ตอนที่ 131 กินอาหารผิดกันหมด

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 131 กินอาหารผิดกันหมด

ก่อนรุ่งสางมู่เถาเยาก็ลุกขึ้นมาแล้ว แต่เธอไม่ได้ออกไปฝึกตามปกติเพราะถุงลมน้อยยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงเหมือนลูกหมูตัวน้อยๆ

เด็กน้อยน่ารักมาก!

มู่เถาเยามองดูลูกหมูตัวน้อยที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียงสักพักก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่และนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สูดพลังจากธรรมชาติและเริ่มขับเคลื่อนกำลังภายในเบาๆ ภายใต้ท้องฟ้าสลัวๆ

เธอไม่ได้หยุดฝึกเลยจนกว่าท้องฟ้าสว่างเต็มที่และดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า

หลังจากเข้าไปในห้องน้ำอาบน้ำล้างตัว เมื่อเธอออกมาถุงลมน้อยก็ลุกขึ้นมานั่งแล้ว

สีชมพูสองดวงบนแก้มอวบขาวนุ่มนิ่ม ท่าทางที่ดูมึนงงเล็กน้อย ช่างน่ารักและน่าฟัดสุดๆ ในสายตาของมู่เถาเยา

มู่เถาเยาอุ้มเขาขึ้นมาและหอมแก้มเขาแรงๆ ถุงลมน้อยฟื้นคืนสติและเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงอู้อี้

มู่เถาเยาสวมเสื้อโค้ทตัวเล็กๆ ให้เขา จากนั้นก็อุ้มเจ้าตัวเล็กเข้าไปในห้องน้ำและปล่อยให้เขาทำธุระส่วนตัว

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเธอก็ใส่แพมเพิร์สให้เด็กน้อย ตอนนี้แหละที่เจ้าตัวน้อยลืมตาตื่นเต็มที่

“พี่สาว พี่สาว พี่สาว…” เสียงเล็กๆ ฟังดูตื่นเต้นมาก

มู่เถาเยาลูบหัวเล็กๆ ของเขาแล้วถามว่า “ทำไมอันเหยี่ยถึงมีความสุขมากขนาดนี้หลังจากตื่นนอนล่ะครับ”

ถุงลมน้อยมองไปที่มู่เถาเยาด้วยดวงตาสดใส พูดว่า “พี่สาว พ่อบอกว่าใครก็ตามที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าคือคู่รักที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต อันเหยี่ยและพี่สาวก็คือสามีภรรยากัน”

นี่คือสิ่งที่พ่อแก่ๆ ตี้อู๋เว่ยพูดกับเขาเมื่อต้องการฝึกให้เขานอนคนเดียว แต่คำพูดดั้งเดิมของพ่อเขาไม่ใช่แบบนี้แน่นอน คนตัวเล็กเพียงหยิบมาบางส่วนแล้วบอกกับมู่เถาเยา

มู่เถาเยาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“อันเหยี่ยรู้ไหมคะว่าสามีภรรยาคืออะไร”

“รู้สิครับ ก็คือคนที่กินข้าวและนอนด้วยกันทุกวัน เหมือนพ่อแม่ เหมือนปู่ย่า”

“แต่เด็กน้อยกับผู้ใหญ่เป็นสามีภรรยากันไม่ได้หรอกนะ”

ถุงลมน้อยราวกับได้รับการโจมตีอย่างหนัก ในทันทีนั้นคล้ายกับว่าเจ้าตัวเล็กจะกลายร่างเป็นต้นอ่อนน้อยๆ ที่จะถูกลมแรงพัดไปทางไหนก็ได้ทุกเมื่อ

นั่นสิ อาเล็กก็เคยพูดกับเขาแบบนี้เหมือนกัน บอกว่าผู้ใหญ่กับเด็กเป็นสามีภรรยากันไม่ได้

