ตอนที่ 395 - เรือนโค้งปทุมวาโย

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 395 – เรือนโค้งปทุมวาโย

อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ทั้งสองคนไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงลับ ทว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่ง ยากจะตัดสินใจในทันที โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนเงียบไป ต่างคนต่างคิดหนัก

เจ้าเมืองเหมยนั้นก็ไม่เร่งร้อน เพียงนั่งมองพวกนางอย่างยิ้มแย้ม

โม่เทียนเกอใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ยังต้องปรึกษากันเสียหน่อยถึงจะดี สำหรับสมบัตินางไม่ได้กระหายอยากจนเกินไปเลย ยังไม่เข้าใจที่มาที่ไปก็จะเข้าสถานที่ลับโบราณกาลอะไรอย่างส่งเดชก็เสี่ยงอันตรายเกินไป ใครจะรู้ว่ามีเบื้องลึกอะไรหรือไม่ ส่วนเนี่ยอู๋ชาง ว่าไปแล้วขณะนี้ยังเชื่อถือได้ ความแข็งแกร่งก็แกร่งมาก หากทั้งสองคนร่วมมือกันก็ปลอดภัยขึ้นหน่อย

คิดถึงตรงนี้ นางเอ่ยว่า “เจ้าเมืองเหมย ครานี้ผู้เยาว์เพียงผ่านเมืองซิงลั่วมาดู ๆ เท่านั้น ตกลงนัดหมายกับสหายในหลายเดือนให้หลังอยู่แต่แรก นี่……”

“สหายน้อยฉินวางใจ” เจ้าเมืองเหมยเอ่ย “อย่างมากที่สุดหนึ่งเดือนเรื่องก็สามารถยุติ ถึงเวลาท่านย่อมสามารถจากไป”

“เจ้าเมืองเหมย” เนี่ยอู๋ชางถามต่อมาว่า “ไม่ทราบสถานที่ลับแห่งนั้นที่ท่านพูดสรุปว่ามีเบื้องลึกอันใด มีอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่ ผ่านด่านสามารถได้รับรางวัล เช่นนั้นหากไม่ผ่านด่านเล่า? นอกจากนั้น หากหาพบผลเทพสวรรค์ เจ้าเมืองเหมยจะใช้วัตถุใดแลกเปลี่ยน หากหาไม่เจอแล้วจะเป็นอย่างไร”

วาจาที่โม่เทียนเกอพูดก่อนหน้ามีเจตนาบอกปัด คล้ายกับไม่อยากจะไปสถานที่ลับอะไรนั่นมากเลย ทว่าคำถามเป็นชุดของเนี่ยอู๋ชางนี้กลับเป็นการใคร่ครวญความเป็นไปได้ในการเข้าสถานที่ลับนี้อย่างจริงจัง

เจ้าเมืองเหมยฟังแล้วยินดีมาก กล่าวว่า “ขอเพียงทั้งสองท่านรับปากไปสถานที่ลับสักรอบ เปิ่นจั้วจะสนับสนุนเต็มกำลัง หากหาผลเทพสวรรค์กลับมาได้ เปิ่นจั้วยินดีใช้สมบัติวิญญาณมาแลกเปลี่ยน จุดนี้ ทั้งสองท่านสามารถยื่นข้อเรียกร้อง หากไร้ข้อเรียกร้องก็สามารถเลือกหยิบบางส่วนในคลังของสะสมของเปิ่นจั้ว ส่วนสถานที่ลับนี้ เปิ่นจั้วสามารถแจ้งอย่างตรงไปตรงมาว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ทดสอบแห่งหนึ่งที่หลงเหลือจากโบราณกาล ตัวด่านไม่อันตรายถึงชีวิต แน่นอนว่า หากเข้าไปกับคนอื่นจะต้องระวังการวางอุบายของคนอื่นเขา”

เนี่ยอู๋ชางครุ่นคิดหนึ่งรอบ ถามอีกว่า “เจ้าเมืองเชิญสหายเต๋าก่อเกิดตานมากขนาดนั้นเป็นเพราะกฎเกณฑ์ของสถานที่ลับนี้คือระดับก่อเกิดตานหรือ อีกทั้งหนึ่งคนเพียงสามารถเข้าได้หนึ่งครั้ง?”

