ตอนที่ 131 ปีใหม่ ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมาเยี่ยมเยียน (5)
“ข้าจะเรียกเพียงชื่อของคุณชายซูชีได้อย่างไร เรียกพี่ซูยังจะดีกว่าเล็กน้อย”
“ข้าเป็นผู้ไร้ความสามารถ พี่หนิงอย่าได้เกรงใจ”
“…”
มั่วเชียนเสวี่ยทนไม่ไหวแล้ว ชี้ตะเกียบชี้พวกเขาสองคน “คนหนึ่งชื่อหนิงเซ่าชิง คนหนึ่งชื่อซูชี พวกท่านทั้งสองอยากจะเรียกกันอย่างไรก็เรียกเช่นนั้น ตอนนี้กินข้าวก่อน”
รอยยิ้มเสแสร้งของทั้งสองแห้งเหือด กินข้าวเงียบๆ
อาซาน อาอู่ อาลู่ อาจ้าวส่งสายตาขอบคุณมาให้ เจ้านายทั้งสองอ้อมค้อมกันไปมาเช่นนี้ ทำให้พวกเขาเวียนศีรษะยิ่งนัก
หลายวันมานี้ ซูชีเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว เขาจำเป็นต้องตัดสินใจว่าควรยอมแพ้ หรือว่าควรยืนหยัดต่อไป ดังนั้น เขาจึงมา เขาเพียงอยากมาดูว่า สรุปแล้วมั่วเชียนเสวี่ยมีความสุขหรือไม่ก็เท่านั้น
หากว่า นางมีความสุข เขาก็จะทำให้ทั้งคู่สมหวัง ไม่ว่าจะต้องขึ้นนสวรรค์หรือลงนรกก็จะต้องหาตัวหมอประหลาดให้พบ
หากว่า นางไม่มีความสุข ขอเพียงนางมีความเศร้าแม้เพียงเล็กน้อย แม้ว่านางจะมีสามีแล้ว เขาก็จะสู้
ชีวิตนี้ สิ่งที่ไม่จำเป็นที่สุดก็คือชื่อเสียง แต่งงานกับสตรีที่เคยออกเรือนแล้วอย่างไร เขาไม่สนใจ
แม้ว่าสีหน้าของหนิงเซ่าชิงจะไม่ดีเท่าใดนัก ทั้งยังไม่ได้แสดงความหึงหวงดังเช่นที่ผ่านมา ตั้งแต่ซูชีเดินเข้ามาในเรือนกระทั่งเวลานี้ หนิงเซ่าชิงไม่ปรายตามองมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย
เขาดูออก เขากำลังควบคุมตนเอง และเขาก็ดูออกว่า คล้ายซูชีกำลังจะตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่
การตัดสินใจนี้ เขาต้องช่วยซูชี
หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูชีขอคำแนะนำในการเดินหมากรุกจากหนิงเซ่าชิง ทั้งสองนั่งบนเก้าอี้แกะสลักในเรือนและวางกระดานหมากรุกบนโต๊ะ มั่วเชียนเสวี่ยพลิกอ่านตำราในห้องหนังสือด้วยความเบื่อหน่าย มองออกไปนอกหน้าต่าง
ซูชีสวมอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ม้วนผมขึ้นด้วยกำไลหยก สวมผ้าแพรและพกพัดเล่มเล็ก ไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่มุมปากถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมตั้งแต่เมื่อใด เขาไม่จำเป็นต้องพยายาม ความสง่างามในตัวก็แผ่ซ่านออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
หนิงเซ่าชิงสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ม้วนผมด้วยผ้า นั่งอยู่ข้างหนึ่ง มุมปากของเขามีรอยยิ้มบางๆ ตลอดเวลา ให้ความรู้สึกนิ่งงันไม่กระวนกระวาย
กิริยาท่าทางของทั้งสองฉายความผ่าเผย เพียงแค่เดินหมากก็ให้ความรู้สึกทรงพลัง
พื้นหิมะ ลานในเรือน บุรุษรูปงาม กระดานหมากรุก ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก!
