ตอนที่ 141 รสชาติของความแค้น

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 141 รสชาติของความแค้น

ท่านอ๋องตงผิงเป็นคนลำเอียง

เรื่องการยอมแพ้ย่อมไม่ให้บุตรชายคนโปรดเซียวซวิ้นไปทำ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าละอาย!

ไม่แน่ว่าอาจยังต้องถูกคนเหยียดหยามด้วยคำพูด หรืออาจมีสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า

ดังนั้นการยอมแพ้ย่อมต้องให้บุตรชายคนโต เซียวกั้วออกหน้า

ตอนที่ท่านอ๋องตงผิงรับสั่งเซียวกั้ว เขาไม่มีแม้แต่ความละอายใจ

เซียวกั้วสีหน้าเรียบเฉยราวกับเคยชินกับการทำงานเหน็ดเหนื่อยแทนบิดา

เขาน้อมรับคำสั่ง ก่อนจะนำคำสั่งของท่านอ๋องตงผิงเดินทางไปยอมจำนนที่ค่ายใหญ่กองทัพเหนืออย่างไม่รีรอ

สงครามดำเนินมาถึงเวลานี้ กองทัพเหนือเตรียมตัวยอมรับการยอมแพ้จากเหล่าท่านอ๋องมานานแล้ว

เพียงแต่ไม่คิดว่าคนที่วิ่งมายอมจำนนคนแรกจะเป็นท่านอ๋องตงผิง

ความสามารถในการทำสงครามของท่านอ๋องตงผิงธรรมดา แต่ยอมจำนนพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากเสบียงถูกเผา ทุกคนยังคงรอดูทิศทางลม แต่เขาก็ตัดสินใจยอมแพ้เสียแล้ว

ไม่เลว!

แม่ทัพแห่งกองทัพเหนือยอมรับการยอมแพ้ของท่านอ๋องตงผิงอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ได้กลั่นแกล้งเซียวกั้ว เพียงแค่ใช้วาจาเสียดสีเท่านั้น

กองทัพเหนือส่งทหารมารับมอบกองกำลังของท่านอ๋องตงผิง พร้อมทั้งกักขังคนในจวนท่านอ๋องตงผิงชั่วคราว ดูแลเรื่องความเป็นอยู่อย่างดี รอคอยพระราชโองการของฮ่องเต้

ข่าวการยอมจำนนของท่านอ๋องตงผิงแพร่กระจายไปแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนทั้งแผ่นดินตกตะลึง!

แน่นอนว่าคนที่ตกตะลึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นบรรดาท่านอ๋องที่ยังจะสู้จนตัวตาย

“คนเหลี่ยมจัดอย่างท่านอ๋องตงผิงบังอาจยอมจำนน ทำลายแผนการของข้า สมควรตาย!”

“ท่านอ๋องตงผิงไร้สมอง ตอนทำสงครามมักตอบสนองช้ากว่าผู้อื่น ไม่คิดว่าเขาจะยอมจำนนเร็วกว่าผู้ใด”

“เจ้าโจรเฒ่า ตอนนั้นควรจะกำจัดเขาทิ้งเสีย”

ท่านอ๋องตงผิงยอมจำนน พันธมิตรของเหล่าท่านอ๋องถูกทำลาย

ผู้คนต่างหวั่นไหว หมดใจในการทำสงคราม

ต่อจากนี้ควรจะสู้หรือยอมจำนนกันแน่

ถ้าเลือกสู้ควรสู้อย่างไร สู้จนถึงระดับไหนจึงจะเหมาะสม

หากยอมจำนน ควรยอมจำนนอย่างไร

การยอมจำนนก็ต้องมีกลยุทธ์

ไม่อาจเลียนแบบการกระทำขี้ขลาดของท่านอ๋องตงผิงเด็ดขาด

ถึงจะเป็นการยอมจำนนก็ต้องยอมจำนนอย่างมีศักดิ์ศรี ทำให้ราชสำนักไม่กล้าดูแคลน

จิตใจของบรรดาท่านอ๋องหวั่นไหว แต่ราชสำนักในเมืองหลวงกลับเต็มไปด้วยความสุข

เสบียงและหญ้าถูกไฟเผา เดิมที่คิดว่าสงครามจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องตงผิงจะยอมถอย

