ตอนที่ 66 แสงสว่างที่หายไป

“กรุ๊ง กริ๊ง!”

“หวู้!”

เสียงทั้งสองที่แตกต่างกันต่างก็ดังขึ้นมาพร้อมๆกันในตอนนี้ มันเจาะทะลวงเข้าไปในจิตใจของมู่อี้อย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้แสงของตะเกียงทองแดงไม่อาจช่วยอะไรเขาได้เลย

ในตอนที่จิตใจของมู่อี้กำลังถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องนั้น แสงของตะเกียงทองแดงก็ค่อยๆกระพริบและอ่อนแรงลงไป

สีหน้าของมู่อี้ดูจริงจังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

แค่ฉือกุยเพียงคนเดียวก็ลำบากพออยู่แล้วแต่ในตอนนี้อยู่ๆก็มีผู้พิทักษ์วิญญาณอีกตนหนึ่งปรากฏตัวออกมาอีก

ในตอนนี้มู่อี้ไม่มีเวลาตรวจสอบว่าเมื่อในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ ด้านหลังของเขามีประตู 2 บานที่ถูกปิดสนิทเอาไว้ทั้งจากภายในและภายนอก

แม้แต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นจึงพูดได้เลยว่าตอนนี้มู่อี้ต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้ว

ก่อนที่ประตูปิดลงไปมู่อี้ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆเลย จนกระทั่งเขาเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่อาจเข้ามาในห้องนี้ได้ในใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที

เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเองแต่รู้สึกเป็นห่วงเนี่ยนหนิวเอ้อร์

แต่เขาก็รู้ว่าฉือกุยและผู้พิทักษ์วิญญาณตนนั้นจะต้องลงมือกับเขาก่อนเป็นคนแรกอย่างแน่นอนและในตอนที่เขายังไม่พ่ายแพ้หรือยังไม่ถูกฆ่าตายไป เนี่ยนหนิวเอ้อร์ย่อมไม่เป็นอะไร

นอกจากนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ยังมีสติปัญญาและยังมีโอกาสสูงมากที่นางจะได้กลายเป็นราชันย์แห่งวิญญาณในอนาคต ฉือกุยย่อมไม่อยากฆ่านางอย่างไร้ประโยชน์แน่นอน

เมื่อคิดแบบนี้แล้วมู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นเขาก็เพ่งสมาธิอีกครั้งและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่วิกฤตของตนเอง

สายลมพัดเข้ามาอย่างรุนแรงแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมู่อี้ มีเพียงเสียงที่เกิดขึ้นเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญใจ

เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างชัดเจนแต่มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นมานั้นมาจากที่ใด แม้แต่ฉือกุยและผู้พิทักษ์วิญญาณตนนั้นเขาก็ไม่เห็นเลย

ทันใดนั้นเองก็มีเงาสีดำที่พุ่งลงมาจากเหนือศีรษะของเขา มันเป็นวิญญาณที่มีรูปร่างน่าสะพรึงกลัวตนหนึ่ง แม้ว่าพลังของมันจะไม่มากนักแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ประมาทในตอนนี้

วิญญาณอาฆาตตัวนี้รอคอยเวลาอยู่นานแล้ว มันเลือกโจมตีในช่วงเวลาที่แสงจากตะเกียงทองแดงนั้นหายไป

เมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณอาฆาตตัวนี้นิ้วมือของมู่อี้ก็ขยับทันที จากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งเข้าไปปะทะกับร่างของวิญญาณอาฆาตที่อยู่ตรงหน้าของเขาแทน

“ตู้ม!”

เมื่อแสงสีขาวพุ่งออกไปปะทะนั้นวิญญาณอาฆาตก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและรีบหนีไปทันที

ยันต์ปราบปีศาจแสดงผลของมันได้อย่างชัดเจนแต่ในตอนนี้มู่อี้ลงมือช้าเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้มีมือสีดำทั้งสองข้างที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นและจับข้อเท้าของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

ในตอนนี้การเคลื่อนไหวของมู่อี้ถูกจำกัดเอาไว้และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังความเย็นที่ส่งผ่านเข้ามาในขาของเขาจากมือสีดำคู่นั้น

ในตอนนี้มู่อี้ไม่รู้ว่าทำไมยันต์ของเขาถึงไม่ทำงานและแม้แต่แสงของตะเกียงทองแดงก็ยังแสดงผลอย่างจำกัดต่อมือสีดำที่จับข้อเท้าของเขาเอาไว้

