ตอนที่ 142 เขาแพ้ฤดูใบไม้ผลิอ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 142 เขาแพ้ฤดูใบไม้ผลิอ

หย่งไท่ปีที่สิบสาม ฤดูใบไม้ผลิ

เหล่าท่านอ๋องพ่ายแพ้สงคราม

กองทัพเหนือและกองทัพใต้ร่วมกันส่งกองกำลังไปปราบทีละคน

เหล่าท่านอ๋องพ่ายแพ้และถูกจับขัง ไม่มีผู้ใดตายในสนามรบ ยิ่งไม่มีผู้ใดปลิดชีพตัวเอง

บรรดาท่านอ๋องล้วนเป็นบุคคลที่รักชีวิตของตัวเอง ถึงแม้พวกเขาจะถูกคุมขัง แต่พวกเขาก็ยังเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ สามารถดื่มด่ำกับปฏิบัติที่หรูหราอย่างที่นักโทษอื่นไม่สามารถทำได้

มีชีวิตอยู่ดีเพียงใดกัน!

ไม่ต้องนอนในที่โล่งแจ้ง ไม่ต้องเดินทัพทำสงคราม ไม่ต้องหวาดกลัวตลอดทั้งวัน

โดนจับไม่น่าอาย!

อย่างไรก็ตาม มีชีวิตอยู่ได้ก็ย่าตาย

บรรดาท่านอ๋องล้วนเป็นผู้ชาญฉลาด

เมื่อรอจนกระทั่งท่านอ๋องหยู่หนิงองค์ใหม่ที่แต่งตั้งตนเองพ่ายแพ้ สงครามการก่อกบฏของเห่าท่านอ๋องที่ดำเนินเกือบสองปีก็สิ้นสุดลง

ท่านอ๋องที่ถูกจับล้วนถูกนำตัวไปยังเมืองหลวง

ส่วนการลงโทษขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้

ตระกูลของท่านอ๋องตงผิงล้วนตกเป็นเชลย พวกเขานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

นอกจากขาดอิสระแล้ว เรื่องอื่นล้วนดี

พระชายาฉินของท่านอ๋องตงผิงอยู่ข้างกายของท่านอ๋องตงผิง

“ท่านอ๋อง ไปเมืองหลวงคราวนี้ ฝ่าบาทจะทรงไว้ชีวิตพวกเราหรือไม่”

ท่านอ๋องตงผิงมั่นใจอย่างมาก “ข้าเป็นท่านอ๋องที่ยอมจำนนคนแรก ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงประหารข้า ข้าไม่ตาย พวกเจ้าย่อมมีชีวิตอยู่ได้”

พระชายาฉินโล่งใจ แต่นางยังคงกังวล “ฝ่าบาทจะทรงลงโทษท่านอ๋องอย่างไร บรรดาศักดิ์ของท่านอ๋องยังรักษาเอาไว้ได้หรือไม่”

เมื่อไม่มีบรรดาศักดิ์ ย่อมกลายเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ทั่วไป

ชีวิตเช่นนั้นต้องอึดอัดเพียงใด

จะรักษาบรรดาศักดิ์เอาไว้ได้หรือไม่ ท่านอ๋องตงผิงก็ไม่กล้ารับปาก

เขาพูด “เรื่องบรรดาศักดิ์ยังต้องหารือระยะยาว เมื่อถึงเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ย่อมจะรู้เอง”

พระชายาฉินภามขึ้นอีกครั้ง “เด็กๆ ติดตามมาเมืองหลวงจะรับราชการได้หรือไม่ ซวิ้นเอ๋อฝึกฝนทหารแทนท่านอ๋องแต่เด็ก เวลานี้ไม่มีอำนาจทางการทหารแล้ว ซวิ้นเอ๋อไม่อาจอยู่เฉยๆ ในแต่ละวัน เมื่อถึงเมืองหลวง ท่านอ๋องต้องวางแผนหางานให้เขาสักงาน!”

