บทที่ 111 กำหนดให้แพ้ (ต้น)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 111 กำหนดให้แพ้ (ต้น)

ใบหน้าของ ฉู่ชูเหยียน เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครที่กล่าวชมเชยความงามของนาง คนเหล่านั้นมักจะชมเชยแบบอ้อม ๆ เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชมเชยนางเถรตรงแบบนี้ จนนางเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

ในขณะเดียวกัน ฉินว่านหรู ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของซูอัน ไอ้เด็กเลวคนนี้ลิ้นของมันช่างลื่นไหลจริง ๆ ทำไมยิ่งข้ามองมันข้ารู้สึกยิ่งเกลียดมันมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้!?

ฉู่จงเทียน ที่มองอยู่เตือนด้วยการไอเบา ๆ “อะแฮ่ม ๆ การพูดระหว่างทานอาหารนับว่าเป็นมารยาทที่ไม่เหมาะ”

ซูอัน พยักหน้าเล็กน้อยให้กับพ่อตาของตน จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรต่อ ทั้งห้าคนจึงลงเอยด้วยการทานอาหารอย่างเงียบ ๆ พวกเขาใช้เวลาไม่นานก่อนที่พวกเขาจะทานจนเสร็จซึ่งบรรดาคนรับใช้ทั้งหลายก็รีบนำ น้ำเกลือเข้ามาให้เพื่อให้พวกเขาบ้วนปาก พร้อมกันนั้นก็จัดการหยิบจานชามช้อนส้อมออกไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

พูดตามตรง ซูอัน รู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ ปกติจะมีอาหารส่งไปให้เขาถึงที่ห้อง แต่วันนี้เขากลับถูกเรียกมาทานอาหารร่วมกับคนอื่น ๆ ที่โต๊ะหลัก นี่เป็นสัญญาณว่าเขาเริ่มได้รับการยอมรับจากตระกูลฉู่แล้วหรือเปล่า?

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ ๆ ฉู่จงเทียน ก็พูดขึ้น “ชูเหยียน การเดินทางไป หลูหลิง ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูอัน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาจะคุยเรื่องกิจการตระกูลต่อหน้าเขาเลยงั้นเหรอ? นี่พวกเขาไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนนอกอีกต่อไปแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?

“ท่านพ่อข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว และดูเหมือนว่าสินค้าทั้งหมดจะถูกปล้นไปโดย ค่ายเมฆาทมิฬ ข้ากวาดพื้นที่พร้อมกับคนของข้า แต่ราวกับว่าพวกเขาหายตัวไปจากพื้นโลก ข้าไม่พบร่องรอยของพวกเขาเลย” ฉู่ชูเหยียน ตอบกลับไป

“ค่ายเมฆาทมิฬ?”

ฉู่จงเทียน ถอนใจยาวและกล่าวว่า “นั่นเป็นเอกลักษณ์ของไอ้พวกโจรค่ายเมฆาทมิฬ ราวกับว่าพวกมันสามารถรับรู้ถึงอันตรายได้ล่วงหน้าจนทำให้พวกมันสามารถหนีรอดไปได้ตลอด ทันทีที่เราส่งกองทัพไป

พวกมันจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขามังกรซ่อน ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงไม่สามารถส่งกองทัพของเราไปปกป้องสินค้าของเราได้ทุกครั้ง นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากจริง ๆ ”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ค่ายเมฆาทมิฬก็ได้โจมตีขบวนรถของตระกูลอวี๋เช่นกันแถมตระกูลอวี๋ยังเสียคนไปจำนวนไม่น้อยเลยด้วย ข้าสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่เราจะร่วมมือกับตระกูลอวี๋ เพื่อจัดการกับไอ้พวกโจรร้ายพวกนี้”

“เหอะ! ข้ารู้นะว่าที่ท่านพูดถึงตระกูลอวี๋ขึ้นมามันเป็นเพราะท่านสนใจ อวี๋เหยียนลั่ว ใช่ไหม!” ฉินว่านหรู เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ตระกูลอวี๋เองก็มีปัญหาของพวกเขามากพออยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจะมีเวลามาสนใจจัดการกับ ค่ายเมฆาทมิฬได้ยังไง?”

สีหน้าของ ฉู่จงเทียน เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความอับอายทันที เขาดึงแขนเสื้อภรรยาแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่แบบที่เจ้าคิดสักหน่อย แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ ยังอยู่ใกล้ ๆ …”

ฉินว่านหรู เบือนหน้าหนีไปด้วยท่าทีหงุดหงิดกับการเสแสร้งทำเป็นไม่สนใจของสามีของนาง

รอยยิ้มที่รู้แจ้งปรากฏบนริมฝีปากของ ซูอัน ดูเหมือนว่าพ่อตาของเขาน่าจะเคยไปติดพัน อวี๋เหยียนลั่ว ตอนวัยหนุ่ม ซึ่งสิ่งนี่เขาก็พอเข้าใจได้ ชายหนุ่มที่ไหนกันจะไม่อยากได้หญิงงามขนาดนั้นมาเป็นคู่ครอง?

