ยงการปะทุครั้งเดียวค่าความชอบก็ได้ทะลายผ่านเลข 10 ทันที
มันใช้เวลากว่า 150 วันเพื่อเพิ่มค่าความชอบของลาพิส ลาซูรี่สู่เลข 10 แต่ทว่ามันใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้นในกรณีของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ สิ่งใดที่ทำให้เกิดความแตกต่างได้ขนาดนี้หนอ?
เข้าใจล่ะ
ลาพิส ลาซูรี่เป็นกรณีพิเศษนี่เอง
ผมได้ใช้กุญแจปลดล็อกกรงขังในระหว่างที่พึงพอใจกับความสามารถของตนเอง
ด้วยเสียงดังเคร้ง ประตูกรงขังก็ได้เปิดออกมา หลังจากที่ปลดปลอกคอโลหะรอบๆคอของสาวน้อยฟาร์เนเซ่แล้ว ทุกปัญหาได้ถูกแก้ไขอย่างหมดจดสักที
“อืม นี่ช่างปลอดโปร่งดีจัง ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้เดินออกมาจากกรงขัง จากนั้นเธอก็กางแขนออกไปทางดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้ายามราตรี มันดูคล้ายกับเธอกำลังพยายามกะว่าเธอสามารถรวบท้องฟ้าเข้าสู่อ้อมแขนเธอได้มากแค่ไหนกันน่ะ
เวลาได้ผ่านเลยไปเช่นนั้นเป็นเวลายาวนาน
จากนั้น ฟาร์เนเซ่ก็ได้หันตัวเธอมาทางผม
“—นายท่าน”
เธอย่อเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวว่า
“ตราบเท่าที่นายท่านไม่ได้ทรยศต่อหญิงสาวผู้นี้ก่อน นางก็จักทำตามคำสั่งของท่านอย่างภักดี ตราบเท่าที่นายท่านเคารพในตัวหญิงสาวผู้นี้ นางก็จักอุทิศดวงวิญญาณของนางให้แก่ท่าน ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ด้วยฐานะบุตรสาวคนที่สามแห่งราชรัฐดัชชีปาร์มาและทายาทอันชอบธรรมแห่งเมืองปิอาเซนซ่า ในค่ำคืนนี้ ตามปฏิทินของทวีป ปี 1505 เดือน 9 วันที่ 10 ด้วยทวยเทพทั้งปวงณ ที่นี้เป็นสักขีพยาน เราขอปฏิญาณว่า : หากนายท่านบัญชาให้หญิงสาวผู้นี้เป็นดั่งดาบของท่าน นางก็จักกลายเป็นดาบของท่าน หากได้รับบัญชาให้เป็นสติปัญญาแก่ท่าน นางก็จักกลายเป็นสติปัญญาแก่ท่าน หากได้รับบัญชาให้เป็นขาของท่าน นางก็จักกลายเป็นขาของท่าน เจตจำนงของหญิงสาวผู้นี้ ความรอบรู้ของหญิงสาวผู้นี้ และความมุมานะอุตสาหะของหญิงสาวผู้นี้จักอุทิศให้แก่นายท่านชั่วกัลปาวสาน นายท่านคะ เราวิงวอนขอท่านโปรดประทานอิสรภาพเล็กๆน้อยๆต่อหญิงสาวผู้นี้เพียงเท่านั้นก็พอค่ะ ”
(ราชรัฐดัชชี = ดินแดนที่ขุนนางระดับดยุคปกครองอยู่)
“ข้าขอสาบานจากใจจริงว่าข้าจักปกป้องอิสรภาพของเจ้าเอง”
ผมจับมือสาวน้อยฟาร์เนเซ่และพยุงเธอขึ้นมา
แม้ว่านี่จะไม่มีอะไรมากไปกว่าคำสัตย์ปฏิญาณตามธรรมเนียม แต่ก็เป็นคำสัตย์ปฏิญาณแรกที่กำหนดขึ้นระหว่างตัวผมและเด็กสาวคนนี้
ผมไม่สามารถกระทำต่อมันด้วยความชุ่ยได้หรอกนะ
“ข้าดันทาเลียน จอมปีศาจอันดับที่ 71st ด้วยฐานะอันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจล่วงเกินได้ ตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ของฐานันดรศักดิ์อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งในสมาชิกภาคี 72 ตนผู้ซึ่งปกครองเหล่าปีศาจทั้งมวล ข้าขอสาบานว่า: ความทุ่มเทของเจ้าจักได้รับการตอบแทน ความจงรักภักดีของเจ้าจักได้รับการสรรเสริญ ความผิดพลาดของเจ้าจักได้รับการอภัย เหล่าบุคคลซึ่งถือครองความเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าจักเป็นศัตรูของข้า ตระกูลที่นำพาเจ้าลงสู่หายนะ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเมดิชิในฟลอเรนซ์ ตระกูลสฟอร์ซาในมิลาน ตระกูลอกิรอฟในพาเวีย – และหากเจ้าต้องการ แม้แต่ตระกูลฟาร์เนเซ่ในปาร์มาก็ยังได้ โดยการทำทุกวิถีทางที่จำเป็น ข้าจักล้างแค้นให้แก่เจ้าเอง”
“……”
นี่คำสาบานของผมทำให้เธอประหลาดใจหรือไงกัน?