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับลอบหัวเราะทั้งสองที่แสร้งทำเป็นสง่างาม แม้ว่าวันนี้หิมะไม่ได้ตก แต่ด้านนอกอากาศหนาวเย็นยิ่งนัก พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เดินหมากในห้อง แต่นั่งอยู่ด้านนอก โชคดีที่ไม่มีลม หากมีลมพัด ทั้งสองคงจะสง่างามยิ่งขึ้น อาภรณ์พัดปลิว ล่องลอยดั่งเซียน
ทั้งสองเดินหมากช้ามาก ทว่าอ้อมค้อมต่อกันเก่งเหลือเกิน
ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นหนึ่งประโยค เป็นเช่นนี้เจ้าและข้าสลับผลัดเปลี่ยนกันพูด แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกว่าทั้งสองคล้ายกำลังประลองยุทธ์
ดูจากท่าทีของคุณชายซูชีคงจะรู้ฐานันดรศักดิ์ที่แท้จริงของหนิงเซ่าชิงแล้ว
หรือว่า ก่อนหน้านี้ตระกูลของทั้งสองมีความแค้นต่อกัน
ขณะที่กำลังครุ่นคิด อวิ๋นอิ๋นเดินเข้ามาด้วยความเคารพ พูดเสียงเบา “เถ้าแก่เนี้ย คุณหนูใหญ่เจี่ยนมาเจ้าค่ะ”
ชิงโยวมา? มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึง!
ควรจะเป็นนางที่เป็นผู้น้อยไปคำนับปีใหม่เจี่ยนเหล่าไท่จวินที่จวนเจี่ยน แต่ว่า นางกลับไม่อยากเป็นฝ่ายไปเอง หากเป็นฝ่ายไปเอง ไม่รู้ว่าผู้อื่นจะมองตนเช่นไร ประจบผู้มีอำนาจ? ละโมบโลภมากอยากได้เงินทอง? แต่ตอนนี้คุณหนูใหญ่เจี่ยนมาถึงหน้าประตูเรือนแล้ว นางไม่อาจคิดสิ่งใดให้มากความ มั่วเชียนเสวี่ยจัดเสื้อผ้าแล้วออกไปต้อนรับ
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ประตูเรือน มีรถม้าสีแดงหม่นจอดอยู่หนึ่งคัน ประตูหน้าต่าง หลังคารถม้าและแม้กระทั่งล้อล้วนก็เพิ่งแกะสลักเสร็จ ทาสีรถม้าด้วยสีน้ำตาล ทำให้ดูถ่อมตนและในเวลาเดียวกันก็ให้ความรู้สึกผ่าเผยแบบโบราณ สารถีคือเหล่าหวัง
ด้านหลังรถม้าคันนี้ยังมีรถม้าอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองรถม้าคันด้านหลัง หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่คุ้นตา จึงถอนสายตากลับ
เหล่าหวังเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมา จึงเคาะไปที่ขื่อรถม้า ผ้าม่านบนรถม้าเลิกขึ้น คนที่เดินออกมาคือหยวนหมัวมัว
หลังจากหยวนหมัวมัวเดินออกมา คนที่เดินตามออกมาก็คือซื่อฉินและน่งฉาสาวใช้ทั้งสองคนของเจี่ยนชิงโยว
หลังจากซื่อฉินและน่งฉาเดินลงมา พวกนางก็วางเก้าอี้ไว้บนพื้น แล้วค่อยพยุงเจี่ยนชิงโยวลงมาจากรถม้า
เมื่อสารถีที่ขับรถม้าคันหลังเห็นว่าคุณหนูใหญ่เจี่ยนซึ่งอยุ่ด้านหน้าลงมาจากรถม้าแล้ว เขาจึงทำเช่นเดียวกับเหล่าหวัง เคาะขื่อรถม้า
คนที่ออกมาจากรถม้าคันนี้คือจางหมัวมัว และหมัวมัวอีกคนที่ไม่คุ้นหน้า หลังจากนั้นก็มีสาวใช้อีกสองคนเดินลงมา สุดท้ายคนที่เดินลงมาจากรถม้าคือคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาและคุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินแห่งตระกูลเจี่ยน
คุณหนูทั้งสองเดินลงมาจากรถม้า ชำเลืองมองมั่วเชียนเสวี่ยครู่หนึ่ง ไม่ได้เป็นฝ่ายกล่าวทักทาย แต่ว่ากลับมองเรือนตระกูลหนิง
เมื่อเห็นว่าเป็นเรือนชาวนาเล็กๆ ธรรมดาทั่วไป เพียงแค่ใหญ่กว่าเรือนเล็กทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำให้ดูผ่าเผยนิดหน่อย ดวงหน้าของคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาฉายความอิจฉา ทว่าดวงหน้าของเจี่ยนชิงเจินกลับฉายความดูถูก