เขานำยันต์สะกดวิญญาณออกมาทันทีแต่ในครั้งนี้เขากลับใช้ยันต์สะกดวิญญาณใส่ตัวเอง

มู่อี้ไม่ค่อยได้ใช้ยันต์สะกดวิญญาณกับตนเองสักเท่าไหร่ แม้ว่าพลังที่อยู่ภายในยันต์สะกดวิญญาณทำให้จิตวิญญาณของเขารวมตัวกันได้ดีมากยิ่งขึ้นและยังสามารถรักษาความผิดปกติที่อยู่ในร่างกายของเขาได้

แต่ร่างกายของมู่อี้ก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ยันต์สะกดวิญญาณมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของเขาต้องอ่อนแอลงไปอีกด้วย แม้ว่ามันจะมีผลดีต่อจิตวิญญาณของเขาแต่ผลเสียที่ตามมานั้นก็มากกว่า

แต่ในตอนนี้มู่อี้ไม่ลังเลอีกต่อไปเมื่อเขารู้สึกได้ถึงพลังความเย็นที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็ว

ยันต์สะกดวิญญาณแสดงผลของมันออกมาทันทีและในตอนนี้พลังทั้งสองขั้วกำลังปะทะกันอยู่ในร่างกายของเขา มู่อี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังความเย็นนั้นสลายไปอย่างรวดเร็วและในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นคือภาพลวงตาหรือไม่ ในช่วงเวลาที่พลังทั้งสองปะทะกันนั้นเขารู้สึกได้ว่าส่วนลึกที่สุดในร่างกายของตนเองนั้นดูเหมือนจะมีความผันผวนอยู่เล็กน้อย

มันเหมือนกับระลอกคลื่นที่พัดเข้าหาชายฝั่ง ที่เข้ามาและหายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้มู่อี้รู้สึกว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

แต่ก่อนหน้าภาพลวงตานี้จะเกิดขึ้นนั้นมู่อี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังในร่างกายของเขาดูเหมือนจะอยู่ในจุดสูงสุดแล้วและในตอนนี้มันไม่ใช่กระแสน้ำที่สงบนิ่งอยู่ภายในร่างกายของเขาอีกต่อไปและมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันเริ่มเคลื่อนตัวไปมาและผันผวนอย่างบ้าคลั่ง

น่าเสียดายที่เวลาที่เกิดขึ้นนี้สั้นเกินไปและมันยังเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้อีกด้วย มู่อี้ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไร

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก เขาเชื่อว่าในเมื่อมันมีครั้งแรกแล้วก็ต้องมีครั้งที่สองและครั้งที่สามตามมาอย่างแน่นอน ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องกังวลก็คือวิกฤตการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของเขา

ยันต์สะกดวิญญาณกลายเป็นแสงสีขาวเข้าสู่ร่างกายของเขาและมู่อี้ก็รีบใช้โอกาสนี้กระทืบเท้าเพื่อหลุดออกจากมือสีดำคู่นั้นที่จับข้อเท้าของเขาเอาไว้

แต่ในตอนนี้วิญญาณอาฆาตที่ถอยออกไปก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มู่อี้ก็ไม่ได้ยั้งมืออีกต่อไปเขาระเบิดพลังแห่งจิตใจของตนเองออกไปทันที

“ตู้ม!”

ตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของมู่อี้ก็มีเสียงระเบิดดังออกมาราวกับว่ามีเปลวไฟถูกจุดอยู่ภายในนั้นลุกโชติช่วงและเปลวไฟที่ลุกขึ้นมานั้นก็ตรงเข้าไปหาวิญญาณอาฆาตทันที

“อะไรกัน!”