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้กระพริบตาเธอและกล่าวว่า
“ท่านยังสติดีอยู่รึเปล่าคะ? พวกเขาคือผู้ทรงอำนาจที่นำอาณาจักรทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาอย่างสมบูรณ์นะคะ จริงอยู่ว่า พวกเขาคือหนึ่งในบรรดาคนที่มีส่วนทำให้ตัวเรานี้จมดิ่งสู่การเป็นทาส แต่…… ”
“อย่ากังวลไปเลย ข้าจะไม่ตระบัดคำสาบานข้าเป็นอันขาด”
ผมฉีกยิ้มกว้างออกมา
“ข้าจักจมอาร์คดยุดแห่งฟลอเรนซ์ลงในมหาสมุทร ข้าจักประหารดยุคแห่งมิลานโดยการเจาะ 36 รูลงบนร่างกายมัน ข้าจักกุดหัวเค้าท์แห่งพาเวียและเสียบประจานหัวมันกลางทางแยก และสุดท้าย ข้าจักทิ้งชะตากรรมของราชรัฐดัชชีฟาร์เนเซ่ไว้ในเงื้อมือของเจ้า 10 ปี, ไม่สิ, ข้าจักบรรลุการล้างแค้นคนเหล่านี้ทั้งหมดภายใน 9 ปี ”
“……”
“เป็นไงบ้าง? ถ้ามากขนาดนี้แล้วงั้นเจตจำนงของข้ายังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจนรึเปล่า? ”
“……….จากรูปการณ์แล้ว ดูท่าหญิงสาวผู้นี้ได้ตัดสินใจรับใช้ภายใต้เจ้านายที่วิปริตเหลือเกิน ”
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้ส่ายหน้าของเธอเล็กน้อย
“นี่เป็นเรื่องที่น่าหนักใจจัง หากท่านประทานเราด้วยคำสาบานมากมายถึงเพียงนี้ถ้าเช่นนั้นมันก็ดูจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้จึงขอมอบคำสัตย์ปฏิญาณอีกอย่างหนึ่งให้ค่ะ ”
“อีกหนึ่งอย่าง?”
“ค่ะ หากนายท่านบรรลุการล้างแค้นแทนหญิงสาวผู้นี้ได้จริงๆแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น, เรา, ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ จักยินดีถวายแม้กระทั่งอิสรภาพให้แก่ท่านอย่างปลาบปลื้มใจ เราจักกลายเป็นทาสของท่านด้วยความเต็มใจ และปิติยินดีที่ได้อยู่ในความครอบครองของนายท่านค่ะ ”
“เยี่ยมมาก สาบานต่อแม่น้ำสติกซ์ ”
“สาบานต่อแม่น้ำสติกซ์ค่ะ”
ผมได้จูบหน้าผากของสาวน้อยฟาร์เนเซ่อย่างแผ่วเบา
กลิ่นคราบสกปรกนั้นฉุนเฉียวเป็นอย่างมากเนื่องจากเธอไม่ได้ล้างออกเป็นเวลานานเหลือเกิน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างผมกลับไม่ถือสามัน
มันรู้สึกเหมือนผมได้รับน้องสาวที่เป็นเสมือนร่างแยกของผมยังไงยังงั้นเลย
ขณะที่ผมนึกคิดอยู่ ผมก็เข้าโอบกอดเธอ เรือนร่างเล็กๆของสาวน้อยฟาร์เนเซ่ก็ได้เข้ามาสู่อ้อมแขนของผม เธอไม่ได้ขัดขืนเลย กลับเป็นว่าเธอได้เอียงศีรษะเธอแนบกับหน้าอกของผมซะนี่ น่ารักแฮะ—
(az – โลลิคือสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเอกภพ! โลลิคือสิ่งดีงาม!! โลลิบันไซ!!!)
“มีบางสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้สงสัยค่ะ นายท่าน”
“พูดมาได้เลย”
“ท่านวางแผนที่จะใช้งานหญิงสาวผู้นี้แบบไหนคะ? อันที่จริง หญิงสาวผู้นี้ไม่มีพรสวรรค์ในด้านการเมืองเลยค่ะ แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้คิดว่าศักยภาพของเธอในการรับและเข้าใจวิชาต่างๆจะเป็นพรสวรรค์ติดตัวตั้งแต่เกิดและสามารถคุยโวได้อย่างภาคภูมิใจก็ตามค่ะ ”
“อา ข้าวางแผนที่จะแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพน่ะ จากนี้ไป เจ้าจะขับไล่ศัตรูทั้งหลายในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังข้า ”
“หญิงสาวผู้นี้เป็นแม่ทัพรึคะ?”
โทนเสียงของสาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้เริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
คงเป็นเพราะมันคือบทบาทที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนน่ะ
ในประวัติศาสตร์ดั้งเดิม ช่วงเวลาที่อัจฉริยภาพของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่เกี่ยวกับการสงครามได้ผลิบานขึ้นก็คือเวลา 10 ปีนับจากนี้ หรือก็คือหลังจากที่เค้าท์รอสเวลล์ได้เสียชีวิตจากการถูกวางยาพิษและเธอได้เข้าแย่งชิงชัยต่ออำนาจบริหารบ้านท่านเค้าท์ แม้หลังจากนั้น ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ก็ยังคงไม่รู้ว่าพรสวรรค์ที่แท้จริงของเธอคือสิ่งใด
แน่นอนว่า
ผมกำลังปลุกอสูรกายที่อยู่ภายในตัวเธอล่วงหน้า 10 ปีน่ะ
“อะไร? นี่เหนือจากที่เจ้าคาดไว้หรือไง? ”
“แน่สิคะ ถึงแม้หญิงสาวผู้นี้เคยอ่านตำราสงครามมากมาย แต่พรสวรรค์ของหญิงสาวผู้นี้ในเรื่องการสงครามน่าจะแทบไม่มีเลยค่ะ สงครามไม่ใช่สิ่งที่มือสมัครเล่นควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรอกนะคะ หญิงสาวผู้นี้เชื่อว่ามันเป็นงานที่ต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดก่อนที่จะมอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่ง นอกจากนี้ หญิงสาวผู้นี้ขอแนะนำบางสิ่งเช่นงานบรรณารักษ์ห้องสมุด…… ”
ผมได้หัวเราะเบาๆออกมา
เธอพูดแบบนั้นเพราะเธอยังไม่เข้าใจตัวเองดีหรอก
ในการศึกสงคราม ถ้าเธอต้องเผชิญกับศัตรูที่มีปริมาณกองทหารเท่ากันกับเธอ โอกาสชนะของเธอคือ 100% ถ้ากองทหารเธอน้อยกว่า 3/10 งั้นเธอก็มีโอกาสชนะ 80% หากกองทหารเธอน้อยกว่า 1/2 ก็เป็น 60% เธอคือผู้บัญชาการทหารอันเก่งกาจที่คว้าชัยชนะด้วยอัตราแบบนี้ไม่ว่าจะเผชิญกับอะไรก็ตาม
แม้แต่ฮีโร่ยังต้องระดมทหารมากกว่า 3 เท่าของเธอเองเพียงเพื่อเอาชนะเธอ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ เธอคือสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวและฝันร้ายบนผืนแผ่นดินนี้ เพียงได้ยินข่าวว่าเธอได้เข้าร่วมในการศึกก็ทำให้เมืองต่างๆนานับไม่ถ้วนยกธงขาวยอมแพ้แล้ว
เด็กสาวผู้เป็นที่รักแห่งเทพธิดาสงคราม
ไม่สิ น่าจะกล่าวว่าเทพธิดาสงครามผู้ซึ่งจุติมาเป็นเด็กสาวมากกว่า
ซึ่งก็คือเด็กสาวตรงหน้าผมผู้ที่กำลังเอียงศีรษะของเธออยู่นั่นเอง
“เชื่อมั่นในสายตาอันปราดเปรื่องของข้าเถอะ เจ้าจะทอประกายเจิดจรัสเมื่อถือไม้วาทยากรในสนามรบมากกว่าที่เจ้านั่งอ่านหนังสือนะ ข้าจะเสกสรรค์มันขึ้นเพื่อให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อเจ้าเอาไว้เอง ”
“เอ หญิงสาวผู้นี้กำลังถูกเพิ่มความเชื่อมั่นขึ้นอย่างแปลกๆจังค่ะ…… ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้แสดงท่าทีคลางแคลงใจต่อผม
“การแต่งตั้งให้หญิงสาววัย 16 ปีดูแลการทหารนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินว่ามีการจัดสรรบุคลากรแบบนั้นมาก่อนเลยค่ะ ถึงแม้หญิงสาวผู้นี้เชื่อว่าคำพูดนั้นเป็นยิ่งกว่าความโฉดเขลาเบาปัญญา แต่ความมุ่งมั่นของนายท่านดูจะจริงจังซะเหลือเกิน ดังนั้นหากหญิงสาวผู้นี้ลงเอยด้วยการบริหารกองทัพจนป่นปี้ไป ก็อย่าตำหนิหญิงผู้นี้มากเกินนะคะ โอเค๊? ”
“เจ้าค่อนข้างเป็นคนชอบพูดแดกดันจังนะ ข้าจะพูดอีกครั้งก็แล้วกันว่า จงเชื่อมั่นในตัวข้า”
ในขณะที่ลูบหัวสาวน้อยฟาร์เนเซ่เบาๆ ผมก็นำม้วนกระดาษหนังออกมาจากเสื้อโค้ทของผมและฉีกมันทิ้ง เมื่อผมทำเช่นนั้น เปลวไฟสีแดงก็ปรากฏขึ้นและพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าไป
ได้เวลาเผ่นหนีแล้วสิ
ตูมมมมม—
เปลวไฟได้ระเบิดออกประดุจดอกไม้ไฟ ทหารยามที่กำลังยืนเฝ้ากะกลางคืนต้องเห็นมันแน่นอน ตลาดทาสค่อยๆเริ่มโกลาหลขึ้น กองทหารรักษาการณ์ได้เริ่มเดินตรวจตราไปรอบๆเพื่อค้นหาตัวการที่ยิงพลุแสงขึ้นไป
“…… เฮ้ย! พลุนั่นมาจากไหนกัน…… ”
“……เวรแล้ว มันมาจากด้านเจ้าพ่อค้าเมโตรรานอม…… ”
“……คงมีพวกสติไม่ดีกำลังยิงเงินทิ้งเล่นที่ไหนสักแห่งล่ะมั้ง….. ”
จากระยะไกลออกไป พวกเราก็ได้ยินเสียงผู้คนร้องตะโกนและออกคำสั่งอย่างตะลีตะลาน
ไม่นานนัก กลุ่มทหารสี่ถึงห้านายก็วิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา คบเพลิงที่พวกเขาถืออยู่ได้ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ จากนั้นทหารยามก็สังเกตเห็นว่านางฟาร์เนเซ่ได้อยู่นอกกรงขังของเธอ
“นี่! ทำไมถึงพาทาสออกมาข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาตห๊า? ”
ทหารคนหนึ่งได้แสดงสีหน้าบึ้งตึง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ถ้าจำเป็น เขาคงจะแทงผมแน่หากเขาจำเป็นต้องทำมัน
ผมใส่รอยยิ้มอันนุ่มนวลบนริมฝีปากผมพลางบอกให้พวกเขาสงบสติลง
“ผมเป็นเพื่อนของพ่อค้าจากเมโตรรานอมที่นอนอยู่ตรงนั้นครับ ผมกำลังตรวจสอบคุณภาพของทาสกับคุณเกียโคโม แต่เขาดันบังเอิญฉีกม้วนคัมภีร์เวทในระหว่างดำเนินการ ผมต้องขอโทษสำหรับการสร้างความวุ่นวายในกลางค่ำคืนนี้ครับ คุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย ”
พวกทหารได้เหลือบมองเกียโคโม เปตรากที่อยู่บนพื้น ซึ่งเกียโคโม เปตรากยังคงนอนหลับเหมือนท่อนไม้ไม่มีผิดอยู่
“คุณหมายความว่าไงกับไอ้ที่ว่ากำลังตรวจสอบคุณภาพทาสน่ะ?”