บ้านดินสามสี่หลังด้านหน้าแค่มองก็รู้ว่าเป็นบ้านเก่าอายุหลายปีที่ได้รับการปรับปรุง อีกทั้งชายคาบ้านยังแขวนด้วยผักแห้งและพริกหลายพวง กระดาษผ้าฝ้ายบนหน้าต่างถือว่ายังขาวสะอาด
“ชิงโยว เจ้ามาก็พอแล้ว เหตุใดจึงพาพวกนางมาด้วยเล่า”
“เหล่าไท่จวินยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณี รู้สึกว่าเชียนเสวี่ยเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตชิงโยวเอาไว้ ชิงโยวมาขอบคุณเชียนเสวี่ยด้วยตนเองเป็นเรื่องที่สมควร แต่ในเวลาเดียวกันเชียนเสวี่ยก็เป็นผู้มีพระคุณของเหล่าไท่จวิน เหล่าไท่จวินไม่สะดวกที่จะมาด้วยตนเอง แน่นอนว่าย่อมต้องส่งตัวแทนมาขอบคุณแทนตน”
เอ่อะ…มีธรรมเนียมประเพณีแบบนี้ด้วยหรือ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
ผู้ที่มาเยือนคือแขก ไม่อาจเสียมารยาท
มั่วเชียนเสวี่ยและเจี่ยนชิงโยวพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย แน่นอนว่านางไปทักทายคุณหนูห้าและคุณหนูเจ็ดพร้อมกับเจี่ยนชิงโยว
หลังจากพวกนางทักทายกันแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเชิญทุกคนเข้าไปในเรือน
เข้าไปในเรือนหน้า ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ เพียงรายล้อมด้วยเรือนเตี้ยเท่านั้น
เมื่อเข้าไปที่เรือนหลัง เพียงแค่ยืนอยู่ที่ประตูเรือน ลมเย็นพัดผ่าน ปลิวขึ้น ปลิวลงยามลมพัดลงเผยให้เห็นบุรุษรูปงามสองคนกำลังเดินหมาก
บุรุษอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มแม้จะม้วนผมด้วยผ้า ทว่า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ผิวขาวละเอียด หลังตรง
แม้จะผูกผมด้วยผ้าทว่าร่างที่ผอมบางของเขา ไร้ซึ่งความหม่นหมอง ในทางกลับกันดูสะอาดสะอ้านอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้กำลังจะวางหมาก ขณะลดสายตามอง ราวกับจิตใจของเขาได้ออกไปจากโลกที่มัวหมอง ดวงจิตล่องลอยไปบนสวรรค์ชั้นเก้าอย่างไรอย่างนั้น…
แค่เพียงท่วงท่านี้ก็ทำให้หัวใจของคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาหวั่นไหว นี่ไม่ใช่ชีวิตที่นางต้องการหรือ นี่ไม่ใช่บุรุษในฝันของนางหรอกหรือ
นางเป็นบุตรีอนุภรรยา ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้แต่งงานเกี่ยวดองกับตระกูลชั้นสูง
ตั้งแต่โบราณ บุตรีอนุภรรยาในตระกูลขุนนางโดยมากล้วนเป็นออกเรือนไปเป็นอนุภรรยา หากไม่ได้แต่งไปพร้อมกับบุตรีเอกและไปเป็นอนุภรรยา ก็ถูกส่งไปเป็นอนุภรรยาในตระกูลขุนนางที่สูงศักดิ์กว่าตระกูลตน
หากอยากแต่งงานกับบุรุษที่ดี ก็จะออกเรือนตบแต่งเป็นภรรยาเอกของซิ่วไฉในตระกูลยากไร้ที่ตระกูลของตนหมายปองเพื่อแผนในอนาคต หรือไม่ก็ได้เป็นภรรยาเอกของบรรดาบุตรชายอนุภรรยาที่ถูกเลี้ยงดูให้เสียคน
ในสายตาของคุณหนูห้าเจี่ยนมีเพียงหนิงเซ่าชิงเท่านั้น ในสายตาของคุณหนูเจ็ดมีเพียงซูชี
เพิ่งเดินมาถึงประตูเรือนหลัง นางก็จำซูชีได้ เมื่อวันเกิดของเจี่ยนเหล่าไท่จวิน ได้ยินว่าบุตรชายเอกจากตระกูลซูซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งนำของกำนัลมาให้ นางจึงแอบวิ่งไปดู
คุณชายเจ็ดถือพัดเอาไว้และสะบัดไปมา ความสง่างามนั้น…ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความไม่ยี่หระ อยู่ในใจของนางมาโดยตลอด ตั้งแต่ร่างนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของนาง หัวใจของนางก็เอาแต่เต้นแรง เกลือกกลิ้งและสะท้อนเพียงคำว่า ‘คือเขา’ คือเขาคนนี้ นี่คือคุณชายซูชีที่นางอยากรู้จัก ทว่าไม่มีวาสนาได้เจอกันอีก…