วิญญาณอาฆาตตนนั้นไม่อาจหลบได้และถูกเปลวไฟที่พุ่งเข้ามาล้อมเอาไว้ทันที เปลวไฟนี้ไม่ใช่ไฟจริงๆ แต่ก็ดูเสมือนจริงเป็นอย่างยิ่งและวิญญาณอาฆาตตนนั้นก็ดูร้อนรนราวกับถูกไฟเผา ผลของตะเกียงทองแดงรวมกับพลังแห่งจิตใจของมู่อี้ จึงกลายเป็นเพลิงแห่งความตายสำหรับภูตผีวิญญาณทันที

วิญญาณอาฆาตตนนั้นเดิมทีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์สักเท่าไหร่นัก แต่ในตอนนี้มันกลับถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเปลวเพลิงจากตะเกียงทองแดงต่อหน้าต่อตามู่อี้

มู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจกับเปลวเพลิงของตะเกียงทองแดง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจใช้ตะเกียงทองแดงเพื่อโจมตีมันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาใช้เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น

จิตใจของเขาเริ่มรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาทันทีมู่อี้เข้าใจได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ว่าตะเกียงทองแดงนั้นสูบพลังแห่งจิตใจของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อต้องใช้พลังแห่งจิตใจมากขนาดนั้นเขาก็ไม่สามารถรักษาเปลวเพลิงของตะเกียงทองแดงเอาไว้ได้อีกต่อไป

ดังนั้นวิญญาณอาฆาตโดนเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ตะเกียงทองแดงก็ดับไปทันที

ในตอนนี้แม้ว่ามู่อี้อยากจะจุดตะเกียงทองแดงขึ้นมาอีกครั้งนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะจนถึงตอนนี้ฉือกุยและผู้พิทักษ์วิญญาณตนนั้นก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย และเขาเหลือพลังแห่งจิตใจอยู่เพียง 1 ใน 3 ของทั้งหมดเท่านั้น จึงต้องพยายามประหยัดเอาไว้ให้มากที่สุด

ในตอนนี้ยันต์สายฟ้าของมู่อี้ทั้ง 3 แผ่นใช้กับเจิ้งสือซงไป 1 แผ่นแล้วและเหลืออยู่อีก 2 แผ่นเอาไว้สำหรับฉือกุยและผู้พิทักษ์วิญญาณตนนั้น

ดังนั้นมู่อี้จึงต้องเก็บพลังแห่งจิตใจของเขาเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้ยันต์สายฟ้าสามารถใช้งานได้ แต่ในตอนนี้ภายในห้องโถงแห่งนี้ยังเหลือวิญญาณอยู่อีกมาก มีเพียงยันต์อื่นๆที่อยู่ในตัวของเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยได้

พูดได้เลยว่าถ้าหากมู่อี้ไม่มีพลังแห่งจิตใจของเขาในตอนนี้มันก็เหมือนกับพยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บซึ่งไม่สามารถทำอันตรายต่อใครได้อีก

มู่อี้อยู่เพียงความยากขั้นที่ 1 ของระดับการฝึกฝนจิตใจเท่านั้น เส้นทางการฝึกฝนของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น สิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็คือพลังแห่งจิตใจของตนเองและมันยังเป็นสิ่งที่เขาพึ่งพาได้มากที่สุด

มีเพียงการก้าวเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจเท่านั้นที่จะทำให้เขามีสิ่งที่ใช้ป้องกันตัวได้มากยิ่งขึ้นและไม่ต้องคอยกังวลว่าพลังแห่งจิตใจของตัวเองจะหมดไปเมื่อไหร่ เมื่อถึงเวลานั้นแค่คอยดูแลร่างกายของตนเองไม่ให้ได้รับบาดเจ็บก็พอแล้ว

“หวู้!”

เมื่อแสงของตะเกียงทองแดงเริ่มดับลงไปนั้น เหล่าวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆห้องก็เข้ามาล้อมมู่อี้เอาไว้อีกครั้ง

“กรุ๊ง กริ๊ง!”

เสียงกระดิ่งดังขึ้นมาอย่างกะทันหันมันเป็นเหมือนกับคลื่นเสียงที่ตรงเข้ามาทำลายสมาธิของมู่อี้

ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้ยังรู้สึกได้ว่าในตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่รู้ว่ามันคือภาพลวงตาหรือคือเรื่องจริง

วิญญาณหัวขาดที่ไม่มีศีรษะท่อนบนและมีลิ้นห้อยลงมายาวจนถึงหน้าอก

วิญญาณที่เหลืออยู่เพียงศีรษะเท่านั้น

วิญญาณที่ปราศจากใบหน้า

มู่อี้ได้เห็นวิญญาณมากมายที่มีรูปร่างแตกต่างกันกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา เขารีบยื่นมือออกไปทันทีเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง

“เด็กน้อย จงกลับมาหาข้า”

ในตอนที่มู่อี้รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวและความสิ้นหวังนั้น ก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาตรงหน้าเขาทันที