“ก็ได้ครับ ถ้าผมต้องสาธิตให้คุณดู ก็คงเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง ”
ผมได้จูบคอของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่
พร้อมด้วยมือขวาของผมซึ่งได้ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างเธอรวมทั้งส่งยิ้มให้ด้วย
เหล่าทหารยามต่างเบิ่งตาของพวกเขาจนกว้างในระหว่างที่พวกเขาจ้องเขม็งมาที่เรา
“ในอีกไม่กี่วัน ทาสนี้จะถูกขายให้แก่เค้าท์รอสเวลล์ในราชอาณาจักรบริตตานี ท่านเค้าท์ผู้ทรงเกียรติได้ออกคำสั่งซื้ออย่างเจาะจงเลยว่าให้หาทาสชั้นเยี่ยมมา แต่ทว่าคุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย มันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่หรืออย่างไรหากทาสนี้กลับกลายเป็นว่าคือสินค้าที่จืดชืดเกินน่ะ?
“งะ-งั้นเองรึ แต่ว่า…… ”
“อา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่นั้น อย่างที่พวกคุณน่าจะรู้กันว่า พ่อค้าจากเมโตรรานอมยังออกจะหนุ่มอยู่ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างซื่อบื้อในเรื่องพวกนี้น่ะ นั่นคือเหตุผลที่ว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อนเขา ผมจึงหวังดีมาช่วยตรวจสอบให้เขาน่ะครับ”
“……”
พวกทหารได้ลอบเหลือบมองกัน มันเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาได้ลังเลใจกันน่ะ พวกเขาต้องการจับกุมตัวการที่ยิงพลุไฟขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลว่าพวกเขาอาจจะขัดขวางภารกิจที่สำคัญมาก
“แม้ไม่คำนึงว่า งานทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อท่านเค้าท์ผู้ทรงเกียรติแล้ว ผมอาจจะไม่ควรกล่าวแบบนี้ออกมา แต่ผมจะให้คุณทุกคนรู้ความลับบางอย่างนะ นามของท่านเค้าท์รอสเวลล์ค่อนข้างเป็นที่เลื่องลือในราชอาณาจักรถึงงานอดิเรกอันแสนวิปริตของเขา หากมีความเป็นไปได้ ที่ทาสนี้ไม่สามารถสนองความต้องการของท่านเค้าท์รอสเวลล์ได้ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะมีบทลงโทษอะไรบังเกิดขึ้นต่อพวกเราบ้างอะนะ”
มันสะดวกดีนะที่ใช้ยศศักดิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเค้าท์,ท่านเค้าท์ และก็ท่านเค้าท์ โดยการเอ่ยคำนี้ซ้ำๆผมก็สามารถข่มขวัญทหารยามเหล่านี้ได้แล้ว หากพวกนายมาตอแยผมงั้นท่านขุนนางจะอารมณ์เสียน้า รู้ปะ? นายโอเคกับเรื่องนั้นสินะ? ผมกึ่งข่มขู่พวกเขาแบบนี้แหละ
“เออ ก็ได้ ก็ได้ แต่ทีหลังระวังเรื่องพลุไฟด้วยล่ะ ได้มะ? เพราะมีโอกาสที่ตลาดจะเอะอะวุ่นวายกันน่ะ ”
พวกทหารได้ยอมอ่อนข้อให้ สำหรับสามัญชนอย่างพวกเขา ขุนนางระดับเค้าท์คือผู้มีอำนาจไกลเกินกว่าพวกเขาจะเอื้อมถึงได้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่ต้องการตอแยคนระดับนั้นโดยไม่จำเป็นหรอกนะ
แต่เอาเถอะ ยังไงซะพวกเขาก็น่าจะมารับตัวผมในเร็วๆนี้แล้วแหละ……
ทว่าพวกทหารยามก็ได้ลังเลใจอีกเช่นเคย
“แต่ท่านครับ คือว่า เออ ด้วยเหตุจำเป็นในการรักษาความปลอดภัย อย่างน้อยพวกเราต้องอยู่ที่นี่ด้วยครับ มันมีกฎว่าทหารสองนายต้องอยู่เป็นผู้ควบคุมดูแลเมื่อใดก็ตามที่ทาสออกจากกรงขังน่ะครับ ”
“หืม? งั้นคุณยืนเฝ้าด้านนอกที่พักก็แล้วกัน ”
“แหะ แหะ”
พวกทหารได้หัวเราะอย่างดูโง่งม
ความเป็นศัตรูของพวกเขาได้มลายหายไปแต่ตอนนี้การอ้อนวอนกลับปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจู่ๆถึงทำตัวแบบนั้นหรอกนะ ถ้าผู้ชายทั้งหลายพยายามทำตัวใสซื่อน่ารักและออดอ้อนต่อผมแล้ว สิ่งที่พวกนั้นมอบได้เพียงอย่างเดียวคือการทำให้กระเพาะผมปั่นป่วนคลื่นไส้ พวกเขาจึงควรแสดงความห่วงใยต่อสุขภาพของผมบ้างนะ
เหล่าชายฉกรรจ์ได้เก็บดาบของตนและถูมือทั้งสองข้างด้วยกัน
“ถ้าเป็นไปได้ ในระหว่างที่ท่านกำลังตรวจสอบคุณภาพของดอกไม้งามอยู่พวกเราจะขอดูจากด้านข้างได้มั้ยครับ? แหะแหะ พูดตรงๆเลยนะครับ พวกเรามักพูดสัพยอกอยู่บ่อยครั้งกับเพื่อนของเราเกี่ยวกับการได้แอ้มสาวน้อยน่ารักคนนั้นอะครับ ”
“……”
โว้ว
ใบหน้าผมได้ลงเอยด้วยความบูดเบี้ยวโดยความคิดเห็นอันเถรตรงของพวกเขา
วิธีที่ทหารยามเหล่านี้กำลังดุ๊กดิ๊กร่างกายของพวกเขาพลางอ้อนวอนไปด้วยมันทำให้พวกเขาเหมือนกับสุนัขที่กำลังกระดิกหางของพวกมันเลย ซึ่งทำให้มันน่าขัดตามากขึ้นไปอีก ทำไมผู้ชายทุกคนชอบหื่นกามไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็ตามหว่า?