ฉู่ชูเหยียน ทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจด้วยการกระแอมเบา ๆ และรายงานต่อไป “กิจการอาวุธของเราตอนนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากบ่อน้ำวิญญาณของเราถูกวางยาพิษไปซึ่งหมายความว่าตระกูลของเราได้สูญเสียความได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปแล้วเมื่อพูดถึงเรื่องการค้าอาวุธ และในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าตระกูลหยวน จะได้พบกับปรมาจารย์อักขระคนใหม่ที่น่าเกรงขามพอสมควรให้มาช่วย

ลงอักขระในอาวุธของพวกเขาจนตอนนี้มันกลายเป็นว่าคุณภาพอาวุธที่พวกเขาสร้างมันไม่ด้อยไปกว่าของพวกเราเลยแถมมันยังตัดราคาถูกกว่าด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาจะกินส่วนแบ่งการตลาดของเราไปเรื่อย ๆ และท้าที่่สุดรากฐานของตระกูลเราอาจถูกสั่นคลอนได้”

ซูอัน นิ่งฟังข้อมูลต่าง ๆ อย่างตั้งใจพร้อมกับประมวลผลไปด้วย เขาจำลายเส้นแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ที่เขาเห็นในรถม้าของ อวี๋เหยียนลั่ว ได้ซึ่งนั่นมันน่าจะเป็นผลงานของปรมาจารย์อักขระสักคนที่คงมาสลักลวดลายพวกนั้นให้ ดังนั้นถ้าคิดกันตามหลักเหตุผลแล้ว อาวุธที่ถูกสลักอักขระโบราณเอาไว้มันมันก็ต้องมีพลังมากกว่าอาวุธธรรมดาแน่นอน

แต่แล้วเขาก็ย้อนนึกไปถึงสิ่งที่ในสถาบันสอน ซึ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด ถ้าในชั้นเรียนบ้า ๆ นั่นหยุดสอนหลักการอะไรที่ยืดยาวไร้สาระพวกนั้นแล้วสอนความรู้เชิงปฏิบัติมากขึ้น เขาก็คงอยากไปเรียนที่นั่นมากกว่านี้

ความจริงแล้ว ซูอัน เข้าใจผิดเกี่ยวกับ สถาบันจันทร์กระจ่าง สาเหตุที่เขาเบื่อหน่ายเพราะเขาอยู่ในชั้นเรียนสีเหลือง ซึ่งผู้ที่อยู่ในชั้นเรียนสีเหลืองตามปกติแล้วคือผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะเลย ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายที่สถาบันจะยัดหลักสูตรการบ่มเพาะเข้าไป มีเพียงหนึ่งหรือสองหลักสูตรต่อสัปดาห์เท่านั้นที่ให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบ่มเพาะสำหรับชั้นเรียนสีเหลือง

ในทางกลับกันถ้าเป็นชั้นเรียนอื่น ๆ โดยเฉพาะชั้นเรียนนภา หลักสูตรแทบทั้งหมดจะเน้นไปที่การบ่มเพาะเป็นหลักและมีบทเรียนที่เกี่ยวกับพวกวิชาการ หลักการ ปรัชญา น้อยกว่ามาก

“ตระกูลหยวนไปหาปรมาจารย์อักขระเก่ง ๆ มาได้ยังไง?” ฉินว่านหรู ขมวดคิ้ว “พวกเขามีเส้นสายที่กว้างขวางมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ”

“ถ้าเป็นพวกเขาเองคงไม่มีปัญญา แต่ตระกูลอู๋ที่อยู่ใกล้เคียงนั้นคือตัวปัญหา ผู้นำตระกูลอู๋ ก็เป็นอ๋องเช่นเดียวกันกับท่านพ่อและพวกเขาก็อยากจะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของตระกูลเรามาระยะหนึ่งแล้ว ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วและก็พบว่าตระกูลอู๋ได้แอบสนับสนุนตระกูลหยวนอย่างลับ ๆ มาได้พักใหญ่แล้ว มิฉะนั้น ตระกูลหยวนคงไม่กล้าท้าทายเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้” ฉู่ชูเหยียนตอบ

“มิน่าล่ะ! วันนี้ไอ้หยวนเหวินตงมันถึงได้ทำตัวหยิ่งผยองที่สถาบัน ถึงขนาดบอกว่าเขาจะสอนบทเรียนให้พี่เขยในตอนงานประลองระหว่างตระกูลที่กำลังจะถึง!” ฉู่ฮวนเจา ที่เงียบมาตลอด แต่เมื่อนางได้ยินชื่อที่คุ้นหูก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นบ้างด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ไอ้พวกตระกูลหยวนทำเกินไปจริง ๆ ครั้งนี้! ต่อให้จะเป็นคนรับใช้หรือสุนัขของตระกูลฉู่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันจะมารังแกกันได้ง่าย ๆ !” ฉินว่านหรู ตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล “ไป! พวกเราไปที่ตระกูลหยวนกันเดี๋ยวนี้ เพื่อไปขอคำอธิบายที่เหมาะสมจากพวกมัน!”

ซูอัน มองไปที่ ฉินว่านหรู ด้วยสายตาไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าคำพูดของนางมันเหมือนค่อนแคะดูถูกเขาด้วยไปในตัว

“ฮูหยินของข้า เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน ซ่างหง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการมณฑลหลินชวนแล้ว ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้เขากำลังมองหาเหตุผลที่จะปราบปรามพวกเราอยู่” ฉู่จงเทียน ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและดึงภรรยาของเขากลับมา “พวกเราต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้และต้องคิดให้รอบคอบกับทุกการกระทำนับจากนี้ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะตกไปอยู่ในหลุมพรางของฝั่งตรงข้ามได้ง่าย ๆ ”

ซูอัน เลิกคิ้วขึ้นทันที เขาพอเข้าใจแล้วว่าแม้ดูจากภายนอก ตระกูลฉู่ จะดูเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครแตะได้ แต่จริง ๆ แล้วดูเหมือนว่าพวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยภัยคุกคามเต็มไปหมด การทำพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงหายนะของตระกูลเลยก็ว่าได้

ฉู่จงเทียนลูบหลังภรรยาของเขาเพื่อปลอบให้นางสงบลงในขณะที่หันไปถามลูกเขยตัวดีของเขาว่า “ซูอัน วันนี้หยวนเหวินตงคงสร้างปัญหาให้เจ้าพอดูเลยใช่ไหม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”