ตอนที่ 140 ในที่สุดก็ตัดสินใจ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 140 ในที่สุดก็ตัดสินใจ

กลางฤดูหนาว อากาศเย็นยะเยือก

ข้อความหนึ่งถูกส่งจากทางใต้มายังเมืองหลวง

เสบียงและหญ้าของกองทัพฝ่ายเหนือถูกข้าศึกวางเพลิง

เนื่องจากเสบียงและหญ้าถูกเผา การโจมตีที่รวดเร็วจึงชะลอลงในทันที

กองทัพของเหล่าท่านอ๋องที่หมดหนทางแล้วได้พักหายใจ

เมื่อข่าวแพร่สะพัดไปถึงราชสำนัก ทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงและโกลาหล

ทหารที่รับผิดชอบด้านการขนส่งเสบียงทำอันใดอยู่

เหตุใดจึงปล่อยให้ศัตรูเข้าใกล้ตัว อีกทั้งยังวางเพลิงเผาเสบียงและหญ้าได้

เรื่องที่น่าโกรธแค้นที่สุดคือ ไม่อาจจับได้แม้แต่เงาของผู้วางเพลิง

เสบียงและหญ้าถูกเผาทำให้สงครามที่กำลังจะจบสิ้นเกิดตัวแปรขึ้นมากมายในชั่วพริบตา

สีหน้าของฮ่องเต้หย่งไท่ที่เคยชินกับความราบรื่นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาดำทะมึน

“องครักษ์จินอู่ฟังคำสั่ง นำราชโองการข้ามุ่งหน้าไปยังกองทัพ คุมตัวทหารทั้งหมดที่รับผิดชอบด้านเสบียงและหญ้าเข้าคุก”

องครักษ์จินอู่ดีใจอย่างมาก

นี่เป็นคดีใหญ่!

คุณค่าขององครักษ์จินอู่คืออะไร

ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์หรือ

ผิด!

ในฐานะขุนนางที่โหดเหี้ยม ก่อเกิดการพลิกคดีใหญ่ สังหารขุนนางและบรรดาพระบรามวงศานุวงศ์ทั้งหลายให้เลือดไหลนองราวกับแม่น้ำ เพื่อหล่อหลอมชื่อเสียงและบารมีขององครักษ์จินอู่

ส่วนตนเองจะถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งหลังจากหมดประโยชน์หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องสนใจแม้แต่น้อย

มีชีวิตอยู่เพื่อสังหารขุนนาง สังหารชนชั้นสูง สังหารราชวงศ์ ถึงแม้จะต้องถูกแยกร่างก็ตายอย่างสมศักดิ์ศรี

ส่วนชื่อเสียงเสื่อมเสียหลังจากที่ตายไปยิ่งไม่ต้องสนใจ

กล่าวได้ว่าทั้งสำนักองครักษ์จินอู่ล้วนมีแต่คนเสียสติ ไม่มีคนปกติมากนัก

องครักษ์จินอู่ส่วนใหญ่ล้วนยึดถือการสังหารขุนนางและราชวงศ์ ทำคดีใหญ่เป็นหน้าที่ของตนเอง

ถ่ายทอดสืบมารุ่นแล้วรุ่นเล่า

โดยทั่วไปแล้วไม่มีองครักษ์จินอู่ใดมีจุดจบที่ดี

แต่ก็ไม่อาจทำให้องครักษ์จินอู่รุ่นแล้วรุ่นเล่าเกรงกลัว ยิ่งไม่อาจหยุดยั้งความกระตือรือร้นของพวกเขา

พวกเขาเป็นกลุ่มผู้คลั่งไคล้ที่ทำเพื่อชื่อเสียงโด่งดังขององครักษ์จินอู่โดยไม่สนใจสิ่งใด กลุ่มคนที่อันตรายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย

หากตกเป็นเป้าหมายขององครักษ์จินอู่ คงทำได้เพียงยอมรับความโชคร้ายของตนเอง

แต่ว่า…

มีข้าราชบริพารลุกขึ้นคัดค้านทันที

“ฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดีก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”

“สงครามอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ การจะเปลี่ยนแปลงผู้คนระหว่างการสู้รบเป็นเรื่องต้องห้ามนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นการดีกว่าที่จะบันทึกโทษของพวกเขาเอาไว้ก่อน รอสงครามสิ้นสุดลง ค่อยจัดการพวกเขาทีละคน”

“ฝ่าบาทไฉนไม่ทรงรับสั่งให้พวกเขาทำความดีความชอบในการหักล้างความผิดด้วยการระดมเสบียงและหญ้าเพื่อแก้ไขปัญหาเสบียงและหญ้าขาดแคลนโดยเร็ว”

“เหล่าท่านอ๋องหมดหนทางแล้ว กองทัพเหนือเพียงแค่ฮึดสู้ย่อมชนะศึกได้ จะ ฝ่าบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือยุติสงครามที่ยืดเยื้อให้เร็วที่สุด พยายามเก็บส่วยอากรทางใต้ได้ในปีหน้า ส่วนขุนนางที่รับผิดชอบด้านการลำเลียงเสบียงย่อมสามารถตรวจสอบและจัดการกับพวกเขาได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องรีบร้อนในเวลานี้”

ขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารล้วนคัดค้านการส่งองครักษ์จินอู่ออกไปของฮ่องเต้

สุนัขร้ายอย่างองครักษ์จินอู่ต้องล่ามโซ่ ขังไว้ในกงจึงจะวางใจได้

หากสุนัขร้ายตัวนี้ถูกปล่อยออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเพียงใด ไม่น่าว่าอาจกระทบต่อขุนนางทั้งหลายในราชสำนักด้วย

ขุนนางที่ทำหน้าที่ลำเลียงเสบียงในกองทัพส่วนใหญ่เป็นขุนนางฝ่ายราชการ นอกจากนี้ยังมีสมาชิกในตระกูลของแม่ทัพส่วนหนึ่ง

งานที่ดีเช่นนี้ย่อมต้องให้คนของตนเองรับผิดชอบ เพื่อที่จะได้กอบโกย

เวลานี้เกิดปัญหา ฮ่องเต้ทรงคาดโทษ มีความเป็นไปได้ที่จะเดือดร้อนมาถึงตนเอง

ไม่ว่าอย่างไร ย่อมต้องหยุดยั้งองครักษ์จินอู่ออกจากเมืองหลวง

ขุนนางฝ่ายราชการและขุนนางฝ่ายทหารทูลเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี เหลือเพียงร้องไห้อย่างขมขื่นดึง พวกเขาทั้งดึงทั้งยื้อเพื่อรั้งฮ่องเต้เอาไว้ ไม่ให้ฮ่องเต้ทรงทำตามเจตนาของตนเอง

ฮ่องเต้ “…”

รู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้ช่างยากลำบาก!

องครักษ์จินอู่ “โธ่เอ้ย…”

ขุนนางเหล่านี้คิดจะกีดขวางการสร้างความดีความชอบขององครักษ์จินอู่อีกแล้ว

พวกเขาเป็นศัตรูขององครักษ์จินอู่

ในช่วงชีวิตขององครักษ์จินอู่ พวกเขาจะโค่นข้าราชบริพารกลุ่มนี้ลงให้ได้

สุดท้ายฮ่องเต้หย่งไท่ถอนรับสั่งเนื่องจากแรงกดดันจากราชสำนัก เขายังคงล่ามองครักษ์จินอู่เอาไว้ ไม่ให้พวกเขาออกไปทำคดีนอกเมืองหลวง

ส่วนขุนนางที่รับผิดชอบด้านการลำเลียงเสบียง ฮ่องเต้หย่งไท่ออกพระราชโองการรับสั่งให้พวกเขาทำความดีความชอบเพื่อชดใช้ความผิด

หากเกิดเหตุการณ์เสบียงและหญ้าถูกวางเพลิงขึ้นอีก ล้วนถือหัวมาเข้าเฝ้า

ฮ่องเต้หย่งไท่ยอมถอยหนึ่งก้าว บรรดาขุนนางก็รู้ความเหมาะสม

หลังจากการหารือจบสิ้น บรรดาขุนนางต่างให้ตระกูลหรือมิตรสหายรีบช่วยกันระดมเสบียง

รีบสยบเรื่องนี้ ให้กองทัพเหนือโค่นล้มเหล่าท่านอ๋องโดยเร็วจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ!