“ไม่สิ เอาเถอะ ผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันดังนั้นไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกคุณหรอกนะ เพียงแต่……ช่วยจากไปแต่โดยดีจะได้มั้ย ผมไม่ไช่พวกชอบโชว์หนอนชาเขียวหรอกนะ ”
(exhibitionist – พวกชอบโชว์เปลือย,ชอบโชว์การมีเซ็กส์ เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งแต่ผิดจากโลลิค่อนตรงที่ว่า โลลิค่อนเป็นการแสดงเมตตาไมตรีจิตแก่เด็กสาวตัวน้อยเท่านั้น เช่น เห็นเด็กน้อยหกล้มเป็นแผลก็อุ้มเข้าบ้าน เอ้ย! อุ้มส่งโรงบาล หรือช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาเด็ก เป็นต้น)
“ให้ตายเถอะท่าน! อย่าทำตัวแบบนั้นสิ ถึงแม้พวกเรายืนทำหน้าที่เฝ้ายามในตลาดทาสก็เหอะ แต่มีหลายสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้นะ! คราใดที่มีอิสตรีแสนสวยเดินไปทั่วในสภาพเปลือยเปล่า ทั้งหมดที่เราสามารถทำได้คือจ้องดูนิ่งๆเหมือนรูปปั้นพลางมีความคิดที่ว่า ‘อ้อ ผู้หญิงเป็นแบบนั้นนี่เอง’ และ ‘อ้อ นั่นคือรูปูสินะ’ แล่นผ่านหัวของพวกเรา หรือนี่คือวิถีชีวิตของผู้คนที่ควรเป็นกันยังงั้นเหรอครับ? มันถูกแล้วรึ?”
“……”
ผมถูกบอกให้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าลำบากใจซึ่งผมไม่ได้อยากรู้เลย……
อันที่จริง ผมอยากถามซะด้วยซ้ำว่าเหตุใดผมจึงควรสนใจมันน่ะ……
พวกทหารยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยสีหน้าอันคับแค้นใจ
“ไม่มีสถานที่ในแถบนี้ที่จะช่วยปลดปล่อยมันได้ และมันก็ชอบชี้โด่เด่ตลอดเลย พับผ่าสิ พวกโสเภณีดันไม่มาเปิดกิจการที่นี่เพราะกลัวว่าพวกหล่อนจะถูกจับและเปลี่ยนให้เป็นทาส และแม้ว่าพวกเราต้องการไปที่พาเวียเพื่อปลดปล่อยความเครียดเรา พวกเราก็ไม่มีเวลาว่างมากพอซะนี่ ท่านครับ ไม่สิ เจ้านายขอรับ! เราไม่ได้ขอให้พวกเราร่วมแจมได้รึเปล่าหรอกนะขอรับ พวกเราแค่อยากยืนดูเงียบๆทางด้านข้างเองนะขอรับ! ”
ผมกลายเป็นเจ้านายของชายฉกรรจ์เหล่านี้ผู้ซึ่งผมพึ่งเคยพบเจอกันเป็นครั้งแรก
ผมอดเกาด้านหลังหัวผมไม่ได้
ในตอนนั้นเอง ก็มีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาในหัวผม ซึ่งก็คือใบหน้าลาพิส ลาซูรี่นั่นเอง ทันทีที่ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ลาล่าได้ขัดขวางไม่ให้ผมฆ่ายัยแก่และนังสาวใช้ จิตใจผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย
ผมควรทำแบบนั้นมั้ยน้า? เอาเป็นว่าผมจะแสดงความเมตตานิดหน่อยตรงนี้ก็แล้วกัน
“……คุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย หลังจากได้ยินเรื่องราวพวกคุณแล้วข้ารู้สึกเสียใจและสงสารคุณมาก แม้ข้าจะรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย แต่นั่นยังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้างดังนั้นมันก็พอรับได้อยู่ จึงเป็นสาเหตุที่ข้าจะไว้ชีวิตพวกคุณเป็นกรณีพิเศษ โอเคมะ? มาจบเรื่องราวทุกอย่างด้วยวิธีนี้ดีกว่าเนอะ ”
“อะไรนะครับ?”
