ตอนที่ 130 ปีใหม่ ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมาเยี่ยมเยียน (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 130 ปีใหม่ ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมาเยี่ยมเยียน (4)

ภายใต้ความยืนกรานของมั่วเชียนเสวี่ย อาซาน อาอู่ อวิ๋นอิ๋นและซีซีล้วนมานั่งร่วมโต๊ะ มิเช่นนั้น ในเรือนหลังนี้ ฉลองวันปีใหม่ มีแค่นางกับหนิงเซ่าชิงนั่งกินอาหารด้วยกันสองคน ทั้งสี่คนยืนมองอยู่ข้างๆ จะน่ากระอักกระอ่วนเพียงใด

หลังจากกินอาหารค่ำคืนส่งท้ายปีเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยและหนิงเซ่าชิงนั่งดื่มชาที่ห้องโถง อวิ๋นอิ๋นพาบุตรีซีซีคุกเข่าคำนับคำนับปีใหม่อย่างจริงจัง

เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยอยากจะปราม ทว่าหนิงเซ่าชิงส่งสายตามาหยุดเอาไว้ก่อน

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง… นี่เป็นยุคโบราณ ธรรมเนียมระหว่างนายบ่าวยังคงต้องมี เมื่อไม่มีกฎระเบียบแล้วไซร้ก็จะไม่มีความเรียบร้อย วันข้างหน้านางยังตั้งใจจะซื้อสาวใช้มาเพิ่ม ฝึกฝนตนนับตั้งแต่นี้ไปก็แล้วกัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นกฎระเบียบก็เริ่มจากอวิ๋นอิ๋นเลยก็แล้วกัน

เมื่อคิดข้อนี้ได้จนกระจ่าง มั่วเชียนเสวี่ยจัดแขนเสื้อ แล้วรับการคำนับ

รอให้อวิ๋นอิ๋นและซีซีคำนับปีใหม่เสร็จ อาซานและอาอู่ก็เข้ามา พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้นพร้อมกัน คำนับปีใหม่พวกตน มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่ได้ลำเอียง แจกอั่งเปาให้พวกเขาคนละหนึ่งซอง

ทั้งหกคนนั่งมองหน้ากันโต้รุ่งคืนวันสิ้นปีในห้องโถงด้วยความเบื่อหน่าย มั่วเชียนเสวี่ยหยิบเกมเศรษฐีฉบับน่ารักที่ตนวาดออกมาเล่นกับหนิงเซ่าชิง

เดิมทีนางทอยลูกเต๋าเดินไปยังช่องที่ต้องถอยหลัง แต่นางเล่นลูกไม้ไม่ยอมถอยหลัง ทำเอาหนิงเซ่าชิงหัวเราะแล้วเรียกนางว่าคนคดโกง ดึงดันที่จะบีบจมูกของนางให้ได้

อาซานและอาอู่เห็นนายทั้งสองเล่นกันอย่างมีความสุข พวกเขาส่งสายตาให้กัน แล้วถอยออกไป อวิ๋นอิ๋นนั้นเร็วยิ่งกว่า อุ้มซีซีออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

หลังจากเวลาล่วงเลยเที่ยงคืน เสียงตู้มต้ามดังก้องไปทั่ว

ยุคสมัยนี้ไม่มีประทัด เสียงตู้มต้ามนี้คือเสียงเผากระบอกไม้ไผ่

ตอนวันที่ยี่สิบเจ็ดมั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองซื้อกลับมาจำนวนมาก ในเมื่อไม่เคยพบเจอกระบอกไม้ไผ่เผามาก่อน เช่นนั้นย่อมต้องเตรียมให้มากเพื่อความสะท้านใจ

กระบอกไม้ไผ่เผานั้นแลดูอันตราย หนิงเซ่าชิงไม่ให้นางเข้าใกล้

ในที่สุดอาซานและอาอู่ก็ได้ออกโรง ซีซีเองก็ตื่นขึ้นมาจากความงัวเงีย เข้าไปช่วยแต่ยิ่งช่วยกลับยิ่งยุ่ง

