ตอนที่ 130 ในสายตาเขาทุกคนล้วนโง่เขลา
ขณะที่ทั้งสามกลับไปที่ห้องนั่งเล่น กลุ่มคนที่นั่งดื่มชากันอยู่ก็เริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง แต่คนแก่ เด็ก และคนป่วยต้องกลับห้องไปพักผ่อนเสียที
ตี้อู๋เปียนเดินกลับไปที่ห้องของเขา หยิบแท็บเล็ตออกมาแล้วเปิดเครื่อง จากนั้นก็ส่งข้อมูลที่ดอกฉยงฮวาบอกมาไปให้เยี่ยอิ่ง
หมอหญิงเดินเท้ายังอยู่ในเขตป่าชั้นในและดูเหมือนว่าเธอจะไม่ออกมาเร็วๆ นี้
“เยี่ยอิ่ง นายถอนกำลังคนส่วนใหญ่ออกไปซะ เหลือเพียงทีมเล็กๆ ที่คอยแจ้งข่าวในหมู่บ้านใกล้เคียงก็พอ”
“อู๋เปียน นายระบุตำแหน่งของหมอหญิงเดินเท้าได้ยังไง หมอเทวดาน้อยยังไม่ได้เข้าสู่เขตป่าชั้นในเลยไม่ใช่เหรอ! ใครเป็นคนส่งข่าวให้นายกัน”
“นายไม่ต้องสนเรื่องนี้หรอก แค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”
“แล้วถ้าหมอหญิงเดินเท้าไม่ออกมาตามที่นายคาดการณ์ไว้ล่ะ”
“พรุ่งนี้ ฉันจะขอแผนที่เส้นทางในป่ากับซาลาเปาน้อยอีกที ฉันจะบอกทิศทางโดยประมาณให้ในภายหลัง คอยดูเส้นทางที่ฉันบอกไว้”
“ตกลง หวังว่านายจะพูดถูกนะ”
“วางใจเถอะ หมอหญิงเดินเท้าคือหนึ่งในกุญแจที่จะช่วยชีวิตฉัน ฉันไม่เล่นตลกกับชีวิตของตัวเองหรอก” เขาทะนุถนอมชีวิตของเขาอย่างมาก!
“ตกลง งั้นพรุ่งนี้ฉันจะสั่งถอนกำลังคนออกไป แต่ฉันจะนำทีมมาที่นี่และรอจนกว่าหมอหญิงเดินเท้าจะกลับออกมา”
“ได้” มีเยี่ยอิ่งอยู่ที่นี่ก็สะดวกในการติดต่อมากกว่าเช่นกัน
ในหน่วย ‘ร้อยแปดพันเก้า’ ทั้งหมด คนที่เขาติดต่อโดยตรงมีเพียงเยี่ยอิ่งเท่านั้น จากนั้นค่อยให้เขากระจายคำสั่งลงไปอีกที
“อู๋เปียน นายอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนซานมานานแค่ไหนแล้ว”
“ฉันจะกลับไปที่เย่ว์ตูพรุ่งนี้หลังมื้ออาหารเย็น ซาลาเปาน้อยยังต้องไปโรงเรียน”
“…ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ เธอเก่งออกขนาดนั้น จะไปเรียนอีกทำไม ทำงานไม่ดีกว่าเหรอ”
“การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด! นายไม่มีวันเข้าใจ! ไม่ใช่ทุกคนที่โง่เขลาแบบพวกนาย!”
เยี่ยอิ่ง “อู๋เปียน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนายมันหายไปหมดแล้วใช่ไหม นายไม่คิดว่าฉันจะเจ็บปวดเมื่อได้ยินนายพูดแบบนั้นเลยเหรอ”
ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนโง่เขลาไปได้
เมื่อเทียบกับอู๋เปียน โอเค เขาโง่กว่าจริงๆ แต่มันก็เพราะเขาเรียนรู้มาค่อนข้างน้อยไหม
ใครจะไปเหมือนหมอนั่นที่มีสมองทรงพลังยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของโลก ที่เรียนรู้ได้ทุกอย่างและเก่งทุกอย่าง!
หากสภาพร่างกายของเขาไม่ได้จำกัดเขาเอาไว้ ป่านนี้เขาคงจะสร้างปีกให้ตัวเองโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว!
คงจะดีไม่น้อยที่มีคนแบบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาทุกๆ หมื่นปี!
“ฉันพูดความจริง แน่นอนว่าย่อมไม่เจ็บ”
ยกเว้นซาลาเปาน้อยเขาคิดว่าทุกคนล้วนโง่เขลาทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม คนบางคนมีจุดแข็งที่คนทั่วไปไม่สามารถเทียบได้ เช่นคนที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดในด้านต่างๆ นั้นแน่นอนย่อมไม่ใช่คนโง่
อาเล็กอวิ๋นไป๋ของเขาอยู่ในรายชื่อนี้
นอกจากนี้เย่ว์จือเหิงพี่ชายคนโตของซาลาเปาน้อยก็มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้
“อู๋เปียน สมองของนายไม่เหนื่อยบ้างเหรอ เป็นเพราะสมองของนายแข็งแกร่งเกินไปหรือเปล่า ร่างกายของนายถึงอ่อนแอแบบนี้ ทำไมนายไม่ลองลบความทรงจำบางส่วนแล้วดูว่าร่างกายของนายจะดีขึ้นบ้างไหม”
“เหอะๆ!” มันไม่ใช่คอมพิวเตอร์จริงๆ สักหน่อย คิดว่าอยากจะลบก็ลบทิ้งได้ทันทีงั้นเหรอ
“ฉันพูดไม่ผิดสักหน่อย! ไม่ใช่ว่ามีประโยคหนึ่งที่พูดว่า ‘ปัญญาที่มากเกินไปจะบั่นทอนร่างกายให้บอบช้ำ รักที่มากเกินไปจะกัดกลืนอายุขัยจนร่อยหรอ’ หรอกเหรอ เพราะนายรู้มากเกินไป ร่างกายนายก็เลยรับภาระหนักยังไงล่ะ”
ตี้อู๋เปียน “…”
ร่างกายรับภาระหนักหมายความว่ายังไง พูดอย่างกับว่าเขาทำอย่างนั้นแล้วถูกทอดทิ้ง!
คนไม่มีการศึกษาไม่รู้จักพูดจริงๆ!
เอาไว้หาเวลาส่งเขากลับไปเข้าเรียนใหม่ เริ่มศึกษาใหม่ตั้งแต่ต้น!
ฮึ่ม!
ตี้อู๋เปียนปิดวิดีโอคอลทันทีเมื่อเห็นมู่เถาเยาโทรเข้ามา
“ซาลาเปาน้อย มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ตี้อู๋เปียน นายต้องปลุกอันเหยี่ยขึ้นมาชิ้งฉ่องตอนกลางคืนไหม”
“เขามักจะดื่มนมก่อนนอนและจะหลับยาวจนถึงรุ่งเช้า เลยไม่มีนิสัยฉี่รดที่นอน สบายใจเถอะ”
“โอเค ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว คุณเองก็รีบเข้านอนเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน ซาลาเปาน้อย ถ้าสะดวกเราไปคุยกันที่ห้องอ่านหนังสือสักครู่ได้ไหม”
“ฉันกลัวว่าอันเหยี่ยจะตื่นขึ้นมากะทันหันน่ะสิ เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่เลยอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย ตี้อู๋เปียน คุณมีอะไรจะพูดเหรอ”
“…ไม่มีอะไรด่วนหรอก ฉันแค่อยากคุยกับเธอเรื่องหมอหญิงเดินเท้า”
“งั้นคุยกันทางโทรศัพท์เถอะ มีอะไรคืบหน้าใหม่ๆ แล้วเหรอ”
“…คนของฉันอาจสืบหาตำแหน่งของหมอหญิงเดินเท้าคนนั้นได้แล้ว” อันที่จริงดอกฉยงฮวาเป็นคนบอกมา
มู่เถาเยามองดูถุงลมน้อยที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างสูง จากพื้นจรดเพดาน และมองไปที่ดวงจันทร์ที่มีรูปร่างเหมือนจานทรงกลมที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากหยุดนิ่งไปสองสามวินาที เธอก็เปิดปากพูดขึ้นว่า “ตี้อู๋เปียน หมอหญิงเดินเท้าคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน”
เธอไม่ได้ถามเขาว่ารู้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่บอกชัดเจนแล้วว่าเข้าไปในเขตป่าชั้นในตอนนี้ยังไม่ได้ อาจมีคนแปลกๆ อยู่รอบตัวพวกเขาและสืบหาเบาะแสนี้!
“หมอหญิงเดินเท้าคนนั้นมุ่งหน้าสู่เขตป่าชั้นในผ่านเส้นทางตรงจากหมู่บ้านชิงเหอ”
“เส้นทางตรง? เธอต้องการออกจากประเทศเหยียนหวงไปยังประเทศหนานเจ๋อเหรอ”
“เรื่องนี้ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ป่าเซียนโหยวกว้างใหญ่เกินไป และอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนทิศทางไปในที่ใดอย่างฉับพลันก็ได้”
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว คุณคอยระวังเอาไว้หน่อยนะ หมอหญิงเดินเท้าคงไม่ออกจากป่ามาในเร็วๆ นี้” เธอรู้จักนิสัยอาจารย์ของเธอดี
มีสมุนไพรล้ำค่ามากมายในเขตป่าชั้นใน แม้ว่าเธอจะแค่มองดู แต่เธอก็ยังต้องมองมันอีกหลายๆ ครั้ง!
“ซาลาเปาน้อย เธอไม่จำเป็นต้องรีบไปหรอก เราจะหาหมอหญิงเดินเท้าจนเจออย่างแน่นอน”
“อื้ม ตี้อู๋เปียน ขอบคุณนะคะ”
“…ควรเป็นฉันที่กล่าวขอบคุณเธอมากกว่าไหม”
“หมอหญิงเดินเท้าคนนั้นมีความสำคัญต่อฉันมาก”
“โอเค ซาลาเปาน้อย ฉันจะแจ้งให้เธอทราบทันทีเมื่อฉันพบหมอหญิงคนนั้นแล้ว”
ตี้อู๋เปียนเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าเธอต้องการแลกเปลี่ยนทักษะทางการแพทย์กับหมอหญิงเดินเท้าคนนั้นและเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงสำคัญมาก
ซาลาเปาน้อยช่างรักเรียนและขยันขันแข็ง
ผู้ที่สามารถรู้จักหญ้าพิษชีวิตและดอกไม้สองชีวิตได้ และมีทักษะทางการแพทย์ที่สูงมาก ย่อมต้องมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“อื้ม จริงสิ ตี้อู๋เปียน หมอหญิงเดินเท้าคนนั้นแซ่ลู่”
“ลู่? ลู่จือฉินเหรอ”
เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งซาลาเปาน้อยเคยเอาหนังสือทางการแพทย์ไปจากเขา ผู้เขียนคือลู่จือฉิน
แต่หนังสือเล่มนั้นเขียนด้วยพู่กัน และดูเหมือนจะโบราณมาแล้วด้วย
ทุกวันนี้มีใครยังเขียนหนังสือด้วยพู่กันอยู่อีกไหม
“ไม่ใช่ลู่ที่มาจากอักษรกวาง แต่เป็นลู่จากอักษรถนนของ ‘หนึ่งถนนมุ่งสู่ท้องฟ้า’”
น่าเสียดายที่ลู่หันซูไม่มีรูปถ่ายใดๆ หรือแม้แต่ลายมือของหมอลู่เลย
เนื่องจากหมอลู่ไม่ใช่ครูในโรงเรียน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสอนเหมือนครูในโรงเรียน และตอนนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร มีการใช้คอมพิวเตอร์แล้ว…
“ซาลาเปาน้อย ต้องสืบต่อไหม” มีแซ่ มีเพศ และอายุโดยประมาณแล้ว เริ่มต้นสืบคงง่ายขึ้นมาก
“รอหมอหญิงเดินเท้าคนนั้นออกมาก่อนเถอะ”
เธอเชื่อว่าตราบใดที่หมอลู่ออกมาจากเขตป่าชั้นในและเห็นข้อความที่ลู่หันซูส่งไปให้เธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นอาจารย์หรือไม่ก็ตาม เธอก็จะต้องตอบกลับอย่างแน่นอน
หากเป็นอาจารย์ เมื่อได้เห็นข้อความนั้นจะต้องคิดถึงเธออย่างมากแน่ๆ แล้วจะติดต่อกลับมาเอง
แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น หมอลู่อาจไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับหญ้าพิษชีวิตและดอกไม้สองชีวิตมากเท่าเธอด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลมากนัก
“โอเค ฉันจะทำตามที่เธอพูด”
“ตี้อู๋เปียน วันนี้คุณออกกำลังกายมากเกินไปแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”
“อื้ม ราตรีสวัสดิ์นะซาลาเปาน้อย”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
หลังจากวางหูโทรศัพท์เสร็จ มู่เถาเยาก็เฝ้ามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวข้างนอกพลางนึกถึงป้าเย่ว์เลี่ยงและอาจารย์ลู่จือฉินของเธอ
เดิมทีอาจารย์เป็นเพื่อนของท่านลุงเล็ก ทั้งสองคนรู้จักกันเมื่อตอนที่พวกเขาอายุได้สิบห้าปีและออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างแคว้น ส่วนป้าสะใภ้เล็กก็เป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์ ท่านลุงเล็กได้รู้จักกับป้าสะใภ้เล็กผ่านการแนะนำของอาจารย์
ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งสองจะตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ของตระกูลเย่ว์ในตอนนั้นค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นงานแต่งจึงจัดขึ้นที่บ้านเกิดของป้าสะใภ้เล็ก
แม้ว่าคนตระกูลเย่ว์จะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ท่านปู่ท่านย่า ท่านตาและท่านยายก็ล้วนมอบทรัพย์สินของตระกูลเย่ว์มากกว่าครึ่งหนึ่งให้กับป้าสะใภ้เล็กเป็นสินสอด
ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งใช้เพื่อสนับสนุนกองทัพ
คนนอกคงไม่มีใครนึกถึงว่าแท้จริงแล้ว ครอบครัวฝั่งมารดาของฮองเฮาในรัชสมัยนั้นจะใช้ชีวิตอย่างสามัญชนเล็กๆ แบบนั้น
ตระกูลเย่ว์ไม่มีข้ารับใช้ พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารที่พิการและผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่กันแบบครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กังวลว่าข้อมูลใดๆ จะรั่วไหลออกไป
ครอบครัวของป้าสะใภ้เล็กเป็นตระกูลบัณฑิตที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากในท้องถิ่นนั้น จึงเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลเย่ว์
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล่าวโทษหรือตำหนิเกี่ยวกับการแต่งงานของเด็กสองคนโดยไม่มีผู้ใหญ่ของฝ่ายชายมาร่วมงานด้วย ไม่มีแม้แต่คำบ่นสักคำ
แม้หลังจากการแต่งงานผ่านไปแล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลเย่ว์ยังขอให้ท่านลุงเล็กอาศัยอยู่ที่ตระกูลของฝั่งภรรยาต่ออีกสักพักเพื่อหลีกเลี่ยงการคุกคามจากฝั่งตรงข้ามในราชสำนัก ทางนั้นก็ยังไม่ว่าอะไรสักคำ
โชคดีที่ผลที่ออกมาคือเธอชนะ และตระกูลเย่ว์เป็นฝ่ายกำชัยในท้ายที่สุด