“มิผิด” เจ้าเมืองเหมยเอ่ย “หลังจากที่ค้นพบสถานที่ลับแห่งนี้ เปิ่นจั้วเคยเข้าไปสำรวจข้างในแต่แรกแล้ว เปิ่นจั้วระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สิ่งที่กระตุ้นคือบททดสอบของระดับจิตวิญญาณใหม่ สมัยโบราณกาล ณานศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ล้ำฟ้าเลิศภพเพียงใด ไยที่ผู้ฝึกตนของวันนี้จะสามารถเทียบได้? เปิ่นจั้วไม่สามารถผ่านด่านอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด ภายหลังสั่งการลูกน้องผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนต่าง ๆ นานาเข้าไปสำรวจข้างใน ยังคงล้มเหลวกันหมด อันที่จริง ระดับสร้างฐานพลังก็สามารถเข้าประตู อีกทั้งพลังอำนาจที่กระตุ้นขึ้นมาก็ไม่สูงเกินไป เพียงแต่รางวัลของระดับสร้างฐานพลังไม่ล้นหลามมากนัก ยิ่งไม่มีผลเทพสวรรค์ เปิ่นจั้วจนแต้ม ได้แต่เชิญเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ผ่านมายังเมืองซิงลั่วเพื่อช่วยเหลือ……”

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ถามว่า “เจ้าเมืองเหมย เรื่องนี้หรือว่าไม่ได้เล็ดรอดออกไป หากเป็นสถานที่ลับโบราณกาล คิดว่าจะต้องมีสหายมากมายเต็มใจมุ่งไป”

ได้ยินวาจานี้ เจ้าเมืองเหมยลังเลครู่หนึ่ง ตอบโดยสงบว่า “เรื่องนี้เปิ่นจั้วก็เคยคิด ช่วงนี้มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผ่านมามากขนาดนี้ พวกเขามิใช่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังที่สามารถจัดการตามใจชอบ ข่าวนี้จะต้องปิดได้ไม่นานมาก เมืองซิงลั่วขนาดไม่ใหญ่ ในเจ็ดแดนมารเล็กอาณาจักรเป่ยหลินก็ไม่นับว่าทรงอำนาจ หากแดนมารอื่น หรือว่าสำนักใหญ่ของตงถัง, หนานโจวสองอาณาจักรอยากจะเข้าสถานที่ลับนี้ เปิ่นจั้วก็หยุดไม่อยู่ ถึงเวลา สามารถแลกผลเทพสวรรค์จากในมือพวกเขาได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่คำนวณไม่ได้ ดังนั้น เปิ่นจั้วจึงอยากช่วงชิงเวลา ฉวยตอนนี้ที่พวกเขายังไม่ตัดสินใจ คว้าผลเทพสวรรค์เอาไว้”

โม่เทียนเกอผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย ผลเทพสวรรค์ถึงจะไม่ได้มีสรรพคุณอัศจรรย์อะไร แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นวัตถุแห่งโบราณกาล หากสามารถล้างพิษที่หลงเหลือของหญ้าวิญญาณ สำนักใหญ่เหล่านั้นคงคิดจะเก็บไว้เสียกว่าครึ่ง

“สหายน้อยทั้งสอง” เจ้าเมืองเหมยกล่าวอีก “ของสะสมของเปิ่นจั้วตอนนี้ยังไม่สามารถให้ทั้งสองท่านผ่านตา แต่เปิ่นจั้วสามารถรับประกันได้ว่าเป็นสมบัติที่พวกท่านผู้ฝึกตนก่อเกิดตานใฝ่ฝันหาอย่างแน่นอน ขอเพียงทั้งสองท่านรับปากเข้าไปลองข้างใน ถึงแม้ว่าไม่สามารถได้รับผลเทพสวรรค์ เปิ่นจั้วก็จะมอบผลประโยชน์จำนวนหนึ่งให้พวกท่าน”

ของสะสมของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สำหรับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้วย่อมล้วนเป็นสมบัติหายาก จุดนี้โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนไม่ระแวงสงสัย

“วาจาของเจ้าเมืองเหมย ผู้เยาว์ย่อมเชื่อถือ” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “แต่ว่า สถานที่ลับแห่งนี้ต้องผ่านด่านยากมากเลยกระมัง”

“แน่นอน” เจ้าเมืองเหมยยอมรับ “ทั้งสองท่านต้องเตรียมจิตใจเอาไว้ นี่เป็นสถานที่ลับโบราณกาล บททดสอบของระดับก่อเกิดตานยากถึงสิบส่วน อาจจะไม่ผ่านแม้แต่ด่านแรก”