หลังจากง่วนอยู่นาน ในที่สุดการฉลองวันปีใหม่ก็สิ้นสุดลง

เช้าตรู่วันปีใหม่ มั่วเชียนเสวี่ยทำตามขนบธรรมเนียมของเทียนฉี จุดกระบอกไม้ไผ่เผาทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น ทั้งยังนำของหวาน พุทราแดง ฟักเขียว น้ำตาล ถั่วตัดและลูกอมต่างๆ ไปไหว้ที่โถงบรรพบุรุษ ในเวลาเดียวกันก็ไหว้และเผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกับหนิงเซ่าชิง

หลังจากไหว้เสร็จ ทานอาหารเช้าเรียบร้อย ทั้งสองก็ออกจากเรือน ไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อคำนับปีใหม่

เดิมที หนิงเซ่าชิงไม่อยากไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงผู้อื่นมาคำนับปีใหม่เขา หัวหน้าหมู่บ้านมีสิทธิ์อะไรให้เขาไปไหว้คำนับปีใหม่ แต่กลับถูกมั่วเชียนเสวี่ยลากไปคำนับปีใหม่เป็นเพื่อนนาง

หนิงเซ่าชิงครุ่นคิดอีกทางหนึ่ง ตนไม่ใช่คุณชายสูงส่งแล้ว อีกทั้งสิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดก็มีเหตุผล มังกรแข็งแกร่งไม่อาจข่มงูเจ้าถิ่น ไม่ว่าอย่างไรหัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาและมีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้านหวังจยา ทั้งยังถือเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝืนไปด้วย

สำหรับการมาของพวกเขา หัวหน้าหมู่บ้านให้เกียรติอย่างมาก ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หนิงเซ่าชิงเสวนากับหัวหน้าหมู่บ้าน ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านพามั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องแล้วพูดกับนางอย่างสนิทสนม

พูดประมาณว่า เมื่อใดนางจะมีบุตรเป็นต้น…

ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยและภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส หนิงเซ่าชิงและหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกกลับเสวนากันไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าใดนัก

หนิงเซ่าชิงบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านไปตามตรงแล้ว นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเขาจะไม่ไปสอนหนังสือเด็กๆ ที่สำนักศึกษาของหมู่บ้านอีกแล้ว

แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านย่อมไม่สบอารมณ์ หัวหน้าหมู่บ้านถามว่าเป็นเพราะค่าสอนหรือไม่ หากว่าใช่ เขาสามารถบอกให้สำนักศึกษาเพิ่มค่าสอนอีกนิดได้

หนิงเซ่าชิงได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านพูดถึงค่าสอน ส่ายหน้าพร้อมกับฉายความเย้ยหยัน บอกเพียงว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

หัวหน้าหมู่บ้านเห็นหนิงเซ่าชิงพูดเลี่ยงปัญหาสำคัญ เห็นชัดว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงร้อนใจยิ่งนัก นี่เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นหลังของหมู่บ้าน แล้วจะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้จึงพูดอ้อนวอน บอกว่าเขาจะให้สำนักศึกษาเพิ่มค่าสอนให้ แล้วถามหนิงเซ่าชิงว่าสอนอีกสักปีหรือครึ่งปีได้หรือไม่

หนิงเซ่าชิงได้ยินเช่นนี้ โมโหจนเกือบจะพ่นน้ำชาในปากออกมา เขาสนใจเบี้ยเล็กน้อยเพียงแค่นี้หรือ

แม้จะไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงพูดด้วยวาจาเกรงใจ เพียงแค่ถอนหายใจ แล้วพูดต่อ ไม่ใช่ว่าการที่เขาไม่สอนหนังสือที่สำนักศึกษาแล้ว เด็กนักเรียนในสำนักจะไม่ได้เรียนหนังสือ หมู่บ้านหวังจยาสามารถเชิญอาจารย์จากด้านนอกมาสอนได้

หัวหน้าหมู่บ้านวิตกกังวล เขาย่อมรู้ว่าสามารถเชิญอาจารย์จากด้านนอกมาสอนได้ เพียงแต่ เชิญอาจารย์จากด้านนอกมาสอน ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก

สุดท้าย หนิงเซ่าชิงบอกไปว่า ค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์ของหมู่บ้าน ตระกูลหนิงของเขาจะรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านจึงดีขึ้นเล็กน้อย

ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดคุยกับหนิงเซ่าชิง ก็ครุ่นคิดไปด้วย หลังวันปีใหม่ ในตระกูลจะมีการประชุมตระกูล ไม่เพียงแค่เรื่องเลือกหัวหน้าตระกูลแล้ว ยังต้องคลี่คลายปัญหาเรื่องการเรียนการสอนของสำนักศึกษาด้วย

วันที่สอง ตระกูลหนิงครึกครื้นยิ่งนัก หัวกระไดไม่เคยแห้ง

คนงานในโรงงาน นักเรียนในโรงแกะสลัก จวี๋เหนียง อวิ๋นเหนียง หวังเสี่ยวเหลย และบรรดาเด็กนักเรียนที่หนิงเซ่าชิงสอนต่างมาคำนับปีใหม่พวกเขา

วันนี้ เหนื่อยจนทั้งสองหมดแรง ปากแห้งไปหมด

เดิมทีคิดว่าวันที่สามสามารถพักผ่อนเต็มอิ่มหนึ่งวัน ทว่าคิดไม่ถึงเที่ยงวันนี้กลับมีแขกคนสำคัญมา

ในฤดูเหมันต์ที่เหน็บหนาวทว่าพัดยังคงไม่ห่างมือ เขาคนนี้ก็คือคุณชายซูชี

มั่วเชียนเสวี่ยออกไปต้อนรรับ เชิญคุณชายซูชีเข้ามาในเรือน ทว่ารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ได้ยินว่าเรือนของคุณชายซูชีอยู่ในเมืองหลวง เหตุใดวันปีใหม่จึงไม่กลับเรือน

คำถามในใจมั่วเชียนเสวี่ย เป็นความปวดใจของอาลู่และอาจ้าวที่อยู่ด้านหลังซูชี คุณชายของพวกเขาไม่กลับเรือน เป็นเพราะได้ยินว่าซูเหล่าฮูหยินหาคู่ให้คุณชายของพวกเขาอีกแล้ว

วันปีใหม่ มีคนมาคำนับปีใหม่ถึงเรือน ไม่มีธรรมเนียมที่ว่าไม่เชิญทานอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายซูชีเป็นผู้ร่วมการค้าของนาง อีกทั้ง เขาเป็นจอมตะกละ เลือกมาในเวลาอาหารพอดี เพราะอยากจะมากินดื่มไม่ใช่หรือ

พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อย อวิ๋นอิ๋นเดินเข้ามาถามว่าจะตั้งโต๊ะอาหารหรือยัง มั่วเชียนเสวี่ยจึงชวนซูชีทานอาหารร่วมกัน

“คุณชายเจ็ด นี่เป็นเพียงอาหารบ้านๆ ทั่วไปเท่านั้น หวังว่าจะไม่รังเกียจ”

“ท่านอาจารย์หนิงเกรงใจแล้ว”

ฟังทั้งสองเสวนากันด้วยความเกรงอกเกรงใจ ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยอดขมวดคิ้วเป็นปม ทั้งสองพบกันครั้งแรก เหตุใดจึงเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้

คุณชายซูชีจอมทะเล้นกลายเป็นคนอวดภูมิตั้งแต่เมื่อใด หนิงเซ่าชิงเองก็กลายเป็นคนเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจทนรับได้จริงๆ

“ข้าแซ่ซูนามจิ่นหัน เป็นบุตรลำดับที่เจ็ดของตระกูล ท่านอาจารย์หนิงเรียกชื่อข้าก็ได้”

“ข้าแซ่หนิงนามเซ่าชิง คุณชายซูชีเรียกข้าพี่เซ่าชิงก็ได้”

“อาจารย์หนิงอายุมากกว่า ถึงอย่างไรเสี่ยวชีก็ต้องเรียกว่าพี่ใหญ่ถึงจะถูก”

มั่วเชียนเสวี่ยนั่งฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกกระอักกระอ่วน จึงก้มหน้าก้มตากินข้าว

“พี่ใหญ่ คำเรียกนี้ไม่กล้ารับไว้ ไม่กล้ารับไว้ เช่นนั้นพี่เรียกคุณชายซูชีว่าพี่ซู…พี่ซูว่าดีหรือไม่”

“ได้อย่างไรกัน ท่านอาจารย์หนิงอายุมากกว่าเสี่ยวชี เรียกข้าว่าเสี่ยวชีก็พอ”