“—จัดการพวกมันซะ”
ผมโบกมือของผม
เหล่าทหารยามได้เอียงศีรษะของพวกเขาด้วยความงงงวย และในตอนนั้นเอง
บรรดาแม่มดที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านบนของพวกเราก็ลอยลงมาและฟาดท้ายทอยของพวกทหารยาม ด้วยเสียงดัง ‘อั๊ก!’ ชายทั้ง 5 คนก็ได้ล้มฟุบลงพร้อมๆกัน การเคลื่อนไหวของเหล่าแม่มดช่างเฉียบขาดยิ่งนัก
แม่มดทั้งหลายได้ลงจากไม้กวาดพวกตนอย่างอ่อนช้อย 11 แม่มดชนชั้นเลิศ หรือก็คือเหล่าสาวๆเบอร์เบเร่ซึ่งพวกเธอทั้งหมดนั้นต่างคุกเข่าลงทันทีอย่างพร้อมเพรียงกัน
“โอ้ท่านผู้มีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นตัวแทนอันมิอาจล่วงเกินได้สัญลักษณ์แห่งฐานันดรศักดิ์อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง สมาชิกภาคี 72 ตน ผู้ปกครองเหล่าปีศาจทั้งมวล ทาสรับใช้ของเทพธิดาเซลีนได้รับการเรียกขานจากท่านจอมปีศาจผู้เกรียงไกร ได้มารายงานตัวแล้วค่ะท่าน ”
“ดีใจที่เจอเจ้าทุกคนนะ แต่ฮับบาบา พวกเราไม่ได้รู้จักกันมาตั้งแต่เดือนก่อนแล้วเหรอ? เจ้าไม่มีพิธีรีตองมากไปหน่อยรึ? ”
ผมได้พูดติดตลกต่อหัวหน้าแม่มดว่า
“ข้ากังวลว่าขากรรไกรพวกเจ้าจะหลุดทุกครั้งที่เจ้ากล่าวคำพูดอันยืดยาวของเจ้าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และมิอาจล่วงเกินได้บ้าบอพรรณนั้น จากนี้ไปจงเอ่ยถึงข้าดั่งเจ้านายทั่วไปและเว้นขั้นตอนสุภาพทั้งหมดไปซะ ”
“อะฮ่าฮ่าฮา ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะนายท่าน หากนั่นคือคำบัญชาของท่านค่ะ ”
หัวหน้าแม่มดยิ้มแป้นออกมา
ผมสีทองคำขาวของเธอถูกมัดไว้เป็นสองเปียและได้กระพือเบาๆดั่งหูกระต่าย ผมไม่รู้ว่าด้วยหลักกลศาสตร์ใดที่พวกมันถึงขยับแบบนั้นได้หรอกนะ แต่มันก็มีเสน่ห์น่ารักดีแฮะ สำหรับใครบางคนที่มีหน้าตาแบบนั้นกลับเป็นนักรบอันเก่งกาจผู้ซึ่งเข้าร่วมมหาสงครามถึง 3 ครั้ง นั่นไม่ยุติธรรมเอาซะเลยอ่ะ
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนได้มารวมตัวกันณ ที่นี้แล้ว นายท่านคะ! โปรดประทานคำบัญชาของท่านเถิดค่ะ ตราบใดที่นายท่านจ่ายในจำนวนที่เหมาะสม พวกเราก็จะตัดแม้แต่เส้นผมพวกเราและทักทอมันเป็นผ้าไหมก็ยังได้ค่ะ ”
มันเป็นคำกล่าวในโลกปีศาจที่หมายความว่าพวกเขาจะทุ่มเททำงานด้วยการรับใช้ที่นอบน้อมน่ะ
ผมดึงลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่เข้ามาใกล้ผมและกล่าวว่า
“เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้เป็นนรกซะ”
“เอ๊ะ? ‘นรก’ ที่ว่านี่ นายท่านหมายความว่า? ”
“ข้าสามารถได้กลิ่นจากที่ไหนสักแห่ง มันเป็นกลิ่นของไขมันที่เล็ดลอดออกมาจากก้อนเนื้อที่น่าขยะแขยง มันเป็นกลิ่นของความโลภและความเสแสร้ง ”
เพื่อให้คล้องจองกัน ผมจึงกล่าวต่ออย่างรื่นเริงใจ
“หากพวกมันคือหมู งั้นมีสิ่งเดียวที่เหมาะสมสำหรับพวกมันคือการทำตัวให้เหมือนหมูซะและร้องอู๊ดๆในเล้าหมูไป แต่ไฉน เหตใดพวกมันจึงเดินกร่างไปตามถนนซะนี่? เจ้าจะทำยังไงเมื่อหมูเหล่านี้กำลังพยายามวางมาดเลียนแบบคนและเชิดจมูกของพวกมันไปทั่วน่ะ? ”
“แน่นอนว่า ท่านต้องตีตราลงบนตัวพวกมันว่าพวกมันคือหมูค่ะ!”
เหล่าแม่มดได้กล่าวตอบดั่งดีดม้ากัน
“มีเพียงคนเท่านั้นที่สามารถครอบครองทาสได้ ดูเหมือนไอ้พวกเดรัจฉานนั่นจะทำตัวเกินเลยหลักคำสอนของสรรพสัตว์และพยายามควบคุมพวกทาสซะแล้วสิ ”
“โปรดประทานคำบัญชาแก่พวกเราด้วยค่ะ”
แม่มดทั้งหมดต่างตะโกนพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยน้ำเสียงที่เบิกบานใจ
“พวกเราจะทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นโรงเชือดสัตว์ในค่ำคืนนี้ค่ะ!”
“ถูกต้อง คำบัญชาที่ข้าจะสั่งคือเชือดมันทิ้งให้หมด ”
ผมนำถุงใส่เหรียญจากภายในเสื้อโค้ทผมและโยนมันไป
หัวหน้าแม่มดได้คว้าถุงที่มีเหรียญทอง 100 เหรียญ เธอต้องรู้ว่ามันหนักมากขนาดไหนแน่ รอยยิ้มที่สดใสถึงได้เบ่งบานออกมาบนใบหน้าของแม่มด
“ฆ่าไอ้พวกเวรตะไลนั่นโดยไม่ให้โอกาสพวกมันแม้แต่จะกรีดร้องออกมาได้ นี่ไม่ใช่การฆ่าคน จงอย่าปล่อยให้มโนธรรมเจ้ากดดันจิตใจของเจ้าและลังเลที่จะลงมือ ด้วยการที่เจ้าคือจ้าวแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง พร้อมด้วยอำนาจที่ได้ประทานแก่เจ้าโดยเทพธิดาทั้งมวล จงฆ่าเดรัจฉานเหล่านี้เพื่อผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ”
“ตามพระบัญชาค่ะ นายท่านของเรา!”
ในการขยับตัวเพียงครั้งเดียว บรรดาแม่มดก็ได้กลับขึ้นสู่ไม้กวาดของพวกเธอและบินขึ้นไป
จากนั้นลูกไฟขนาดมหึมาก็ลุกโชนบนท้องฟ้าและดิ่งลงสู่ตลาดทาส เปลวไฟได้ระเบิดออกและเสาเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นมา พวกมนุษย์ทั้งหลายต่างกรีดร้องกัน การสังหารหมู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทหารทั้งหมดได้ตื่นตระหนกและพยายามตอบโต้ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ กองกำลังประเภทเดียวที่สามารถสู้กับกองกำลังนักเวทย์ต่อสู้กลางเวหาได้ก็คือนักเวทย์ต่อสู้กลางเวหาด้วยกันเอง มันจะเป็นสถานการณ์ต่างไปจากเดิมก็ต่อเมื่อพวกเขามีพลธนูจำนวนมาก แต่ทหารในตลาดทาสส่วนมากประกอบด้วยทหารราบพกพาดาบ น่าเสียดายนะ คุณไม่สามารถเอาชนะแม่มดที่บินอยู่บนท้องฟ้าโดยใช้แค่ดาบได้หรอก เพียงรอถูกฆ่าอย่างเชื่อฟังดั่งปศุสัตว์เถอะน้า
กองทหารรักษาความปลอดภัยได้ตายลงอย่างรวดเร็ว ดินปืนได้ร่วงพร่งพรูลงมาจากฟากฟ้าและเหล่าแม่มดก็สาดเวทย์ไฟซ้ำ ตลาดทาสจึงกลายเป็นทะเลแห่งเปลวเพลิงในทันที
“นะ-หนีเร็ว! รีบไปจากที่นี่!”
หลังจากกองทหารต่อต้านศัตรูถูกกำจัดแล้ว พวกที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการล่าไก่งวงหรอกนะ ในขณะที่หัวเราะด้วยความสุขใจ พวกแม่มดก็ฆ่าทั้งทหารและพลเรือนอย่างไม่ปราณี ใบหน้าพวกเธอเต็มไปด้วยความเรื่อยเฉื่อย นี่ไม่ใช่การต่อสู้ ดั่งที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ มันคือการสังหารหมู่ต่างหาก
“มันจบแล้ว……”
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่พึมพำออกมา
ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจ เธอได้ไล่ตามการเคลื่อนไหวของเหล่าแม่มดบนท้องฟ้า ดูแล้วเธอคงไม่รู้สึกอะไรเลยต่อการที่พลเรือนทั้งหลายกำลังถูกฆ่าอยู่ จริงๆเล้ย เธอเป็นมนุษย์ที่มีสมองอันวิปริตนั่นแหละนะ
“เราได้อ่านตำราพิชัยสงครามตรงที่ว่านักเวทย์ต่อสู้กลางเวหาซึ่งถูกฝึกมาเป็นอย่างดีเพียงหมู่เดียวก็สามารถเอาชนะต่อกองพลน้อยของพลหอกได้แล้ว หลังจากได้เห็นมันด้วยสายตาของหญิงสาวผู้นี้เอง นางจึงเข้าใจ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ทหารราบเพียงอย่างเดียวจะป้องกันกองกำลังของปีศาจบนฟากฟ้าได้ค่ะ ”
“พวกเธอคือพี่น้องเบอร์เบเร่น่ะ หนึ่งในขุมกำลังซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดในโลกของปีศาจ ”
“พี่น้องเบอร์เบเร่? นั่นไม่ใช่นามของหน่วยที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในกองกำลังของปีศาจช่วงสงครามเมอร์คิวเรี่ยนครั้งที่ 5 และครั้งที่ 7 หรอกคะ?”
โอ้ นี่เธอรู้จักพวกเค้างั้นเหรอ?