จุดนี้ โม่เทียนเกอรู้อยู่แล้ว ก่อนนางจะก่อเกิดตาน โรงเรียนเสวียนชิงก็ค้นพบว่าที่เขาไท่คังมีม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติหนึ่งอันซ่อนอยู่ แทบไม่ต่างจากสถานที่ลับแห่งนี้ ล้วนเป็นสถานที่แห่งการทดสอบโบราณกาล คำพูดนี้ของเจ้าเมืองเหมยไม่ได้หลอกลวง

เจ้าเมืองเหมยพูดจบ โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางแลกเปลี่ยนสายตากัน เห็นข้อความเดียวกันจากในดวงตาของอีกฝ่าย

โม่เทียนเกอเข้าใจโดยสัญชาตญาณ หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับเจ้าเมืองเหมยว่า “เรื่องราวใหญ่หลวง เรื่องนี้ผู้เยาว์ยังต้องใคร่ครวญสักหน่อย ไม่ทราบ……”

“อ้อ อันนี้แน่นอน” เจ้าเมืองเหมยเอ่ย “สหายน้อยสามารถอยู่ในจวนชั่วคราว ครุ่นคิดให้ดี ๆ”

เนี่ยอู๋ชางก็เอ่ยว่า “ผู้เยาว์ก็เช่นกัน เจ้าเมืองเหมยโปรดอำนวยความสะดวก”

“นี่ย่อมแน่นอน” เจ้าเมืองเหมยยิ้มบาง ๆ “ทั้งสองท่านหากตัดสินใจแล้ว เปิ่นจั้วจะให้คนพาทั้งสองท่านไปพักผ่อนเป็นอย่างไร”

“เช่นนี้ดียิ่งนัก ขอรบกวนเจ้าเมืองแล้ว”

เจ้าเมืองเหมยกวักมือเรียกหญิงรับใช้ สั่งว่า “พาสหายน้อยสองท่านนี้ไปเรือนเฟิงเหอ ดูแลดี ๆ จะต้องให้พวกเขาพึงพอใจ!”

หญิงรับใช้โค้งกายตอบรับ “เจ้าค่ะ เจ้าเมือง” เอ่ยจบแล้วก็คารวะให้ทั้งสองคนอย่างเคารพนอบน้อม “ผู้อาวุโสทั้งสอง โปรดตามข้ามา”

โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางลุกขึ้น ยกมือคารวะเจ้าเมืองเหมย ติดตามหญิงรับใช้ออกไป

ชั่วครู่ให้หลัง หญิงรับใช้นี้พาทั้งสองคนเข้าไปในลานเรือนหนึ่งแห่ง ลานเรือนเล็กกะทัดรัด ปราณีตถึงสิบส่วน ระเบียงทางเดินคดโค้ง บึงน้ำใส ดอกบัวสีชมพูในบึงชูช่อ โถงเล็กของลานเรือน บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสี่คำ : เรือนโค้งปทุมวาโย (ชูเยวี่ยนเฟิงเหอ)

โม่เทียนเกอแอบคิดว่า ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเจ้าเมืองเหมยผู้นี้ถึงกับยังเป็นสุภาพชนผู้สง่างาม อีกทั้งในเรือนยังตั้งกำแพงอาคมเอาไว้ สกัดกั้นปราณมารอันหนักอึ้ง ทำให้เรือนเล็กดูเรียบหรูเป็นพิเศษ

หญิงรับใช้ชักนำพวกนางสองคนเข้าไปในเรือนแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่ก็คือเรือนเฟิงเหอ ทั้งสองท่านเป็นผู้อาวุโสที่ฝึกเซียน นอกจากอยู่ที่นี่ก็ไม่มีที่เหมาะสมอื่นอีกแล้ว นี่คือปีกตะวันออก นี่คือปีกตะวันตก ผู้อาวุโสทั้งสองอยากจะอยู่ที่ห้องไหนสามารถเลือกได้ตามใจชอบ บ่าวจะสั่งคนมารับใช้ในตอนค่ำ”

โม่เทียนเกอยังสำรวจมองสภาพแวดล้อมรอบด้าน เนี่ยอู๋ชางเอ่ยแล้วว่า “การรับใช้ไม่ต้อง พวกเราชอบความเงียบสงบที่สุด มีธุระก็มาเรียกพวกข้า ไม่มีธุระไม่ต้องมารบกวน”

“เจ้าค่ะ” ข้อเรียกร้องนี้สำหรับผู้ฝึกตนแล้วปกติถึงสิบส่วน หญิงรับใช้นี้ย่อเข่าคารวะ ล่าถอยไปอย่างนอบน้อม