“ค่อยหารือกันเถิด ค่อยหารือกันเถิด!”

ท่านอ๋องตงผิงตอบ

รักษาบรรดาศักดิ์เอาไว้ได้ก็เป็นชัยชนะสูงสุดแล้ว

งานหรืออนาคตด้านการรับราชการ ท่านอ๋องตงผิงไม่เคยคิดแม้แต่น้อย

เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว เด็กๆ ล้วนเป็นเชื้อสายของขุนนางที่มีโทษ ฮ่องเต้จะทรงให้เชื้อสายของขุนนางที่มีโทษรับราชการได้อย่างไร

พระชายาฉินไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้รีบไม่ได้

นางเพียงแค่ต้องเอ่ยเตือนเป็นครั้วคราว ให้ท่านอ๋องตงผิงอย่าลืมอนาคตของเด็กๆ ก็พอ

ด้านนอกรถม้า เซียวกั้วกำลังขี่ม้าเดินตามขบวนรถไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า

ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เมื่อขี่อยู่บนม้า ถูกลมพัดมา รู้สึกหนาวเย็นยิ่งกว่าฤดูหนาวทางใต้เสียอีก

ใบหน้าถูกลมพัดจนเจ็บแสบ ราวกับมีคนถือมีดกรีดเข้าที่หน้า

แต่เขาก็ไม่สนใจ

มองผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ จิตใจของเขาแปรปรวน ภายในใจไม่อาจสงบลงได้แม้แต่น้อย

น้องชายเซียวอี้ให้คำมั่นแก่เขา จะแย่งชิงตำแหน่งท่านอ๋องมาให้เขา

แต่ท่านอ๋องตงผิงพ่ายแพ้กลายเป็นเชลยศึก จะแย่งชิงตำแหน่งท่านอ๋องอย่างไร

เซียวอี้คิดจะใช้ความดีความชอบของตนเองแลกเปลี่ยนตำแหน่งท่านอ๋องแทนเขาหรือ

ตำแหน่งท่านอ๋องให้เขา หมายความว่าท่านพ่อจะถูกถอนออกจากตำแหน่งท่านอ๋อง ท่านพ่อจะยอมรับได้หรือ

เมื่อถึงเวลานั้น ไม่รู้จะเกิดเรื่องมากมายขึ้นเพียงใด

เซียวซวิ้น นายน้อยสองแห่งจวนอ๋องขี่ม้าไล่ตามเซียวกั้ว ม้าที่เขาขี่นั้นเป็นม้าทหารวัยชราเช่นเดียวกัน สามารถใช้เดินทางได้ แต่วิ่งไม่เร็ว

“พี่ใหญ่ไม่ได้ขึ้นรถม้าทั้งวัน ราวกับมีเรื่องในใจ”

เซียวกั้วไม่ตอบ

เซียวสวิ้นพูดต่อ “เมืองหลวงอยู่ใกล้แค่เอื้อม พี่ใหญ่กำลังกังวลอนาคตอยู่หรือ”

เซียวกั้วหันมามองเขา “ในฐานะเชลยศึก จะมีอนาคตได้อย่างไร สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็เป็นความโชคดีอย่างมากแล้ว”

เซียวสวิ้นได้ยินจึงถอนหายใจ “ตอนนั้นออกกองกำลัง ผู้ใดจะคิดถึงจุดจบในวันนี้ หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นก็ควรจะยืนอยู่ข้างราชสำนัก”

เซียวกั้วส่ายหน้าเบาๆ

“ฝ่าบาทจะทรงเข่นฆ่าท่านพ่อ ในสถานการณ์นั้น ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็สมควรออกกองกำลัง เพียงแต่ไม่คิดว่า เหล่าท่านอ๋องมีจำนวนคนมาก แต่กลับพ่ายแพ้เร็วเช่นนี้

เดิมคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถต่อต้านเอาไว้ได้สามถึงห้าปี ดึงราชสำนักไปยังขอบเหวที่ไม่อาจหวนกลับ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะสู้หรือยอมจำนน ล้วนยังมีพื้นที่ต่อรอง ไม่แน่ว่าราชสำนักอาจยอมอ่อนข้อต่อเหล่าท่านอ๋องเพื่อให้สงครามสิ้นสุดลงในเร็ววัน

เสียดาย พวกเราพ่ายแพ้เร็วเกินไป แผนการยังไม่ทันได้เริ่ม เวลานี้อำนาจอยู่ในมือของฝ่าบาท ชีวิตก็อยู่ในมือของฝ่าบาท จะเป็นหรือตายอยู่ที่คำพูดเพียงคำเดียวของฝ่าบาท”

เซียวซวิ้นมองเขา “พี่ใหญ่ผิดหวังมากหรือ”

เซียวกั้วยิ้มเย้ยหยัน “ข้าเพียงกำลังกังวลชีวิตของตัวเอง กลัวตายอยู่ในเมืองหลวง น้องสองไม่กลัวหรือ”

เซียวซวิ้นย่อมไม่กลัว

เพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อกับท่านแม่จะปกป้องชีวิตของเขา

เขาเป็นบุตรชายที่ท่านพ่อและท่านแม่โปรดปรานที่สุด

แน่นอน ปากเขาไม่พูดออกมาเช่นนี้ “ข้าย่อมกลัว กลัวแทบตาย เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่กังวล ทำได้เพียงแสร้งทำเข้มแข็ง”

เซียวกั้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ภายในดวงตาฉายแววเสียดสี “น้องสองเจ้าช่างกตัญญู ข้าควรเรียนรู้ต่อเจ้า ไม่ให้ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นกังวล”

เมื่อได้ตากลมและพูดคุย เซียวกั้วลงจากม้ากลับเข้ารถไป

รถม้าสบายกว่า บังลมบังฝน อีกทั้งยังมีเตาไฟ สบายอย่างยิ่ง

เขาหลับตาพักผ่อน ภายในใจกำลังครุ่นคิด

เขาไม่ได้ติดต่อน้องชาย เซียวอี้มานับเดือนแล้ว ไม่รู้เวลานี้เขาอยู่ทางใต้ หรือกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว

เขาไม่ติดต่อตนเอง ตนเองจะให้ความร่วมมือกับแผนการแย่งชิงตำแหน่งท่านอ๋องของเขาได้อย่างไร

ช่างกลุ้มใจยิ่งนัก

เวลานี้ คนที่กลุ้มยังมีองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่

ภรรยาหลี่ปิ้งถิงกำลังจะคลอด นางเข้าไปในห้องคลอดหลายชั่วยามแล้ว เด็กยังไม่คลอดออกมา

ตระกูลหลี่มีคนมามากมาย โหวกเหวกโวยวาย

มีคนบอกให้เขาไม่ต้องกังวล

มีคนบอกว่าต้องคลอดบุตรชายให้ได้

ยังมีคนเรียกให้เขาเตรียมตัวไว้ เมื่อเด็กคลอดออกมาก็เข้าไปทูลรายงานในวังหลวง

ทั้งหมดทั้งมวล เสียงดังจนหูเขาแทบหนวก

เขาอยากระบายความโกรธ แต่ก็ระบายไม่ออกมา

ทำได้เพียงเดินหนี หาที่สงบอยู่คนเดียว

เขาถามขุนนางฝ่ายในคนสนิท “เจ้าว่าเด็กในท้องของฮูหยินจะเป็นเด็กชายหรือไม่”

“องค์ชายวางใจ ย่อมต้องเป็นบุตรชาย หญิงทำคลอดมีประสบการณ์มาก เพียงใช้มือลูบก็รู้แล้ว หญิงทำคลอดบอกเองว่าครรภ์นี้เป็นบุตรชาย ย่อมไม่ผิดแน่”

เซียวเฉิงเย่พยักหน้า เขาวางใจลงครึ่งหนึ่ง “เป็นบุตรชายก็ดี หากเป็นบุตรชาย ย่อมต้องเป็นพระราชนัดดาองค์โต ไม่ธรรมดา”

ขุนนางฝ่ายในปลอบเขา “องค์ชายไม่ต้องทรงกังวล ย่อมต้องเป็นพระราชนัดดาองค์โตอย่างแน่นอน องค์ชายสองอภิเษกมาสองปี พระชายาองค์ชายสองยังไม่มีข่าวคราว งานอภิเษกขององค์ชายสามก็ยังไม่มีข้อสรุป พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขามากแล้ว ไม่ต้องทรงกังวล”

เซียวเฉิงเย่ได้ยินจึงเผยยิ้มออกมาในที่สุด

เขาไม่ง่ายเลยเสียจริง!

นับแต่เล็กจนโต ทุกคนกดขี่ทุกเรื่อง ทุกคนไม่ชอบทุกเรื่อง

วันนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถลืมตาอ้าปาก ทำให้ทุกคนต้องมองเขาใหม่

ตั้งแต่เช้ายันกลางคืน จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่สอง เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นทำลายท้องฟ้าที่มืดสนิท

หลี่ปิ้งถิงคลอดแล้ว

นางคลอดบุตรชาย หรือพระราชนัดดาองค์โตสมดังปรารถนา

“ฮ่าๆ…”

ท้องฟ้าในยามเที่ยงคืนมืดสนิทดุจหมึก

เซียวเฉิงเย่ยืนอยู่ด้านหน้าห้องคลอดปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความดีใจ

“รางวัล! ทุกคนล้วนมีรางวัล!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

บ่าวรับใช้ต่างยิ้มแย้มด้วยความดีใจ พร้อมทั้งเดินขึ้นหน้าถวายคำยินดี

คนตระกูลหลี่ยิ่งยิ้มจนไม่อาจหุบปากได้

ฮ่า ๆ…ปิ้งถิงให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง!

คราวนี้ตระกูลหลี่จะพลิกตัวได้แล้วจริงๆ

ทันทีที่ประตูวังเปิดออก เซียวเฉิงเย่ก็เข้าวังทูลรายงาน

เขาจะทูลข่าวดีนี้ต่อเสด็จพ่อด้วยตนเอง

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่ทรงรู้ว่าพระราชนัดดาองค์โตกำเนิดออกมาก็ดีใจอย่างมาก

ให้รางวัล!

ให้รางวัลอย่างหนัก!

ไม่เพียงพระราชทานรางวัลให้หลี่ปิ้งถิงและเด็กที่เพิ่งกำเนิดออกมา

เซียวเฉิงเย่ก็ได้รับพระราชทานรางวัลเช่นเดียวกัน

ฮ่องเต้หย่งไท่เอ่ยต่อเขาด้วยความอดทนอย่างหาได้ยาก “งานก่อนหน้านี้หากทำแล้วไม่มีความสุข ข้าจะเปลี่ยนงานให้เจ้า ต่อจากนี้ทำงานให้ดี เจ้าเป็นบิดาแล้ว ควรรู้เรื่องแล้ว”

เซียวเฉิงเย่ทำหน้าสีใจ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”

การได้งานใหม่เป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย

เซียวเฉิงเย่ออกจาวังหลวงไปด้วยความดีใจ เดินทางกลับจวนไปดูบุตรชาย

หลังวัง

เมื่อเถาฮองเฮาได้ยินว่าหลี่ปิ้งถิงให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป

แต่ว่านางสงบลงอย่างรวดเร็ว พลันรับสั่งเหมาเส้าเจี้ยน “ไปเลือกของขวัญในคลัง เจ้าจับตาดูพร้อมส่งไปยังจวนองค์ชายใหญ่ด้วยตนเอง ฉลองพระราชนัดดาองค์โตกำเนิด อย่าลืมหลี่ปิ้งถิง นางมีความดีความชอบมาก เป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบของราชวงศ์”

“กระหม่อมน้อบรับคำสั่ง!”

“ส่งคนไปเชิญองค์ชายสองมา ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขา”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เหมาเส้าเจี้ยนเดินทางส่งของขวัญที่จวนองค์ชายใหญ่ด้วยตนเอง

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินเสด็จมาตำหนักเว่ยยางอย่างไม่รีบร้อน

ฤดูใบไม้ผลิ สรรพสิ่งฟื้นฟู ทำให้เขาทรมานที่สุด

ฤดูใบไม้ผลิในแต่ละปี เขาล้วนหลบอยู่ในจวน แทบจะไม่ออกจากจวน

หากไม่ใช่เถาฮองเฮาเรียก พูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมมวังหลวง

ในสวนดอกไม้ของพระราชวัง ต้นไม้ไม่มากนัก แต่มีดอกไม้นานาชนิด ทำให้เขาอึดอัดมาก

เขาแพ้ฤดูใบไม้ผลิเล็กน้อย

“เสด็จแม่เรียกข้าเข้าเฝ้า ไม่รู้มีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ลูกพบกัน เซียวเฉิงเหวินก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งการถามไถ่แต่อย่างใด

เถาฮองเฮาเคยชินกับวิธีการพูดของเขาจึงไม่สนใจ

“หลี่ปิ้งถิงให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต เจ้ารู้หรือไม่”

เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วยิ้ม “ข้าได้ยินคนทูลรายงานตั้งแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่เสด็จพ่อจนขุนนางในสำนักหยาเหมินคงจะรู้ข่าวการกำเนิดของพระราชนัดดาองค์โตแล้ว ก่อนมาข้ายังกำชับให้อวิ๋นฉีเตรียมของขวัญไปเยือนจวนองค์ชายใหญ่เมื่อพิธีสรงสาม”

เถาฮองเฮาทำหน้าบึ้ง “หลี่ปิ้งถิงให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต เจ้าไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยเลยหรือ”

เซียวเฉิงเหวินยิ้ม ใบหน้าที่ซีดเซียวและซูบผอมดูอ่อนแอ ราวกับจะล้มลงและเสียชีวิตได้ทุกเวลา

แต่แล้วพลังชีวิตของเขายังแข็งแกร่ง

ดูเหมือนกำลังจะตาย แต่ก็ไม่ตายเสียที

เขาพูด “พระราชนัดดาองค์โตคนเดียว เหตุใดจึงต้องกังวล เสด็จแม่ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

“นั่นเป็นพระราชนัดดาองค์โตเชียวนะ!” เถาฮองเฮาพูดย้ำอีกครั้ง “เสด็จพ่อของเจ้าดีใจอย่างมาก อีกทั้งยังเปลี่ยนงานให้เซียวเฉิงเย่”

เซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ทรงกังวลเกินไป แม้แต่โอรสองค์โตยังไม่สำคัญ พระราชนัดดาองค์โตก็จะกอบกู้ได้อย่างนั้นหรือ พี่ใหญ่ให้ความสำคัญกับพระราชนัดดาองค์โต ข้าไม่โทษเขา เพราะเขามีวิสัยทัศน์เพียงเท่านั้น แต่ว่าเสด็จแม่ไม่ควรให้ความสำคัญกับพระราชนัดดาองค์โต เพียงแค่พระราชนัดดาองค์โต รอเขาเติบใหญ่ยังมีเวลาอีกยี่สิบปี ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

เถาฮองเฮาทำหน้าเคร่งขรึม พลันถามอย่างจริงจัง “เจ้ามั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพ่อของเจ้าไม่เปลี่ยนความคิด ใจของคนย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาเสด็จพ่อดูถูกเซียวเฉิงเย่ แต่อนาคตก็ไม่แน่”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มเหยียดหยาม “แผ่นดินเปลี่ยนง่าย นิสัยเปลี่ยนยาก พี่ใหญ่เคยเป็นคนไม่เอาไหนในอดีต อนาคตเขาก็ยังคงเป็น เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ข้ารับรอง!”