ดังนั้นจึงมีขุนนางถกเถียงกันลับหลัง

“ถูกต้องแล้วที่ปล่อยท่านอ๋องตงผิงไปในตอนนั้น ถ้าไม่มีท่านอ๋องตงผิงคงไม่มีผู้ใดเป็นผู้นำในการยอมจำนน”

“เซียวอี้เจ้าคนทรยศปล่อยท่านอ๋องตงผิงไปต่างหาก”

“เซียวอี้กล้าปล่อยท่านอ๋องตงผิงไป เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงอนุญาต พวกเราไม่สามารถฆ่าบิดาของเขา แต่ก็จะให้เขาภักดีในเวลาเดียวกันได้”

“ฮึ! บางทีการยอมจำนนของท่านอ๋องตงผิงอาจเป็นการแสดงใหญ่ที่ฝ่าบาทและเซียวอี้ร่วมกันจัดขึ้นก็ได้”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ตั้งแต่เริ่มแรก เซียวอี้ใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยการปล่อยท่านอ๋องตงผิงไปเป็นเรื่องที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว การปล่อยท่านอ๋องตงผิงไปเพื่อให้ท่านอ๋องตงผิงแทรกซึมเข้าไปสืบข่าวในหมู่ท่านอ๋อง เรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่เกิดเรื่องจนยอมจำนนล้วนมีเงาของท่านอ๋องตงผิง หากไม่ได้มีการวางแผนไว้ก่อนแล้วจะเป็นอย่างไรได้”

บรรดาขุนนางพยักหน้าระรัว

“มีเหตุผล! ฝ่าบาททรงมีพระดำริลึกซึ้ง”

“คนที่สมควรตายที่สุดไม่ใช่เซียวอี้หรือ เขาฆ่านายท่านรองตระกูลเถา หลอกใช้บิดาของตนเอง เป็นสุนัขรับใช้ของฝ่าบาท ช่างไร้ความซื่อสัตย์ ไร้ความกตัญญู ไร้คุณธรรมเสียจริง นายท่านรองตระกูลเถาต้องมาตายอย่างเสียเปล่า ช่างน่าสงสารเสียจริง!”

“ตอนนั้นเซียวอี้ไม่ฆ่านายท่านรองตระกูลเถา นายท่านรองตระกูลเถาก็ต้องตายในไม่ช้า แม้แต่ท่านผู้เฒ่าตระกูลเถายังไม่รอด นับประสาอันใดกับนายท่านรองตระกูลเถา”

“ฝ่าบาททรงวางแผนอย่างดี! พระองค์ทรงปิดบังพวกเราทุกคน และให้ความสำคัญกับคนที่ไร้ความซื่อสัตย์และความกตัญญู เซียวอี้ผู้นี้กบฏนัก ต้องกำจัดเขาเสีย”

“คนที่อยากกำจัดเซียวอี้มากที่สุดย่อมเป็นตระกูลเถา รอสงครามจบสิ้นลง ข้าจะดูว่าตระกูลเถาจะเป็นขุนนางร่วมราชสำนักกับเซียวอี้อย่างไร เถาฮองเฮาจะอดกลั้นความโกรธนี้ได้อย่างไร”

“เมื่อถึงเวลาย่อมมีเรื่องสนุกอีกแล้ว ฮ่าๆ …”

ขุนนางราชสำนักต่างเฝ้าดูอย่างโกลาหลตราบเท่าที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

เซียวอี้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์

โดยทั่วไปแล้ว เหล่าขุนนางไม่ลงรอยกับพระบรมวงศานุวงศ์ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่อยากเห็นว่าเซียวอี้มีชีวิตที่ดีนัก

การโค่นล้มเซียวอี้จึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรม

เซียวอี้ที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ยังไม่รู้ว่าตนเองกลายเป็นเป้าหมายต่อไปที่บรรดาขุนนางจะโค่นล้ม

บางทีถึงเขาจะรู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจ

เนื่องจากท่านอ๋องตงผิงยอมจำนน ฮ่องเต้หย่งไท่อารมณ์ดีอย่างมาก

เขาเสด็จไปยังตำหนักเว่ยยาง แบ่งปันความสุขนี้กับเถาฮองเฮา

“ยินดีกับฝ่าบาทเพคะ!”