รอจนหญิงรับใช้นี้ออกไปจากลานเรือน ทั้งสองคนเคลื่อนไหวทันที ตรวจสอบว่ารอบบริเวณมีกำแพงอาคมสอดแนมหรือไม่ หลังจากยืนยันว่าไม่มีเรื่อง โม่เทียนเกอขยับมือเท้าเล็กน้อย ตั้งกำแพงอาคมตัดขาดจิตหยั่งรู้ แล้วนั่งลงข้างบึงน้ำกับเนี่ยอู๋ชางสองคน

“สหายเต๋าเนี่ย ท่านเห็นว่าอย่างไร” โม่เทียนเกอถามก่อน นางฟังออกว่า เนี่ยอู๋ชางโน้มเอียงไปทางท่องสถานที่ลับ เพียงไม่ทราบว่าสรุปแล้วนางมีเจตนาอะไร

“ข้ารู้สึกว่าสามารถลองดู” เนี่ยอู๋ชางกล่าวเยี่ยงนี้ตามคาด นางถอดงอบไม้ไผ่บนศีรษะ ดึงผ้าปิดหน้าลงให้ลมผ่าน จู่ ๆ ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องเลยสักนิดว่า “ท่านว่า เจ้าเมืองเหมยคนนี้ดูการปลอมแปลงของข้าออกหรือไม่”

โม่เทียนเกอตะลึงไป เอ่ยว่า “ไม่รู้ เขาเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ดูออกก็ไม่แปลก อีกอย่าง ในเมื่อเขาไม่พูดก็คือไม่ใส่ใจ ท่านปลอมแปลงโฉมเกี่ยวอะไรด้วยหรือ”

“ที่พูดมาก็ถูก” เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้ากลัวการพบผู้ฝึกตนระดับสูงที่สุด พวกเขาหากมีจิตใจอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา กวาดจิตหยั่งรู้ทีเดียว ความลับอะไรล้วนปิดไม่อยู่” อย่างน้อยที่สุดความลับที่นางเป็นสตรีก็ปิดไม่อยู่

โม่เทียนเกอเศร้าใจไปกับนาง หากมิใช่มีป้ายซ่อนวิญญาณบนตัว เทียบกับเนี่ยอู๋ชางแล้วนางยังอันตรายกว่าอีก อีกอย่าง มีป้ายซ่อนวิญญาณแล้วก็มิใช่ปลอดภัยอย่างแน่นอน อย่างเช่นหลิงอวิ๋นเฮ่อและประมุขมารเสวียนเยว่ก็อาศัยวิธีการอื่นรับรู้ได้ว่านางปิดบังระดับการฝึกตน

“ผู้ฝึกตนระดับสูงจะอย่างไรมีไม่มาก อีกอย่าง พวกเขาถ้าไม่มีเรื่องราวก็จะไม่ใช้จิตหยั่งรู้กวาดดูมั่วอย่างส่งเดช ถึงจะรู้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาก็จะไม่พูดอะไร”

“ใช่ ยังดีที่เป็นเช่นนี้” เนี่ยอู๋ชางเช็ดหน้า พูดหัวข้อเดิมต่อ “ทำไมข้าดูแล้วท่านไม่มีท่าทีว่ารู้สึกสนใจนักเลยเล่า หากที่เจ้าเมืองเหมยพูดเป็นความจริง นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนะ!”

โม่เทียนเกอยิ้ม “ท่านได้รับสมบัติไม่น้อยจากซือฟุท่านกระมัง ยังต้องการสิ่งของที่เจ้าเมืองเหมยพูดจนจิตใจสั่นคลอนหรือ”

เนี่ยอู๋ชางตะลึง แบมืออย่างจนใจ “มิผิด ตอนที่ข้าทรยศหลบหนี แทบจะกวาดเอาทรัพย์สินที่ซือฟุวางไว้ข้างนอกไปจนเกลี้ยง ถึงอย่างไรก็ทำไปแล้ว ถึงข้าจะไม่หยิบของสักชิ้นเดียว พอเขาจับข้าได้จะไม่ปล่อยข้าแน่ เช่นนั้นก็ทำให้หมดจนสักหน่อย แต่ว่า ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนตัวข้ายังไม่ได้แก้ไข เจ้าเมืองเหมยผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนสายมาร ไม่แน่ว่าในของสะสมของเขาจะมีสมบัติที่เกี่ยวข้องสักชิ้นสองชิ้น สามารถได้รับมาย่อมเป็นเรื่องดี”