“แต่ว่านะเสี่ยวอันเหยี่ย ถึงไม่ได้เป็นสามีภรรยากันก็อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตได้ เช่น พี่สาวจะอยู่กับอาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็ก และอาจารย์แม่เล็กตลอดไป” จนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม่น้ำสายยาวไหลพาดผ่านประวัติศาสตร์

“พี่สาว งั้นอันเหยี่ยจะเป็นอาจารย์ด้วย”

อุ๊บ…

มู่เถาเยามีความสุขมาก

“อันเหยี่ยยังเป็นเด็ก ยังเป็นอาจารย์ไม่ได้หรอกนะคะ”

ตี้อันเหยี่ยเอียงศีรษะแล้วถามว่า “แล้วอันเหยี่ยจะอยู่กับพี่สาวทุกวันได้ยังไง”

มู่เถาเยาคุกเข่าลง ลูบใบหน้าเล็กๆ ที่อวบอิ่มของเขาและพูดว่า “ไม่มีใครสามารถอยู่กับใครได้ทุกวันหรอกนะ ทุกคนมีภารกิจมีหน้าที่ในชีวิตของตัวเอง เราไม่สามารถอยู่กับคนอื่นได้ทุกวันหรอกจะเบื่อเอา”

ถุงลมน้อยไม่เข้าใจ

“ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพ่อของหนูเดินทางไปทำงาน แม่ของหนูก็ไม่ได้ไปกับเขาทุกครั้งใช่ไหม แม่ของหนูก็มีงานของตัวเองที่ต้องทำเช่นกัน!”

เธอรู้ว่าแม่ของคนตัวเล็ก กู้เนี่ยนนั้นเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมากซึ่งทำงานให้กับ ‘เนชันแนล ดีไซน์ (National Design)’ ของประเทศ

ถุงลมน้อยพยักหน้า

ตอนที่เขายังอยู่เมืองหลวง บางครั้งแม่ของเขาก็ไม่อยู่บ้าน และบางครั้งพ่อของเขาก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน

“เห็นไหมคะว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจะแน่นแฟ้นแค่ไหนก็อยู่ด้วยกันไปตลอดไม่ได้ และความสัมพันธ์อื่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ พี่สาว…รักอาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็กและอาจารย์แม่เล็ก แต่พี่สาวก็มีวิชาเรียนและงานของตัวเองที่ต้องทำในทุกวัน ย่อมอยู่ด้วยกันไม่ได้ตลอดจริงไหม”

ถุงลมน้อยพยักหน้าอีกครั้ง

“เอาล่ะ ได้เวลาแปรงฟันแล้ว ไปออกกำลังกายและกินอาหารเช้ากัน”

มู่เถาเยาอุ้มคนตัวเล็กไปที่อ่างล้างหน้า ช่วยเขาแปรงฟันและล้างหน้า เมื่อเสร็จแล้ว เธอก็พาคนตัวเล็กออกจากห้องแล้วลงไปที่ชั้นล่าง

ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง แต่มีเสียงฮัมเพลงและเสียงเฮฮา รวมถึงเสียงต่างๆ อยู่ข้างนอก

และเมื่อเธอเดินไปข้างนอกบ้าน ที่สนามหญ้าก็เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังออกกำลังกายเต็มอัตรา

นอกจากผู้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว ยังมีเพื่อนบ้านที่มาออกกำลังกายกับอาจารย์เล็กซย่าโหวโซ่วด้วย

มู่เถาเยาไม่อยู่บ้าน อาจารย์เล็กเลยกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดไป

นับตั้งแต่สมาชิกตระกูลซย่าโหวเข้ามาตั้งรกรากในหมู่บ้านภูเขาเถาหยวนซานและอาศัยอยู่ที่นี่ วิถีชีวิตของชาวบ้านก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาเริ่มให้คำชี้แนะต่างๆ ในการออกกำลังกายกับพวกชาวบ้าน

