ตอนที่ 144 ยื่นขอสิทธิบัตร

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 144 ยื่นขอสิทธิบัตร

สองวันมานี้ไป๋เยี่ยยุ่งมาก โชคดีที่มีเหล่าหยางคอยชี้แนะ ถือว่าเขาเป็นคนที่มีบทบาทมากเลยทีเดียว

อาหารหนูถูกผสมอย่างเป็นสัดส่วนโดยใช้เครื่องผสมพิเศษ ซึ่งไป๋เยี่ยจะเป็นคนปรับสัดส่วนเอง

ตอนแรกเหล่าหยางไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็พบว่าหนูพวกนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

ตอนแรกไป๋เยี่ยคิดว่าเขาแค่คิดไปเอง แต่ต่อมาเขาก็ได้ลองสังเกต เปรียบเทียบ และทำการทดลองเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

หลังจากที่ทราบข่าว เหล่าหยางก็เลิกดูถูกเขา พลางคิดว่าไอ้หนุ่มนี่เป็นคนมีความสามารถจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้มาที่นี่เล่นๆ

เหล่าหยางเริ่มอยากร่วมมือกับไป๋เยี่ย เป็นผลทำให้ไป๋เยี่ยเพาะพันธุ์หนูพันธุ์พิเศษจำนวนหนึ่งหมื่นตัวโดยมีเหล่าหยางคอยให้ความช่วยเหลือในหลายๆ เรื่อง

“นายน้อย สูตรอาหารนี่เยี่ยมยอดมาจริงๆ ลุงทำงานนี้มาตั้งหลายปีแล้วก็ยังแค่เกือบๆ ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ดูนี่สิ หนูพวกนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมอีก!”

ไป๋เยี่ยเรียกหยางกวงตงไปพูดคุยกันที่ห้องทำงาน

ไป๋เยี่ยเห็นทั้งหมดนี้แล้ว เรื่องอาหารหนูยังไม่ใช่ปัญหาสำหรับตอนนี้ เขายังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือน แต่ที่เขาตัดสินใจเรียกหยางกวงตงมาในวันนี้ก็เพราะเขาต้องการจะถามเรื่องอื่นต่างหาก

“ลุงหยาง มานั่งลงเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากถาม”

หยางกวงตงชะงักไป ช่วงนี้เขารู้สึกชื่นชมนายน้อยของเขามาก แม้ว่าในเรื่องการทำธุรกิจไป๋เยี่ยจะยังด้อยกว่าเสี่ยวเมิ่งอยู่มาก แต่ก็ถือว่าเขาเป็นคนมีความสามารถจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย ถ้าเป็นเรื่องการเลี้ยงหนูล่ะก็ ไป๋เยี่ยย่อมมีความสามารถด้านนี้มากกว่าเสี่ยวเมิ่งเยอะ อีกทั้งเขายังไม่กลัวเลอะเทอะไม่กลัวเหนื่อยอีกด้วย

“นายน้อยจะทำอะไรเหรอ ลองบอกลุงมาสิ” ลุงหยางเดินไปนั่งตรงข้ามกับไป๋เยี่ยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เหล่าหยางไม่เหมือนชาวนาทั่วๆ ไป อาจจะเพราะนิสัยส่วนตัวของเขาหรืออะไรบางอย่าง แต่นั่นก็ไม่สำคัญ

สำคัญคือเขาเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าจากสาขาวิชาวิศวกรรมชีวภาพเมื่อช่วงปี 1990 ทว่าสาขาวิชานี้ยังเป็นศาสตร์ที่ล้ำสมัยในขณะนั้น แล้วคิดว่าตอนนั้นประเทศจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพได้เหรอ อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอาจจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนอาชีพหรือการตกงานได้

ทว่าหยางกวงตงนั้นเป็นคนหัวแข็ง เขาตัดสินใจเข้าร่วมบริษัทยาและริเริ่มการเลี้ยงหนูเป็นอาชีพ

หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ฝึกฝนตนเองจนมากประสบการณ์และพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพถือเป็นอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้าหลังก็เริ่มสูญหายไป

ความล้าหลังของเทคโนโลยีก่อให้เกิดช่องว่างทางอุตสาหกรรม บริษัทเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองใหญ่ๆ ก็เพาะได้แค่หนูธรรมดาเท่านั้น แม้แต่แบบจำลองก็ยังทำไม่ได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมมือกับบริษัทต่างชาติมากกว่า

พอหยางกวงตงแก่ตัวลง เขาก็กลายเป็นลุงหยางที่ใช้ชีวิตอย่างสบายใจอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ลุงรู้วิธียื่นขอสิทธิบัตรไหม”

หยางกวงตงกลอกตาไปมา “อยากขอสิทธิบัตรสูตรอาหารหนูเหรอ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า หยางกวงตงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดขึ้น “จะขอสิทธิบัตรน่ะไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่ถ้ายื่นเองก็น่าจะลำบากหน่อย ลุงแนะนำให้ลองหาบริษัทที่รับยื่นสิทธิบัตรดูนะ อนุมัติไวและโอกาสได้ก็สูงด้วย พวกเขามีความเป็นมืออาชีพพอ”

พูดจบเหล่าหยางก็คลี่ยิ้มออกมา “อาหารหนูที่เราเคยใช้ก่อนหน้านี้ลุงก็เป็นคนทำนะ แถมลุงยังเคยลองขอสิทธิบัตรด้วย เพียงแต่ว่า…ต่อให้จะพูดสรรพคุณไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะคนอื่นก็ไม่เห็นค่ามัน คงต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกามายืนยันก่อนมันถึงจะมีประโยชน์ว่างั้นเถอะ!”

“ลุงเคย…คิดว่ามันมีค่ามากในตอนนั้น แต่กลับไม่มีใครสนใจมันเลย เฮ้อ…เสียเวลาขอสิทธิบัตรจริงๆ”

ที่เหล่าหยางพูดก็ถูก อาหารหนูก็ต้องถูกกินโดยหนู จะบอกได้อย่างไรว่ามันเป็นของดีหรือไม่ดี มีเพียงบทความจากผู้เชี่ยวชาญหรือศาสตราจารย์จากชาติตะวันตกที่บอกว่าอาหารแบบไหนดีเท่านั้น ถึงจะบอกได้ว่ามันดีอย่างไร แล้วคนอื่นก็จะได้รับรู้ไปด้วย…

ไป๋เยี่ยยิ้ม “ลุงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ เรื่องสิทธิบัตรผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลุง ลุงต้องทำได้แน่ๆ ผมให้เจ้าหน้าที่ไปกรอกส่วนผสมทุกวันเลย ลุงคิดว่าเป็นไงบ้าง”

เหล่าหยางยิ้มแยบยล “เรื่องที่นายน้อยฝากเป็นงานของลุงอยู่แล้ว ลุงมีหน้าที่ต้องทำตามที่นายน้อยสั่ง วางใจเถอะ ลุงจะจัดการให้เป็นอย่างดีเลย”

ตอนนี้ไป๋เยี่ยมีเงินติดตัวอยู่มากกว่าหนึ่งล้านหยวน เรียกได้ว่าเงินไหลมาเทมาจริงๆ เขาจ่ายค่ามัดจำจำนวนห้าแสนหยวนไปแล้ว และเขาน่าจะต้องเตรียมเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อยื่นขอรับสิทธิบัตร อีกทั้งยังมีค่าแรงที่ต้องจ่ายตอนสิ้นเดือนด้วย ซึ่งไป๋เยี่ยก็กังวลว่าเขาจะแบกรับมันไหวหรือเปล่า