เถาฮองเฮายังคงงดงาม เรียบง่าย เข้าใจผู้อื่นเหมือนเคย

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงโปรดปรานในความรู้กาลเทศะของนาง เขาเอื้อมมือออกไปโอบกอดนางเอาไว้ “ข้ายินดีร่วมกับฮองเฮา”

เถาฮองเฮาเม้มปากยิ้ม “ท่านอ๋องตงผิงยอมจำนน เรื่องสงครามทางใต้คงใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว”

ฮ่องเต้หย่งไท่กระฉับกระเฉง “จะพยายามจบสิ้นให้ได้ก่อนฤดูกาลเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”

หากไม่กระทบต่อการเพราะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อถึงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ราชสำนักย่อมสามารถเก็บส่วยได้อย่างราบรื่น

คิดว่าความเป็นอยู่ในปีหน้าจะดีขึ้น ไม่ต้องโยกย้ายทรัพย์สินจากที่อื่นมาใช้

เถาฮองเฮาเอ่ยแสดงความยินดี “ฝ่าบาททรงประทับอยู่ในพระราชวัง แต่กลับชนะได้ไกลถึงพันลี้ ความสำเร็จของพระองค์สามารถเทียบเท่ากับฮ่องเต้เกาจู่”

“ฮ่าๆๆ …”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงดังด้วยความได้ใจ

หลังจากหัวเราะ เขาจึงแสร้งถ่อมตัว “ยังไม่อาจเทียบความสำเร็จของเกาจู่ได้ แต่ว่าในใจของข้ามีความมุ่งมั่น ต้องมีสักวัน…”

ต้องมีสักวันที่เขาจะก้าวข้ามความสำเร็จของบรรพบุรุษ กลายเป็นจักรพรรดิผู้ชาญฉลาดที่ถูกพูดต่อเป็นร้อยเป็นพันปี

เถาฮองเฮาเป็นผู้ฟังที่ดีมาก “ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิผู้ชาญฉลาดพระองค์ต่อไป หม่อมฉันได้อภิเษกกับฝ่าบาท ช่างเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ ไม่รู้ต้องสั่งสมความดีมากี่ชาติ จึงจะมีผลตอบแทนในชาตินี้”

ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่หลงเชื่อ เขาจ้องมองนาง “แต่งกับข้าไม่เสียใจจริงหรือ”

เถาฮองเฮาหลุบตาต่ำ พยักหน้าเบาๆ “ไม่เสียใจเพคะ!”

น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่แน่วแน่อย่างมาก

นางรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้หย่งไท่จึงถามว่านางเสียใจหรือไม่

พี่สองถูกเซียวอี้ฆ่าตาย บิดาถูกตัดศีรษะหลังจากปลิดชีพตนเอง ตระกูลเถาล่มจม…

ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องแค้น แค้นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดเรื่องนี้ ซึ่งก็คือฮ่องเต้

เถาฮองเฮาแค้นหรือไม่

นางย่อมแค้น!

นางถูกความแค้นทรมานจนไม่อาจหลับลงได้ในทุกค่ำคืน

มักถูกฝันร้ายตามหลอกหลอน

พี่น้องถามนางในฝัน เหตุใดจึงไม่แก้แค้นแทนเขา

ท่านพ่อถามนางในฝัน ศีรษะของเขาถูกตัดลงมาแล้ว เหตุใดฮ่องเต้ยังคงไม่ยอมปล่อยตระกูลเถา

เถาฮองเฮาถูกฝันร้ายทรมานจนแทบเสียสติ

นางอยากจะสังหารฮ่องเต้หย่งไท่ด้วยมือของตนเองเพื่อระบายความแค้นที่มีอยู่ภายในใจ

แต่นอกจากความแค้น นางยังมีความเคารพ หรือแม้กระทั่งความศรัทธา

นางซ่อนความแค้นไว้ส่วนลึกในใจ มีเพียงยามค่ำคืนที่เงียบสงบจึงจะพลิกออกมาลิ้มลองรสชาติของมัน

ในเวลานี้ ภายในดวงตาของนางมีเพียงความเคารพ ไร้ซึ่งความแค้น

ดังนั้น นางจึงสามารถเผชิญหน้ากับสายตาพินิจของฮ่องเต้หย่งไท่ได้อย่างเปิดเผย

ฮ่องเต้หย่งไท่ลูบไล้แก้มของนางอย่างแผ่วเบา เขามองเห็นความรักใคร่จากภายในดวงตาของนาง

เขาใช้แรงโอบกอดนาง มอบความรักให้นาง

“เจ้าไม่เสียใจจริงหรือ”

ราวกับเพื่อยืนยัน ฮ่องเต้หย่งไท่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

เถาฮองเฮาเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้หย่งไท่ “หากจะแค้น ก็ควรแค้นสวรรค์ แค้นยุคสมัยนี้ ฝ่าบาททรงลำบากเพียงใด หม่อมฉันรู้ดีกว่าผู้อื่น หม่อมฉันแค้นเพียงตนเองไร้กำลัง ไม่อาจบรรเทาความทุกข์ของพระองค์ได้”

“ฮองเฮาไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้! ข้าต่างหากที่ทำให้เจ้าผิดหวัง สองปีนี้ ข้าทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้ารู้สึกละอายใจอย่างมาก รอสงครามจบสิ้น ข้าจะชดเชยให้เจ้า”

ฮ่องเต้หย่งไท่ให้คำมั่นสัญญาด้วยความเสน่หา

เถาฮองเฮาอมยิ้มพลันพยักหน้า ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความหวานชื่น

เพียงแต่คำพูดของฮ่องเต้หย่งไท่ นางไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว

ผู้ใดเชื่อย่อมเป็นคนโง่!

บนโลกนี้ คำพูดของผู้ใดเชื่อถือไม่ได้ที่สุด

บุรุษ!

ท่ามกลางบุรุษ ผู้ใดเป็นผู้ที่โกหกเก่งที่สุด

ฮ่องเต้!

เถาฮองเฮามองทุกเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว นางร่วมแสดงความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยากับฮ่องเต้หย่งไท่

ฉากนี้หลอกพระสนมในวังหลังและขุนนางราชสำนักได้จำนวนมาก

มีขุนนางราชสำนักจำนวนไม่น้อยรู้สึกกระวนกระวายหลังจากรู้ว่าฮ่องเต้และฮองเฮาคืนดีกัน

“ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงคืนดีกัน เกรงว่าเถาฮองเฮาจะทรงก่อเรื่องขึ้นอีก นางจะปล่อยข้าไปได้อย่างไร”

เถาฮองเฮาจะปล่อยขุนนางที่ใส่ร้ายตระกูลเถาหรือไม่ยังไม่ต้องเอ่ยถึง

ฮ่องเต้หย่งไท่อยู่เสวยอาหารเย็นในตำหนักเว่ยยาง ในคืนนั้นก็ประทับอยู่ในตำหนักเว่ยยาง เป็นเช่นนี้หลายวันติดต่อกัน

พระสนมในวังหลังต่างอิจฉาตาร้อน

เดิมทีเถาฮองเฮาก็หยิ่งผยอง เวลานี้คืนดีกับฮ่องเต้เหมือนเคย เกรงว่าจะข่มเหงรังแกพวกนางมากกว่าแต่ก่อน

การเป็นสตรีของฮ่องเต้ช่างยากลำบาก!

ทุกคนต่างคิดว่าฮ่องเต้และฮองเฮาปรองดองกันเหมือนเคย แต่เถาฮองเฮากลับไม่พอใจ

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อยู่ต่อหน้า นางมักจะทำสีหน้าดำทะมึน อีกทั้งยังพูดน้อย

บรรยากาศในตำหนักเว่ยยางกดดัน ไม่มีผู้ใดกล้าหายใจเสียงดัง

เหมาเส้าเจี้ยนรู้ปมในใจของเถาฮองเฮา

สวมบทสามีภรรยาที่รักใคร่กับฮ่องเต้หย่งไท่ทั้งวัน เถาฮองเฮาอ่อนล้าทั้งกายและใจ สีหน้าซีดเซียว

เขาเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮองเฮาทรงพักผ่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กลางคืนพระองค์ทรงนอนไม่หลับ กลางวันพระองค์ก็ไม่พักผ่อน กระหม่อมเป็นกังวลว่าร่างกายของพระองค์จะรับไม่ไหวพ่ะย่ะค่ะ!”

เถาฮองเฮาโบกมือ “ข้าไม่เหนื่อย!”

ขอบตาดำคล้ำที่เห็นได้ชัดรอบดวงตา นี่เรียกว่าไม่เหนื่อยหรือ

เหมาเส้าเจี้ยนสงสารอย่างมาก “พระองค์ทรงแกล้งป่วยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้ กลางคืนฝ่าบาทย่อมไม่บรรทมในตำหนักเว่ยยาง พระองค์ย่อมสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ”

เถาฮองเฮายิ้มเย้ยหยัน “เจ้าว่ามนุษย์น่าขันหรือไม่ ที่ผ่านมา ข้าเอาแต่เฝ้ารอฮ่องเต้มาบรรทมในตำหนักเว่ยยาง หากวันใดเขาไม่มา หรือประทับอยู่ในตำหนักของหญิงอื่น ข้าย่อมต้องขุ่นเคือง แต่เวลานี้ ฮ่องเต้ประทับอยู่ในตำหนักเว่ยยางทุกวัน แต่ข้ากลับรังเกียจเขา ไม่อยากปรนนิบัติ ไม่อยากรับมือ เฮ้อ…”

เหมาเส้าเจี้ยนพูด “พระองค์แค่ทรงเหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ!”

เถาฮองเฮาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่เหนื่อย หากแต่สภาพจิตใจมันเปลี่ยนไปแล้ว ที่ผ่านมา ข้ากับฮ่องเต้เป็นสามีกับภรรยาที่ปรองดองกันอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าเป็นคนเดียวกัน แต่เวลานี้ ข้ากับฮ่องเต้ต่างรู้ดีว่าทุกสิ่งล้วนเป็นการเสแสร้ง แต่ก็ยังคิดจะรักษาความรักที่เห็นได้เพียงภายนอก”

นางยิ้มเย้ยหยันตัวเอง

นางหัวเราะเยาะฮ่องเต้หย่งไท่ แต่ก็กำลังหัวเราะเยาะตัวเอง

นางไม่มีความกล้าที่จะทิ่มกระดาษหน้าต่างชั้นนั้นไป อีกทั้งไม่มีความกล้าที่จะฉีกความรักจอมปลอมนี้ทิ้ง

เพียงเพราะความจริงนั้นนองเลือดเกินไป จิตใจของมนุษย์นั้นมืดมนและน่ากลัวเกินไป

“มีเพียงเจ้าสามที่ยังมีแสงสว่างอยู่ภายในใจ”

เวลานี้ เถาฮองเฮาคิดถึงองค์ชายสามผู้เป็นโอรสคนเล็กอย่างมาก

เข้าใกล้แสงสว่างจึงจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

เหมาเส้าเจี้ยนรีบพูดขึ้น “ฮองเฮาทรงระลึกถึงองค์ชายสาม กระหม่อมจะส่งคนไปเชิญองค์ชายสามกลับเมืองหลวงทันทีดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เถาฮองเฮาส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าเหนื่อยแล้ว นอนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เหมาเส้าเจี้ยนเผยยิ้มด้วยความดีใจ ในที่สุดฮองเฮาก็ยอมพักผ่อนแล้ว