พูดมาก็ใช่ โม่เทียนเกอคิด ๆ ดู กลับยิ้มเอ่ยว่า “คำพูดเช่นนี้ท่านก็มาพูดกับข้า ไม่กลัวข้าเกิดจิตละโมบเลยหรือ”

เนี่ยอู๋ชางเหล่มองนางแวบหนึ่ง กลับไม่แยแสสักนิด “ถ้าเป็นแต่ก่อนข้ายังคงกลัวจริง ๆ แต่ว่าตอนนี้ข้ากลับไม่กลัวแล้ว ท่านเป็นคนที่มี ‘ความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่’ อยากจะสำเร็จเต๋ากลายเป็นเซียน สภาวะจิตใจไม่สามารถหย่อนยาน จะละเลยรากฐานไล่ตามปลายยอด* ได้อย่างไรเล่า” พูดจบ ยิ้มเอ่ยอีกว่า “อีกอย่าง ท่านผู้นี้ ถึงจะดูชาญฉลาดสงบนิ่ง อันที่จริงในใจมีกฎอยู่บ้าง คนอื่นล่วงเกินท่าน ท่านจะไม่เกรงใจ แต่หากคนอื่นเกรงอกเกรงใจ ท่านจะเกรงใจสามส่วน การต่อกรกับคนประเภทท่านนี้ก็ต้องดีด้วยจนทำให้ท่านปล่อยวางความรู้สึกไม่ได้ ถูกหรือไม่”

“……” โม่เทียนเกอมองท้องฟ้าอย่างไร้วาจา หลิงอวิ๋นเฮ่อเคยพูดอย่างนี้กับนาง ตอนนี้แม้แต่เนี่ยอู๋ชางก็พูดเช่นนี้ นิสัยของนางมันชัดเจนขนาดนี้เลยหรือ แต่ว่า นี่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย ก็เพราะว่ามองทะลุถึงนิสัยของนาง ดังนั้นหลิงอวิ๋นเฮ่อและเนี่ยอู๋ชางล้วนกล้าไว้วางใจนาง ที่โลกฝึกเซียน คนที่สามารถไว้วางใจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหายาก

คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอถอนหายใจคำหนึ่ง “เฮ้อ อยากจะสำเร็จเต๋ากลายเป็นเซียน ข้อผูกมัดก็มากกว่าคนอื่นนะ!”

“นี่ย่อมแน่นอน” เนี่ยอู๋ชางไม่ลังเลสักนิด “อยากจะได้รับมาก ราคาที่จ่ายออกก็ต้องมาก นี่เป็นเรื่องยุติธรรมมาก”

โม่เทียนเกอก็เข้าใจหลักการนี้ แต่ว่า ฟังน้ำเสียงนี้ของเนี่ยอู๋ชาง คล้ายกับว่าตกลงใจจะเดินไปบนเส้นทางกลายเป็นเซียนแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ภายหลังนางมีคนที่สามารถพูดคุยเรื่องนี้แล้ว ตอนที่อยู่เทียนจี๋ ในคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนาง หลัวเฟิงเสวี่ยยึดกุมอำนาจ เยี่ยจิ่งเหวินชอบต่อสู้ ถึงจะมีฉินซีที่จิตเต๋ามั่นคงเช่นเดียวกับนาง ระดับชั้นกลับสูงกว่านาง มักจะเป็นฉินซีชี้แนะนาง มิใช่การปรึกษากัน

“อันที่จริง จิตเต๋าที่ว่ากัน หากฝึกตนไปถึงระดับชั้นหนึ่งก็จะกลายเป็นธรรมชาติ พูดจากมุมมองนี้ ไม่จำเป็นว่าจะทุกข์ระทม เพราะเวลานั้นได้กลายเป็นจิตดั้งเดิมแล้ว”

“เหมือนกับท่านตอนนี้หรือ” เนี่ยอู๋ชางถาม “ข้ารู้สึกมาตลอดว่า บนตัวท่านคล้ายจะไม่มีความละโมบที่คงอยู่โดยทั่วไปของคนที่ฝึกเซียน ใช่ว่าข้อจำกัดมากแล้ว ความปรารถนาชนิดนี้จะเลือนหายไปตามธรรมชาติรึเปล่า”

“อันนี้……”

………………..

*ละเลยรากฐานไล่ตามปลายยอด แปลว่า ละเลยหลักการพื้นฐานแล้วเอาแต่สนใจรายละเอียดยิบย่อย

ตอนที่ 396 – มีคนเยี่ยมเยือน