ถ้าไม่ไหวเขาก็คงต้องปรึกษาที่บ้านของเขา แต่ตอนนี้เขาต้องรอไปก่อน

ไป๋เยี่ยกำลังรอโอกาสอยู่…

เมื่อกลับมาถึงหอพัก ไป๋เยี่ยก็ไปเตรียมเอกสารของเขาให้เรียบร้อย เพราะหยางกวงตงบอกเขาไว้ว่าการขอสิทธิบัตรจำเป็นต้องใช้เอกสารบางอย่างด้วย

เอกสารของไป๋เยี่ยถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ตอนนี้เขาก็แค่รอให้หยางกวงตงไปติดต่อกับบริษัทยื่นสิทธิบัตร

นี่ก็เป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว ไป๋เยี่ยกลับมาที่หอพักและพบว่าทั้งต้วนเย่ว์และลู่เผยอี้ต่างไม่อยู่ที่นั่น พวกเขาคงจะไปฝึกงานในวอร์ดกับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว

พวกเขาสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดิมและฝึกงานในโรงพยาบาลประจำมณฑล หลังจากเข้าเรียนแล้วต่างคนก็ต่างต้องหาเวลาไปฝึกงานในวอร์ดเพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆพวกเขาจึงค่อนข้างยุ่ง

ส่วนช่วงนี้พ่างจื่อก็เอาแต่เก็บตัว ทำให้ไป๋เยี่ยอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังยุ่งกับอะไรอยู่

พอถึงเวลาอาหารเย็น ไป๋เยี่ยก็โทรชวนพ่างจื่อให้มากินมื้อเย็นด้วยกัน

พ่างจื่อกลับมาถึงหอพักตอนหนึ่งทุ่ม ทั้งตัวของเขาปกคลุมไปด้วยฝุ่น

ไป๋เยี่ยชำเลืองมองพ่างจื่อก่อนจะถามขึ้น “นายไปทำอะไรมาเนี่ย กอบกู้โลกเหรอ”

พ่างจื่อกระดกน้ำในขวดก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “เยี่ยจื่อ เกาะขาฉันไว้ดีๆ ล่ะ ไม่เกาะไว้ไม่ทันแล้วนะ!”

ไป๋เยี่ยงุนงง ช่วงนี้เจ้าหมอนี่ไปสร้างเรื่องอะไรไว้ เขาถึงเอ่ยถามขึ้น “ให้เกาะข้างไหนล่ะ ข้างที่หนาๆ หน่อยเหรอ”

พ่างจื่อวางกระเป๋านักเรียนลงก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกางเกง คลี่มันออกแล้วยื่นให้ไป๋เยี่ย “ลองดูสิ ฉันมีสมบัติมาให้นายแหละ”

ไป๋เยี่ยรับกระดษแผ่นนั้นมาอ่าน ‘การแข่งขันนวัตกรรมแห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจจิ้นซี‘

นี่ไม่ใช่การแข่งขันนวัตกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยสนับสนุนให้นักศึกษาไปสมัครกันตอนนั้นหรอกเหรอ พ่างจื่อสมัครไปงั้นเหรอ

“นายสมัครไปเหรอ” ไป๋เยี่ยอดถามไม่ได้

“สมัครแล้ว! นายก็ด้วย!” พ่างจื่อตอบไปตามตรง

ไป๋เยี่ยดูจะสับสน “ฉันเนี่ยนะ ฉันจะสมัครเพื่ออะไร”

พ่างจื่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบรายงานกว่าหนึ่งร้อยหน้าออกมาจากกระเป๋า “ฉันว่าจะทำเว็บแบบประเมินน่ะ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ทุกวันนี้ฉันเลยพิมพ์แบบประเมินมาแจกทีละห้าร้อยฉบับแทนน่ะ”

พ่างจื่อดูตื่นเต้นมาก “ไม่คิดไม่ฝันแล้ว! แค่นี้ตลาดก็ใหญ่พอแล้ว! อีกไม่นานฉันจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ! รอให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ”