลวงก็ปิดกั้นตัวเอง แม้ได้วัยแต่งงานแล้วก็ยืนยังไม่ยอมรับคู่แต่งงานที่เฟิ่งรั่วเอ๋อร์แนะนำให้ ยังใช้ความตายมาข่มขู่ เห็นนางดื้อดึงเช่นนี้ พวกเขาก็ได้แต่ละทิ้งเรื่องแต่งงานของนาง แม้ว่าไม่เอ่ย แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับหนึ่งเดือนที่นางหายตัวไปแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าแท้จริงนั้นคือชายหนุ่มคนใดที่ทำให้นางตัดสินใจชีวิตนี้ปิดกั้นตนเองไปตลอดชีวิต

ส่วนเจี้ยนเหิงก็เป็นคนพูดจาไม่เอาไหน จะรอให้เขาหาแม่นางที่ถูกใจเอง คิดว่าชาตินี้คงยากแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็มีแนะนำแม่นางให้เขาหลายคน พอได้คุยกันแล้วก็รังเกียจว่าเขาทื่อไป จึงเอ่ยปฏิเสธเขา พอหลายครั้งเข้า เจี้ยนเหิงที่น่าเบื่ออยู่แล้วก็ยิ่งน่าเบื่อเข้าไปอีก

เฟิ่งรั่วเอ๋อร์นึกรู้ขึ้นทันพลางพยักหน้า เซวี่ยลี่ไม่ใช่คนเช่นนั้น จะมาสนใจสาวใช้คนงามแค่เพียงแวบแรกหรือ ที่แท้…เพียงแต่ จับคู่มั่วซั่วแบบนี้ จะสำเร็จหรือ

“ขออภัย เซียงหลันขอนุญาตสักครู่ ข้างหน้าก็คือเรือนเจ้านายแล้ว ไม่ทราบว่าทั้งสี่ท่านต้องการพบเจ้านายท่านใด เซียงหลันจะได้เข้าไปรายงาน” เซียงหลันอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนบนทสนทนา แอบหวังว่าอีกฝ่ายจะเลิกจ้องมองนาง

“ท่านเขยพวกเจ้า” เซวี่ยลี่เห็นดังนี้ ก็ปล่อยให้นางเบี่ยงบทสนทนาไปก่อน อย่างไรเดินทางรอนแรมมาไกล พวกเขาต้องพักที่นี่สักครึ่งเดือน ไม่กลัวนางหนีหรอก กลัวแต่เจี้ยนเหิงที่น่าเบื่อจะโง่เง่าไม่รู้ความเท่านั้น