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้อุทานออกมาขณะจ้องมองยังท้องฟ้า
“ถึงกับสามารถได้เห็นทหารชั้นยอดซึ่งเราเคยเห็นแค่ในหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยสายตาตัวเอง ……นี่ช่างน่าตื่นเต้นจังค่ะ พวกเธอคือเหล่าสักขีพยานที่ยังมีชีวิตของประวัติศาสตร์รวมทั้งจารีตประเพณีอันทรงคุณค่ากว่า 250 ปีได้คงอยู่ในตัวพวกเธออีกด้วยค่ะ เราปรารถนาที่จะสนทนากับพวกเธอในภายหลังอย่างยิ่งค่ะ ”
“อืม… หากเจ้าทำหน้าที่เป็นแม่ทัพของข้าแล้วงั้นไม่ช้าไม่นานพี่น้องเบอร์เบเร่ก็จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเจ้า”
“ว่าไงนะคะ? จริงเหรอ? ”
นัยน์ตาของสาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้เปร่งประกาย
แสงอันน้อยนิดได้หวนกลับคืนสู่นัยน์ตาดุจปลาตายของเธอ สาวน้อยฟาร์เนเซ่กำลังกำหมัดน้อยๆของเธอ จนมันรู้สึกเหมือนแฟนคลับผู้กำลังตื่นเต้นเพราะพวกเขาพึ่งได้พบกับไอดอลที่โปรดปรานของพวกเขา
“นี่วิเศษมากค่ะ ไม่สิ นี่มันวิเศษที่สุดเลยค่ะ! มันคือโอกาสได้ถามต่อหน้าเลยว่า 250 ปีที่แล้วผู้คนดำรงชีวิตอย่างไร ข้อมูลทุกชนิดที่คุณไม่สามารถรู้ได้จากในหนังสือ…… อ๊ะ หรือว่า!? ”
นี่เธอเข้าใจในสิ่งใดหว่า?
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้วางมือบนคางเธอและเริ่มพูดงึมงำอย่างเคร่งเครียด (az – ตอนที่แล้วผมแปลผิดแฮะ ลอร่าไม่ได้เท้าคาง นางเอามือวางตรงคางแบบที่พวกนักปราชญ์ทำตอนกำลังครุ่นคิดน่ะ)
“……พวกปีศาจโดยปกติแล้วมีชีวิตอยู่ได้กว่าหลายร้อยปี จากข้อเท็จจริงนั้นพวกเขาย่อมไม่ต่างจากบรรดาหนังสือประวัติศาสตร์เลย หากหญิงสาวผู้นี้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด งั้นนางก็สามารถใช้อำนาจนางเพื่อเรียกปีศาจเหล่านี้ได้ตามที่นางต้องการ……อย่างงั้นเองเหรอ หรือนั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ มันมีข้อดีอย่างนี้นี่เอง! ”
ดูเหมือนสาวน้อยจะสามารถค้นพบเสน่ห์ในแบบของตนจากตำแหน่งแม่ทัพนะ
เออ แม้ว่ามันจะฟังดูค่อนข้างไร้สาระ แต่ความหลากหลายของจุดมุ่งหมายที่ได้รับจากงานนั้นย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก
“นายท่าน! หญิงสาวผู้นี้อยากรู้ล่วงหน้าว่าอำนาจขนาดไหนกันที่นางจะได้รับเมื่อทำหน้าที่เป็นแม่ทัพค่ะ ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด
ผมจึงเลือกใช้คำที่เธอต้องการจะได้ยินออกมา
“ข้าจะมอบความไว้วางใจทุกอย่างให้แก่เจ้า ไม่ว่าจะอำนาจบัญชาการ อำนาจตุลาการทหาร และแม้กระทั่งอำนาจในการกุมชีวิตและความตาย ข้าจะกำนัลอำนาจทั้งปวงนี้ให้แก่เจ้า ”
“นะ-นั่นวิเศษมากค่ะ……ซู้ดดดด” (az – นางไม่ได้ดมกาวนะ อย่าคิดลึก 5555)
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้เช็ดคราบน้ำลายทางมุมปากของเธอ
ในช่วงเวลานั้น ผมเห็นได้แต่เพียงว่าเธอเป็นแค่พวกวิปริตมากกว่าเป็นลูกสาวของตระกูลดยุคน่ะ
ดูๆไปแล้วสาวน้อยผู้นี้โดยปกติจะรักษาความเยือกเย็นและสุขุมของเธอไว้อยู่เสมอ แต่เมื่อหัวข้อได้เกี่ยวข้องกับบางอย่างในด้านที่เธอสนใจ เธอก็จะหลุดเพี้ยนออกมา
นี่ไม่ใช่โอตาคุผู้คลั่งประวัติศาสตร์ชัดๆหรือไง……? อย่าเลย มาเรียกเธอว่าผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ดีกว่า เพื่อเป็นการเคารพต่อศักดิ์ฐานะและชื่อเสียงของสาวน้อยฟาร์เนเซ่อ่ะนะ
“เราจะขอแสดงความจงรักภักดีอีกครั้งนึงค่ะ นายท่าน! ไม่ว่าจะเป็นรักษาการณ์แม่ทัพหรืออะไรก็ตาม ปล่อยให้เป็นหน้าที่หญิงสาวผู้นี้เถอะค่ะ หญิงสาวผู้นี้จะกวาดล้างศัตรูทุกคนที่ขวางทางนายท่าน ตราบเท่าที่นายท่านประทานหญิงสาวผู้นี้ต่อตำแหน่งผู้บัญชาการและอำนาจตุลาการทหารค่ะ! ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้คว้ากุมมือผม
ทันทีที่เธอทำเช่นนั้น ประโยคข้อความก็ได้เด้งขึ้นมา
[ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้ถูกรับเลือกให้เป็นบริวาร]
[ระดับความจงรักภักดีจะแสดงในหน้าต่างสถานะของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่]
[ความจงรักภักดีไม่แน่นอน อีกฝ่ายมองว่าคุณเป็นเพียงเจ้านายตามข้อสัญญา อีกฝ่ายสามารถทรยศคุณได้ทุกเมื่อ]