โค่นล้มเหล่าท่านอ๋องมีผลประโยชน์มากมาย

เสบียงเพียงเล็กน้อยเทียบไม่ได้กับผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับ

ยุคสมัยนี้ ราชสำนักยากจน ฮ่องเต้มั่งคั่ง ตระกูลใหญ่ยิ่งร่ำรวย

สถานการณ์ทั่วไป ตั้งแต่ฮ่องเต้ยังตระกูลใหญ่ล้วนเป็นคนตระหนี่ที่ไม่ยอมเสียแม้แต่สลึงเดียว

มีเพียงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จึงจะแสดงความใจกว้างออกมา

เสบียงและหญ้าถูกเผาจนหมดสิ้น ทำให้ความกล้าหาญของเหล่าท่านอ๋องที่มอดดับไปแล้วลุกโชนขึ้นมาใหม่

แต่ไม่ใช่ท่านอ๋องทุกคนที่จะมีความกล้าในการเริ่มต้นใหม่

ท่านอ๋องตงผิงอกสั่นขวัญแขวน

กองทัพปักหลักอยู่ที่ริมแม่น้ำ ลมหนาวเย็นยะเยือก เขารู้สึกถึงความหนาวที่แทรกซึมออกมาจากกระดูก

เขาพูดกับจี้ซินแส “หากไม่ใช่เพราะเพลิงในครั้งนี้ ข้าคงกลายเป็นเชลยของกองทัพเหนือไปแล้ว”

จี้ซินแสปลอบใจเขา “ท่านอ๋องสงบอารมณ์! เรื่องยังไม่ร้ายแรงอย่างที่ท่านอ๋องคิด”

“กองทัพเหนือกำลังจะบุกเข้ามาถึงประตูจวน เจ้ายังบอกว่าไม่ร้ายแรง จี้ซินแส เจ้าพูดจาไม่รอบคอบ! เวลานี้สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่คำปลอบ หากแต่เป็นทางรอด”

จี้ซินแสขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องเต็มใจที่จะยอมแพ้แล้วหรือขอรับ”

ท่านอ๋องตงผิงมองไปยังแม่น้ำที่เชี่ยวกราก “ไม่มีอะไรที่ไม่เต็มใจ การยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่ความปรารถนาของข้า แต่สงครามไม่เอื้ออำนวย ข้าก็เพียงตามกระแส เจ้ารีบคิดหาวิธี ทำอย่างไรจึงจะรักษาชีวิตและกองกำลังเอาไว้ได้”

จี้ซินแสกลุ้มใจอย่างมาก

เขากลุ้มใจมากเสียจริง

“ข้าไม่กล้าปิดบังท่านอ๋อง รักษาชีวิตเอาไว้เป็นเรื่องง่าย แต่รักษากองกำลังนั้นยากนัก เหตุใดฮ่องเต้จึงต้องเข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋อง ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเรียกคืนพื้นที่ศักดินาหรือ เมื่อไร้ซึ่งพื้นที่ศักดินา เหล่าท่านอ๋องย่อมไม่มีรายรับจากส่วยอากร หมดซึ่งพื้นที่และกำลังทรัพย์ในการเลี้ยงกองกำลัง สุดท้ายท่านอ๋องจะเหลือเพียงบันดาศักดิ์ว่างเปล่า ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง ปล่อยให้ฮ่องเต้เชือดเฉือนได้ตามใจราวกับหมูหมา”

ฮะ?