อย่างไรเสียอาจารย์เล็กก็อายุมากแล้ว และมู่เถาเยาก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาต้องเหน็ดเหนื่อย

เมื่อเห็นหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเล็กเดินออกมา ทุกคนในลานก็ทักทายพวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดขยับแขนและขา

ถุงลมน้อยมองทุกคนด้วยดวงตาที่สดใส

“พี่สาว อันเหยี่ยอยากเรียนวรยุทธ์ด้วย”

“ไปสิ”

คนตัวเล็กวิ่งไปหาเด็กที่อายุน้อยที่สุดที่มีอายุเพียงไม่กี่ขวบ ดูเขาทำ จากนั้นก็ทำตาม

เด็กชายถูกความน่ารักของเขาตกไปแล้ว จึงหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อสอนเขา

“น้องชาย มือขวาควรชกแบบนี้…”

หลังจากพูดเสร็จ ก็แสดงการท่าทางเป็นตัวอย่าง จากนั้นจับมือถุงลมน้อยและสอนเขา

“พี่ชายตัวเล็ก อันเหยี่ยก็เรียนมาเหมือนกัน” เสียงที่ราวกับน้ำนมตื่นเต้นมาก

“เอาล่ะ ไปขั้นต่อไปกันเถอะ มาขึ้นท่าม้ากันก่อน…น้องชาย ดูนะ แบบนี้…”

คนตัวเล็กจ้องมองอย่างตั้งใจและจริงจังมาก

หนึ่งชั่วโมงต่อมา นั่นคือประมาณเจ็ดโมงครึ่งทุกคนก็หยุดมือ

สะใภ้หลายคนในหมู่บ้านวิ่งเข้าไปในครัวของบ้านหยวนเยี่ยเพื่อทำอาหารเช้าให้พวกเขาทาน

อยากจะหยุดก็หยุดไม่ทันแล้ว

ผู้อาวุโสทั้งสามคนและมู่เถาเยาทำอะไรไม่ถูกอย่างมาก

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำอาหารกินเองแล้ว

แม้ว่าทักษะการทำอาหารของพวกเขาจะไม่ดีนัก แต่วัตถุดิบในหมู่บ้านนั้นดีและมีรสชาติอร่อย เมื่อคุณปรุงแบบง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมใดๆ รสชาติที่ออกมาก็ยังดี

แต่ชาวบ้านกลับไม่คิดเช่นนั้น

‘อาหารคือพื้นฐานชีวิตของประชาชน’ ‘มนุษย์ไม่เคยเบื่ออาหารรสเลิศ’ ฯลฯ ผู้เฒ่าทั้งสามและมู่เถาเยาผงะไปชั่วขณะ ทำให้พวกเขาสงสัยว่าชาติที่แล้วพวกเขากินข้าวผิดมาใช่หรือไม่

ต่อมาเมื่อเห็นว่ารั้งไว้ไม่ได้จริงๆ ก็เลยปล่อยไป

เมื่อเทียบกับสิ่งที่อาจารย์และลูกศิษย์กลุ่มนี้ทำเพื่อหมู่บ้าน การทำอาหารให้เขานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

หากชาวบ้านถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรก็ตามเพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขา พวกเขาก็จะยกประโยคที่ว่า ‘พระคุณอันยิ่งใหญ่สมควรตอบแทน’ ทำให้พวกเขาต้องปวดหัวจริงๆ

ดังนั้นเหล่าอาจารย์ทั้งหลายจึงต้องรีบตื่นเช้าในบางครั้งเพื่อชิงทำอาหารไว้ก่อน อย่างน้อยสักมื้อก่อนที่จะมีใครมาแย่งงานนี้ก็ยังดี

เมื่อเหล่าผู้ชายเห็นว่าภรรยาของตัวเองเข้าครัวไปเตรียมอาหารให้หมอเทวดาหยวนแล้ว ทุกคนก็บอกลาคนอื่นๆ อุ้มลูกๆ และกลับบ้านไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ถุงลมน้อยทนไม่ได้ที่จะแยกทางกับอาจารย์ตัวเล็กของเขา ดังนั้นจึงดึงเอาไว้และไม่ยอมปล่อยเขากลับไป

มู่เถาเยาเดินเข้ามาหาพวกเขา ลูบหัวน้อยๆ ของพวกเขาพลางพูดกับเด็กน้อยว่า “ซือจิ่น ถ้าเธอว่าง ก็อยู่กินข้าวเช้าที่นี่ก่อนสิ แล้วค่อยไปเล่นกับอันเหยี่ยทีหลัง”

มู่ซือจิ่นพูดเสียงดังอย่างมีความสุขว่า “ย่าทวดเยาเยา การบ้านผมเสร็จหมดแล้ว ผมสามารถอยู่เล่นกับน้องชายตัวเล็กได้”

ไป๋เฮ่าอวี๋หัวเราะออกมาดังลั่น

“หมอเทวดาอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นแต่กลายเป็นย่าทวดไปแล้ว”

ตี้อู๋เปียนก็ดูตกใจเช่นกัน

คนที่พูดไม่ออกที่สุดคือเป่ยซีและเย่ว์จือกวงสองแม่ลูก

เด็กคนนี้ที่ชื่อมู่ซือจิ่น เรียกพวกเขาว่าป้าและพี่ชายมาโดยตลอด!

ไม่คาดคิดว่าลำดับอาวุโสของพวกเขาจะต่ำกว่าลูกสาว/น้องสาวของพวกเขามาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่ว์จือกวง เขากลายเป็นหลานของน้องสาวที่ล้ำค่าของเขาไปเสียแล้ว!

ในช่วงเวลานี้พวกเขายังค้นพบว่าชาวบ้านเรียกชื่อของลูกสาว/น้องสาวของพวกเขาบ่อยมาก!

เสี่ยวเยาเยา น้องสาว พี่สาว ป้า ย่าทวด…ขาดก็แต่เรียกบรรพบุรุษแล้ว!

คนคนหนึ่งสามารถมีหลายลำดับอาวุโสในเวลาเดียวกัน นอกจากมู่เถาเยาก็ไม่มีใครอื่นแล้ว

“ตกลง ถ้างั้นซือจิ่นและเสี่ยวอันเหยี่ยเล่นอยู่ในสนามก่อน พี่สาวจะมาเรียกหลังทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว”

“ครับ ขอบคุณครับย่าทวด”

มู่เถาเยาพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองพ่อของมู่ซือจิ่นแล้วพูดว่า “อารองมู่ ให้ซือจิ่นเล่นอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักได้ไหมคะ”

“ได้สิ” เขาสนับสนุนทุกสิ่งที่เสี่ยวเยาเยาพูดอยู่แล้ว

“อารอง ซือเถียนจะไม่กลับมาสุดสัปดาห์นี้เหรอ”

มู่ซือเถียนคือพี่สาวของมู่ซือจิ่น กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมต้นที่ในตัวเมือง เธอมักจะอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนและจะกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น เมื่อเธอกลับมา เธอก็จะมาพักอยู่ที่บ้านของอารองของเธอ

อาคนนี้ของเธอเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองหลีเซี่ยน

“ซือเถียนไม่กลับ เธอบอกว่าเธอกำลังจะเตรียมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่เสี่ยวหว่านเรียนอยู่ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเรียนอย่างหนักมาก”

เนื่องจากเสี่ยวเยาเยากลับมา คู่สามีภรรยานี้จึงไม่ได้พาซือจิ่นเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปหาลูกสาวของพวกเขา

“อื้ม อารองอย่าลืมบอกให้ซือเถียนรักษาสุขภาพนะคะ ร่างกายสำคัญที่สุด”

“วางใจเถอะ เสี่ยวเยาเยา งั้นอารองกลับก่อนนะ”

“โอเคค่ะ”