ท่านอ๋องจงผิงตกใจกับคำพูดของจี้ซินแส

ร่างกายที่อ้วนท้วมนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในเวลานี้

ท่านอ๋องตงผิงจับมือของจี้ซินแสเอาไว้ “ซินแสช่วยข้าด้วย”

“ท่านอ๋องวางใจ ข้าจะพยายามช่วยท่านอ๋องสุดความสามารถ ข้าคิดว่าหากท่านอ๋องไม่อยากปะทะ ท่านอ๋องต้องถอยออกจากสงครามในครั้งนี้อย่างเด็ดเดี่ยว”

ท่านอ๋องตงผิงถามอย่างร้อนใจ “ข้าต้องถอยอย่างไรจึงจะถอยได้อย่างงดงาม”

มุมปากของจี้ซินแสกระตุก

เขาอยากจะพูดว่าอย่าคิดที่จะถอยอย่างงดงามเลย เพียงแค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว

แต่เมื่อเห็นสายตาร้อนรนและน่าสงสารของท่านอ๋องตงผิง จี้ซินแสก็ไม่อาจโจมตีเขาได้ลง

เขาพูดเพียงว่า “หากท่านอ๋องอยากถอนตัวจากสงครามครั้ง วิธีเดียวในตอนนี้คือยอมจำนน ท่านต้องยอมจำนนต่อกองทัพเหนือ ให้กองทัพทางเหนือจับตัวท่านเข้าเมืองหลวงรับผิด ด้วยเหตุนี้ ในฐานะตัวอย่าง ฮ่องเต้ย่อมไม่ประหารท่านอ๋องอย่างแน่นอน”

ท่านอ๋องตงผิงตกตะลึง ริมฝีปากของเขาสั่นเครือ “เจ้าให้ข้ายอมจำนนอย่างนั้นหรือ”

จี้ซินแสกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ท่านอ๋อง เวลานี้แล้ว หากท่านไม่ต้องการถูกฮ่องเต้ลงโทษย้อนหลังด้วยการประหาร การยอมจำนนเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว นอกจากท่านอ๋องจะสู้ต่อจนตัวตาย ละทิ้งพื้นที่ศักดินา นำกองกำลังในมือลงใต้ โยกย้ายเข้าไปในป่าลึกเพื่อสะสมพลังความเข้มแข็ง บางทีอาจยังมีโอกาสรอด”

สีหน้าของท่านอ๋องตงผิงเปลี่ยนไป เขาลังเลและดิ้นรนอยู่ในใจ

ละทิ้งพื้นที่ศักดินาลงใต้ หนีตายเข้าไปในภูเขาสูงและป่าทึบ ผันตัวกลายเป็นหัวหน้าเผ่ามีชีวิตอยู่บนโลกอย่างไร้จิตวิญญาณ

มันคือชีวิตที่เขาต้องการหรือ

ภายในใจของท่านอ๋องตงผิงไร้ซึ่งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ อีกทั้งไม่มีความอุตสาหะและความทะเยอทะยานที่จะอดทนต่อความยากลำบาก

เขาเกิดมาร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาหลายสิบปี เวลานี้ให้เขาใช้ชีวิตในป่าอย่างยากลำบาก ใช้ชีวิตราวกับคนป่า เพียงแค่คิดก็ทำให้คนสั่นสะท้าน

ตรงกันข้าม การเป็นเชลยของฮ่องเต้มีทั้งกินทั้งดื่ม เว้นแต่ขาดอิสรภาพ ความมั่งคั่งร่ำรวยก็อาจยังรักษาไว้ได้

“เจ้าให้ข้าคิดก่อน!”

“ท่านอ๋องต้องรีบตัดสินใจ หากสายไป เกรงว่าจะมีคนแย่งชิงไปก่อน”

“เจ้าหมายความว่ามีท่านอ๋องอื่นเลือกที่จะยอมจำนน”

จี้ซินแสพูดอย่างจริงจัง “จากสถานการณ์ในเวลานี้ เหล่าท่านอ๋องยอมจำนนเป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่ใช่ท่านอ๋องย่อมต้องเป็นผู้อื่น หากไม่ใช่เพลิงไหม้นั้นมาทันเวลาพอดี สงครามควรจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว”

ท่านอ๋องตงผิงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ไม่รู้ผู้ใดวางเพลิงนั้น ข้าถามมาหลายคน ล้วนไม่มีผู้ใดยอมรับ แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ คนพวกนี้ไม่มีผู้ใดเชื่อถือได้”

“ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนวางเพลิง อย่างไรก็ทำให้ท่านอ๋องมีโอกาสพักหายใจ ท่านอ๋องต้องรีบตัดสินใจ อย่าได้พลาดโอกาสที่ดีไป”

จี้ซินแสเกลี้ยกล่อมจนปากเปียกปากแชะ

ท่านอ๋องตงผิงครุ่นคิด สุดท้ายเขาเรียกบุตรชายทั้งหลายมาหารือร่วมกัน

สงครามมาถึงเวลานี้ หากไม่มีข้อผิดพลาด พวกเขาจะเป็นฝ่ายแพ้

พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพเหนือ

กองทัพเหนือสมกับเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง

ต่อหน้ากองทัพเหนือ เหล่าท่านอ๋องนอกจากมีกำลังคนมากกว่าแล้ว ไร้แนวโน้มในการชนะแม้แต่น้อย

ทั้งน่าขุ่นเคือง แต่ก็หมดซึ่งหนทาง

“ข้าฟังท่านพ่อ ท่านพ่อบอกว่ายอมจำนน ข้าจะนำทัพยอมจำนน”

นายน้อยรอง เซียวซวิ้นพูดอย่างฉลาด เขาไม่ตัดสินใจ รอเพียงรับสั่ง

นายน้อยใหญ่ เซียวกั้วพูดขึ้น “ข้าคิดว่าจี้ซินแสพูดมีเหตุผล หากไม่สู้จนตัวตายแล้วหนีเข้าป่าลึกรักษากองกำลังเอาไว้ ก็ฉวยโอกาสที่เหล่าท่านอ๋องอื่นยังไม่มีการเคลื่อนไหว พวกเรายอมจำนนเสียก่อน

สงครามดำเนินมาถึงเวลานี้ อำนาจในการเป็นผู้รุกรานไม่ได้อยู่ในมือของพวกเราอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าเราอยากจะโจมตีเมื่อใดหรือหยุดเมื่อใดก็ได้ อำนาจในการเป็นผู้รุกรานตกอยู่ในมือของกองทัพเหนือแล้ว

ข้าได้ยินว่าตระกูลขุนนางใหญ่กำลังระดมเสบียงและหญ้าเพื่อช่วยเหลือกองทัพเหนือในการโค่นล้มเหล่าท่านอ๋อง เมื่อเสบียงและหญ้าพร้อม กองทัพเหนือย่อมจะบุกทะลวงแนวป้องกันของเรา อีกทั้งกองทัพเหนือคุ้นชินกับการทำสงครามในฤดูหนาว ทหารของพวกเราขาดการฝึกฝน ความสามารถด้านการต่อสู้ในฤดูหนาวไม่เพียงพอ เกรงว่าจะแนวป้องกันจะอยู่ไม่ถึงสามวัน”

จี้ซินแสพูดเสริม “กำลังใจของกองทัพไม่เพียงใจ เมื่อกองทัพเหนือบุกมา เกรงว่าไม่ต้องใช้เวลาถึงสามวัน หนึ่งหรือสองวันก็เพียงพอที่จะพังทลายแนวป้องกันของพวกเรา ท่านอ๋องรีบตัดสินใจเถิด!”

ทุกคนต่างรอคอยท่านอ๋องตงผิงตัดสินใจ

ท่านอ๋องตงผิงสูดลมหายใจเข้า “พวกเจ้าล้วนเห็นด้วยกับการยอมจำนน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจะยอมจำนนต่อกองทัพเหนือ”

ในที่สุดก็ตัดสินใจ หัวใจที่แขวนไว้สูงต่างหล่นลงมาอยู่ที่เดิม

ท่านอ๋องตงผิงถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขายังคงไม่เต็มใจนัก

เขารู้สึกว่าบางทีอาจยังพยายามต่อได้อีก

แต่สติบอกเขาว่าหากพยายามดิ้นรนต่อไป เกรงว่าชีวิตก็รังษาไว้ไม่ได้

เอาเถิด เอาเถิด

สงครามดำเนินมาถึงเวลานี้แล้ว ไม่มีเรื่องใดที่ไม่เต็มใจแล้ว